Group Blog All Blog
|
โชว์ผ้าไหมไทย"เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งไหมไทย"
ก.เกษตรฯ โชว์ผ้าไหมไทย"เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งไหมไทย" เมืองสกลนคร สืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม "ประกวดเส้นไหม ผ้าไหม ผลิตภัณฑ์จากหม่อน และส่งเสริมตลาดผ้าไหม ประจำปี 2565" “เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งไหมไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 21 มิถุนายน 2565 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ริมฝั่งหนองหาร ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร นายเฉลิมชัย กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการอนุรักษ์ และสืบสานวัฒนธรรมการสาวไหมแบบพื้นบ้านของไทย ให้เยาวชนและเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่ดีงามแบบดั้งเดิม รวมทั้งเชิดชูบุคคลที่ผลิตผลงานคุณภาพด้านหม่อนไหม สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่จะเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการสืบสานพระราชปณิธาน และขยายผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ซึ่งประเทศไทยมีการทำอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นเวลานาน มากกว่า 100 ปี ภายในงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบเงินรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมระดับประเทศ จำนวน 1 ราย มอบใบรับรองร้านค้าจำหน่ายผ้าไหมไทยที่ได้มาตรฐาน จำนวน 4 ร้าน มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่เกษตรกรหม่อนไหม ได้แก่ เกษตรกรต้นแบบด้านการทอผ้าไหม จำนวน 2 ราย ด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จำนวน 1 ราย ผู้ส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จำนวน 5 ราย (ปราชญ์หม่อนไหม) นายศรัญญู พูลลาภ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กิจกรรมภายในงาน กำหนดให้มีการจัดนิทรรศการ การประกวด และการแข่งขัน รวมทั้งสิ้น 29 ประเภท ประกอบด้วย 1) การแข่งขันสาวไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน 6 ประเภท รวม 54 ทีม 2) การประกวดผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีทอง 11 ประเภท รวม 291 ผืน 3) ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีเงิน 1 ประเภท รวม 57 ผืน 4) ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีน้ำเงิน 9 ประเภท รวม 317 ผืน 5) ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีเขียว 1 ประเภท รวม 24 ผืน 6) การประกวดสิ่งประดิษฐ์จากผ้าไหม ประเภท กระเป๋าสตรี 1 ประเภท รวม 32 ใบ ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลที่ 1 ทุกประเภท จะได้รับโล่พระราชทานจากสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และจะถูกนำไปจัดแสดงในงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย ครั้งที่ 17 ประจำปี 2565” ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์จัดแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เปิดตัวศูนย์กัญชาแจกวันแรก-กระจายสู่ประชาชนเดือนละ 1 2 แสนต้น
"มนัญญา"เดินสาย’ เปิดตัวศูนย์กัญชา กัญชง และกระท่อม เปิดลงทะเบียนแจกกัญชาล้านต้นสู่ครัวเรือนวันแรก พร้อมกระจายพันธุ์ดีสู่ประชาชนเดือนละ 1 – 2 แสนต้น
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ One Stop Service กัญชา กัญชง และกระท่อม พร้อมเปิดตัวโครงการ “แจกกัญชา กัญชง ล้านต้น สู่ครัวเรือน” โดยมี นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรณ พร้อมด้วย ผู้บริหารกรมวิชาการเกษตร เจ้าหน้าที่ เข้าร่วม ณ ศูนย์บริหารจัดการพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม แบบเบ็ดเสร็จ ตึกกสิกรรม กรมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะที่ดีตามความต้องการ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม ตั้งแต่การรวบรวม ศึกษา พร้อมคัดเลือกและขยายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พื้นเมืองของไทย หรือพันธุ์การค้าจากต่างประเทศ มีโครงการทดสอบสายพันธุ์กัญชงที่เหมาะสมกับพื้นที่ประเทศไทย และมีการวิจัยเทคโนโลยีการผลิตพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมพัฒนาพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม ที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ของประเทศไทย และจะนำมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือน ทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตรยังมีภารกิจด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม ภายใต้ พ.ร.บ.กักพืช พ.ร.บ.พันธุ์พืช และ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช เพื่อควบคุมกำกับดูแลการนำเข้า ส่งออก รวมถึงการขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชา กัญชง และกระท่อม ซึ่งได้มอบนโยบายให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงาน ตามภารกิจ และกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร โดยหลังจากปลดล็อกออกจากรายชื่อยาเสพติด มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการเพาะปลูก กฎระเบียบในการควบคุมกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า ส่งออก การขึ้นทะเบียนพันธุ์ หรือ การขายเมล็ดพันธุ์ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการแนะนำและส่งเสริม “ต้นพันธุ์กัญชา กัญชงที่แจก จะมีคิวอาร์โค้ดข้อมูลพันธุ์และคู่มือการดูแล เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจปลูกอย่างไรให้เป็นพืชสมุนไพร และยารักษาโรคได้ โดยไม่อันตรายต่อตัวเองและผู้บริโภค เราต้องการให้ประชาชนที่ได้รับมีความรู้ความเข้าใจ และกระจายความรู้ต่อๆ กันไป เพราะขณะนี้ยอมรับว่ากัญชาเป็นกระแสที่ทุกคนให้ความสนใจ จึงขอฝากไปถึงผู้ปลูกขอให้มีเจตนารมย์ที่ดี ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น” รมช.มนัญญา กล่าว ศูนย์บริหารจัดการพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม แบบเบ็ดเสร็จจะทำหน้าที่ประสานงานวิจัยและพัฒนา พืชชนิดกัญชง กัญชา และกระท่อม ของหน่วยงานภายนอกอื่นๆ พร้อมสนับสนุนและให้ข้อมูลด้านต่างๆ แบบครบวงจร แก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน ตลอดจนผู้สนใจ รวมถึงบริการข้อมูล และความรู้ วิธีการปลูก การดูแลรักษา การจัดการโรคและแมลง จากการที่กรมวิชาการเกษตรได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) พืชสกุลกัญชา ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และศึกษาวิจัยไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 จึงนำไปสู่โครงการส่งเสริม สนับสนุน การปลูกกัญชา กัญชง 1 ล้านต้น ตามนโยบายรัฐบาล (โครงการ “แจกกัญชา กัญชง ล้านต้น สู่ครัวเรือน”) เพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกร ตลอดจนประชาชนผู้สนใจได้ใช้ต้นกล้าพันธุ์ดี มีคุณภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่อไป เริ่มเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนรับกล้าพันธุ์กัญชาพันธุ์ดีวันที่ 16 มิถุนายนนี้เป็นวันแรก ครัวเรือนละ 2 ต้น ตามเป้าหมาย 1 ล้านต้นของรัฐบาลหรือประมาณ 500,000 ครัวเรือน พันธุ์ที่แจกหลักๆ คือ พันธุ์อิสระ 01 พัฒนาพันธุ์โดยกรมการแพทย์ กรมวิชาการเกษตร และมูลนิธิวนเกษตรอินทรีย์โดยกรมวิชาการเกษตรจะจัดแจกได้เดือนละ 1 - 2 แสนต้น และผู้ลงทะเบียนจะได้รับต้นกัญชาหลังลงทะเบียนประมาณ 30 วัน สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถลงทะเบียนได้ที่ศูนย์บริการจัดการพืชกัญชา กัญชง และกระท่อมแบบเบ็ดเสร็จ หรือลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ "กษ."จับมือสถาบันอาหารขับเคลื่อนสินค้าเกษตรดันส่งออก
“กระทรวงเกษตรฯ”จับมือสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมขับเคลื่อนพัฒนา สินค้าเกษตร เพื่อผลักดันการส่งออก สร้างความมั่นคงด้านอาหารและเพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืนหลังประเมิน โลกกำลังเข้าสู่ภาวะความมั่นคงด้านอาหