Group Blog All Blog
|
แนะส่งทุเรียนไปจีนให้เหมาะกับฤดูกาล-ความต้องการตลาด
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการศึกษารูปแบบการขนส่งทุเรียนสดจากประเทศไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 2565 ซึ่ง สศก. ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจัดทำแผนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตรของประเทศไทยได้ดำเนินการศึกษารูปแบบและเส้นทางการขนส่งทุเรียนสดจากไทยไปจีน พร้อมทั้งพิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของเส้นทางในแต่ละรูปแบบ จากข้อมูลในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 - 2564) พบว่า รูปแบบการขนส่งทุเรียนสดจากไทยไปจีนเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่นิยมใช้การขนส่งทางน้ำ เปลี่ยนเป็นการขนส่งทางถนนเพิ่มขึ้น โดยในปี 2560 ล้งใช้การขนส่งทางน้ำเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 90.87 รองลงมาได้แก่ การขนส่งทางถนน ร้อยละ 9.11 และทางอากาศ ร้อยละ 0.02 ต่อมาปี 2562 ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขนส่งทุเรียนสดจากไทยไปจีน ส่งผลให้ล้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งทางน้ำไปเป็นทางถนนมากขึ้น และในปี 2564 ล้งใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.63 รองลงมาเป็นการขนส่งทางน้ำร้อยละ 29.23 และทางอากาศ ร้อยละ 0.14 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขนส่งทุเรียนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการขนส่งทางน้ำเป็นทางถนน คือ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และการขนส่ง - ขนถ่ายล่าช้า ทำให้ผลผลิตเสียหาย ไม่ได้คุณภาพ และอัตราค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การขนส่งทางถนน สามารถขนส่งได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขนส่งไปยังจุดกระจายสินค้าในจีนโดยไม่ต้องมีการขนถ่าย อีกทั้งยังมีความคล่องตัวสูงในการปรับเปลี่ยนเส้นทางระหว่างการขนส่งเมื่อด่านนำเข้าของจีนปิดกะทันหัน ทั้งนี้ อัตราค่าขนส่งระหว่างทางน้ำและทางถนน พบว่าไม่แตกต่างกันมากนัก แต่การขนส่งทางน้ำมีข้อเสีย คือ ไม่สามารถขนส่งไปยังแหล่งกระจายสินค้าในจีนได้โดยตรง จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางถนนด้วยรถบรรทุกหรือรถไฟเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดต้นทุนค่าขนส่งที่สูงกว่าทางถนนได้ ขณะที่การขนส่งทางอากาศ ใช้ระยะเวลาน้อยที่สุด แต่อัตราค่าขนส่งสูงรวมทั้งยังมีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถขนส่งไปยังแหล่งกระจายสินค้าในจีนได้ จำเป็นต้องใช้การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) เช่นเดียวกับการขนส่งทางน้ำ ดร.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวถึงรายละเอียดค่าขนส่งแต่ละประเภท โดยการขนส่งทางน้ำ จากท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปยังท่าเรือเซี่ยงไฮ้และชิงต่าวของจีน มีอัตราค่าขนส่งต่ำสุดอยู่ที่ 12 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ การขนส่งทางถนน โดยรถบรรทุก อัตราค่าขนส่ง อยู่ที่ 14 - 22 บาท/กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ใช้ หากใช้เส้นทาง R3A จากด่านศุลกากรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผ่านด่านบ่อเต็น (สปป.ลาว) ด่านโม่ฮาน (จีน) ไปมณฑลยูนนาน อัตราเริ่มต้นอยู่ที่ 14 บาท/กิโลกรัม และหากใช้เส้นทาง R12 จากด่านศุลกากรจังหวัดนครพนม ผ่านด่านน้ำพราว (สปป.ลาว) ผ่านด่านจาลอ (เวียดนาม) ผ่านด่านโหย่วอี้กวน (จีน) ไปมณฑลหนานหนิง อัตราอยู่ที่ 22 บาท/กิโลกรัม ส่วนการขนส่งทางอากาศ มีอัตราค่าขนส่งสูงที่สุด อยู่ที่ 65 บาท/กิโลกรัม ดังนั้น เพื่อให้การบริหารต้นทุนค่าขนส่งคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ล้งควรเลือกใช้รูปแบบการขนส่งให้เหมาะสมกับปริมาณผลผลิตตามฤดูกาลผลิตและความต้องการบริโภคของตลาดจีน โดยช่วงต้นฤดู ที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ผู้บริโภคชาวจีนมีความต้องการบริโภคทุเรียนสดคุณภาพดีเกรดพรีเมี่ยม ล้งควรเลือกรูปแบบการขนส่งทางอากาศ เพื่อให้ทุเรียนสดถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค และยังสามารถขายทุเรียนสดได้ในราคาที่สูง การขนส่งรูปแบบนี้เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคชาวจีนที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการบริโภคโดยไม่สนใจราคา สำหรับช่วงกลางฤดู ผลผลิตทุเรียนสดออกสู่ตลาดมาก ล้งต้องการส่งออกในปริมาณมาก ควรเลือกการขนส่งทางถนนควบคู่กับการขนส่งทางน้ำ เพื่อลดความแออัดของการจราจรหน้าด่าน ทำให้ขนส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างต่อเนื่อง สามารถกระจายสินค้าไปยังตลาดจีนในเมืองต่าง ๆ ได้หลากหลาย และมีต้นทุนค่าขนส่งโดยรวมถูกลง และช่วงปลายฤดู ผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดลดลง แนะวิธีฟื้นฟูไม้ผล/ไม้ยืนต้นหลังประสบอุทกภัย
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การเกิดอุทกภัยใหญ่แต่ละครั้ง จะส่งผลให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากทั้งนาข้าว พืชไร่และพืชสวน โดยเฉพาะในส่วนของไม้ผล/ไม้ยืนต้นถ้าถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานจะทำให้ต้นตายได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ผล/ไม้ยืนต้นด้วย เช่น ชมพู่ พุทรา ละมุด มะขาม มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน จะทนต่อสภาพน้ำท่วมขังได้นานกว่ามะละกอ กล้วย ทุเรียน มะม่วง ส้ม มะนาว อย่างไรก็ตาม ถ้าระยะเวลาการท่วมขังไม่นาน ระดับน้ำที่ท่วมขังไม่สูงถึงระดับใบพืช และน้ำที่ท่วมขังมีการไหลไม่อยู่นิ่งและรากพืชไม่เน่า ต้นไม้จะมีชีวิตรอดได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลฟื้นฟูอย่างถูกวิธีหลังน้ำลด โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและรุนแรงจนหมดหรือเกือบหมดต้น และ อาการตอบสนองอื่น ๆ ทางสรีรวิทยาของพืช เช่นการปิดของปากใบเพื่อลดการคายน้ำ ส่งผลให้การสร้างอาหารและส่งเลี้ยงรากลดลงร่วมกับรากขาดออกซิเจนในดินทำให้รากพืชเน่า กรมวิชาการเกษตรมีคำแนะนำการฟื้นฟูไม้ผล/ไม้ยืนต้น หลังประสบอุทกภัย โดยเบื้องต้นเกษตรกรควรจะต้องมีการบำรุงรักษาให้พืชเกิดรากใหม่และให้แตกใบอ่อนโดยเร็ว ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการดินให้ถูกต้องด้วยโดยขอให้เกษตรกรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้ หลังน้ำท่วมใหม่ๆ ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่และห้ามบุคคล รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด เพราะจะกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรม และอาจตายได้ และเร่งระบายน้ำออกจากแปลงและบริเวณโคนต้นพืชโดยเร็ว โดยอาจขุดร่องระบายน้ำ หรือใช้เครื่องช่วยสูบน้ำออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด รวมทั้งในสภาพน้ำท่วมที่มีการชะพาเอาดินหรือทรายมาทับถมในบริเวณแปลงปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้น หลังจากน้ำลดลงและดินแห้งแล้วควรทำการขุดหรือปาดเอาดินหรือทรายออกจากโคนต้นพืช ดังนั้นเมื่อดินแห้งแล้วควรมีการพรวนดินบ้าง เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่รากพืช ทำให้รากพืชแตกใหม่ได้ดีขึ้น ในพืชที่มีปัญหาของโรครากเน่าและโคนเน่า หลังน้ำลดและดินแห้งควรมีการปรับปรุงสภาพของดิน โดยการโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ กรณีที่พบต้นที่แสดงอาการโรครากเน่าโคนเน่า ตรวจสอบแผลที่โคนต้น และตรวจดูว่ารากเน่าถอดปลอกหรือไม่ กรณีเกิดแผลที่โคนต้น ให้ถากเนื้อเยื่อที่เสียออกแล้วทาด้วยเมตาแลกซิล หากเกษตรกรมีข้อสงสัยสามารถสอบถามขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ งานไม้ผล สถาบันวิจัยพืชสวน โทรศัพท์ 0-2940-5484 ต่อ 124 "กรมวิชาการเกษตร"ติวเข้มนายด่านตรวจพืชรับมือส่งทุเรียนใต้ไปจีน
"กรมวิชาการเกษตร"เรียกประชุมนายด่านตรวจพืช วางแผนรับมือส่งออกทุเรียนใต้ไปจีน งัด 5 กฎเหล็กคุมเข้มส่งออก ย้ำต้องปฏิบัติตามพิธีสารไทย-จีน เดินหน้ารักษาประโยชน์ของชาติและป้องกันการสวมสิทธิ์ หากพบล้งตุกติกไม่โปร่งใส สั่งยกเลิกใบ GMP พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ได้มีการเรียกประชุมผ่านระบบซูมนายด่านตรวจพืชและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งออกทุเรียน โดยมีนายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อเป็นการกระชับการทำงานของนายด่านตรวจพืชและเจ้าหน้าที่ของกรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทุเรียนไปจีนและไปต่างประเทศทั้งระบบให้เข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพตามแนวปฏิบัติที่กรมกำหนด และให้เป็นไปตามพิธีสารไทย-จีน อย่างเคร่งครัด ขณะนี้กำลังเข้าอยู่ในช่วงฤดูการส่งออกทุเรียนของภาคใต้ไปต่างประเทศ โดยมีจีนเป็นคู่ค้าหลัก ฉะนั้นการรักษาตลาดเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องย้ำให้ทุกฝ่ายดำเนินการเด็ดขาด ซึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตรโดยตรงได้เน้นย้ำและให้นโยบายกับกรมวิชาการเกษตรมาตลอดให้ทำงานเต็มที่เพื่อรักษาประโยชน์ของชาติและป้องกันการสวมสิทธิ์ ดังนั้นกรณีพบว่าล้งใดตุกติกไม่ปฏิบัติตามที่กำหนด ทางกรมวิชาการเกษตรจะดำเนินการตามกฎหมายทันที เพื่อรักษาประโยชน์ของชาติ รวมถึงเกษตรกรและล้งที่ปฏิบัติดี ซึ่งขณะนี้มีล้งในภาคใต้ที่ผ่านการรับรองของจีนเปิดรับซื้อและบรรจุสินค้าอยู่ประมาณ 40 ล้ง แนวปฏิบัติตามข้อสั่งการของกรมวิชาการเกษตร สำหรับการส่งออกทุเรียนกำหนดกำหนดไว้ดังนี้ 1. สวนทุเรียนและ/หรือสวนผลไม้ต้องได้รับขึ้นทะเบียน (GAP) และโรงคัดบรรจุหรือล้ง (GMP) จากทั้งฝ่ายไทยและศุลกากรจีน และศุลกากรจีนได้ประกาศรับรองเลขทะเบียนพร้อมแล้ว 2. สำหรับการตรวจสอบทุเรียนส่งออกในโรงคัดบรรจุ เพื่อรับรองสุขอนามัยพืช เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการ “คู่มือปฏิบัติการตรวจสอบศัตรูพืชในการส่งออกทุเรียนไปจีน” อย่างเคร่งครัด หากตรวจพบต้องสงสัย ไม่โปร่งใส่แหล่งที่มาของทุเรียน จะตรวจสอบย้อนกลับ และปฏิเสธการออกใบรับรองสุขอนามัยพืชไว้ก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ 3. หากตรวจพบหรือต้องสงสัยว่า ผู้ประกอบการส่งเอกสารแนบหรือหลักฐานอันเป็นเท็จ ให้ดำเนินการกล่าวโทษร้องทุกข์ต่อผู้ประกอบการ ที่แจ้งข้อความเท็จต่อทางราชการ ในการยื่นขอรับใบรับรองสุขอนามัยพืช (พก.๗) เพื่อส่งออกทุเรียนไปจีน เฉพาะรายที่สงสัยว่ากระทำผิด นั้นทันที 4. ชะลอการคัดบรรจุเพื่อส่งออกชั่วคราว ตามพิธีสารไทย-จีน ภายใต้ข้อตกลงการส่งออกผลไม้สด 5. ทุกล้งที่ส่งออกไปยังจีนต้องมีมาตรการ COVID PLUS ตามมาตรการ ZERO COVID ที่ประเทศจีนกำหนด พร้อมกับการปฏิบัติตามระเบียบ หรือประกาศที่จังหวัดในพื้นที่นั้นๆ กำหนดเป็นมาตรการเฉพาะ เพื่อไม่ให้จีนตรวจพบโควิดและมีการปิดด่านนำเข้า ทำให้กระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยทั้งระบบ "กรมวิชาการเกษตร"เดินหน้างานวิจัยตั้งเป้าต่อยอดเศรษฐกิจสู่โมเดล BCG
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าทิศทางด้านการวิจัยปี 2566 กรมได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สกสว.) วงเงิน316,934,000 บาท ซึ่งจะมีการลงนามในคำรับรองเร็วๆนี้ ทั้งนี้การเสนอขอสนับสนุนงบวิจัยในปี 66 จะเน้นเรื่องความสอดคล้องนโยบายการตลาดนำการผลิตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การวิจัยขยายผลต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับตลาด และความมั่นคงด้านการเกษตรและอาหารของประเทศ ภายใต้นโยบายแห่งรัฐและระดับโลกคือการมุ่งสู่เศรษฐกิจ BCG Model 5.งานวิจัยเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติ เช่นภัยแล้ง ความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาอาหารที่สอดคล้องกับเทรนความต้องการบริโภคของโลก อาหารแพลนต์เบสต์หรืออาหารโปรตีนจากพืช การเกษตรที่ลดภาวะก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนฟุตพริ้นท์ และที่สำคัญคือการป้องกันการระบาดของโรคพืชและแมลงศัตรูพืช ร่วมถึงโรคอุบัติใหม่ ปัจจุบันจะเห็นว่ารูปแบบของการบริโภคของประชาชนเริ่มเปลี่ยน เน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารที่เป็นยา การบริโภคพืชที่ให้โปรตีนแทนเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่ส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น การวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชที่เป็นทั้งอาหารและพลังงานให้มีผลผลิตต่อไร่สูงและต้านทานโรคแมลง เช่น ถั่วเหลือง หรือข้าวโพด ปาล์มน้ำมันจึงสำคัญ ตัวอย่างที่เห็นคือไทยนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพดมาเป็นวัตถุดิบจำนวนมากเมื่อเกิดสงครามหรือเหตุที่ไม่สามารถคุมได้ ต้องนำเข้าราคาสูงจึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ดังนั้นกรมให้น้ำหนักทั้งการวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจเดิมและพืชเศรษฐกิจใหม่เช่นกัญชง กัญชา กระท่อม ที่สามารถเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้ามูลค่าสูงได้ จึงขอให้สำนักวิจัยและพัฒนาเกษตรทั้ง 8 เขตได้ช่วยกันพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืชให้ไปในทิศทางดังกล่าว ร่วมถึงการพัฒนาเครื่องจักร เครื่องมือทางการเกษตรเพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิตของเกษตรกร ที่ผ่านมางานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรในปี2564 ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น 14 รางวัล อาทิ ประเภทงานวิจัยพื้นฐานการค้นหาและพัฒนาเครื่องหมายสนิปส์ใหม่เพื่อร่นระยะเวลาการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลังให้มีไซยาไนด์ต่ำต้านทานโรครากปมและโรคใบด่างมันสำปะหลัง ประเภทพัฒนางานวิจัย การผลิตสารยับยั้งเอนไซม์แอลฟ่า - กลูโคซิเดส จากหอมแดงและการขยายผลเชิงพาณิชย์ และการวิจัยการศึกษาฟิล์มเจาะรูขนาดไมครอนเพื่อยึดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้ "กรมวิชาการเกษตร"จับมือองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกพัฒนาโครงการที่เกี่ยว
กรมวิชาการเกษตร ลงนาม MOU ร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการดำเนินการตรวจรับรองประเมินโครงการ รับรองการคำนวณคาร์บอนเครดิตทางการเกษตรและป่าไม้ ดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด และประเมินคาร์บอนเครดิตในภาคการเกษตร นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือ ระหว่าง กรมวิชาการเกษตร กับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและดำเนินการประเมินคาร์บอนเครดิตในภาคการเกษตร การทำ MOU หรือ ลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายผลักดันเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว BCG (Bio-Circular-Green Economy) ให้เป็นกลไกที่สำคัญของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ ความเข้าใจในความเสี่ยงที่ต้องรับมือและปรับตัวต่อผลกระทบที่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะนำไปสู่การพัฒนา ระบบการปลูกพืชและการผลิตสินค้าเกษตร และการจัดระเบียบวิธีในการประเมินโครงการในการที่จะเข้าร่วมประเมินคาร์บอนเครดิต และพัฒนางานวิจัยด้านการเก็บข้อมูลคาร์บอนเครดิตร่วมกันได้อีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือกระจกภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด CDM (Clean Development Mechanism) การใช้คาร์บอนฟุตปริ้นท์ (Carbon Footprint) ที่ตอนนี้เป็นประเด็นสำคัญ ในการส่งออกสินค้าเข้าสู่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การลงนามข้อตกลงความร่วมมือของกรมวิชาการเกษตรในครั้งนี้ นอกจากจะสามารถพัฒนาองค์ความรู้ ความเข้าใจ ในการปรับตัว ผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการพัฒนา งานวิจัย กระบวนการการเก็บข้อมูล วิธีการในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตปริ้นท์ โดยกรมวิชาการเกษตรจะร่วมส่งเสริมและสนับสนุนทำแผนความร่วมมือกับคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ กรมวิชาการเกษตร มีเป้าหมายที่จะพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สามารถเป็นผู้รับรองการตรวจประเมินโครงการ และรับรองการคำนวณคาร์บอนเครดิตด้านการเกษตร รวมถึงพัฒนาและนำพื้นที่ปลูกพืชที่มีครอบคลุมอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศของกรมวิชาการเกษตร ขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER และรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ เพื่อเป็น “คาร์บอนเครดิต” ของหน่วยงาน ซึ่งในระยะแรกจะดำเนินการในพืชนำร่องกลุ่มไม้ผล ปาล์มน้ำมัน และยางพารา โดยจะดำเนินการให้ครอบคลุมพืชอื่นๆ ในระยะถัดไป รวมทั้งจะขยายผลสู่กลุ่มเป้าหมายภาคการเกษตรที่มีศักยภาพต่อไป |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |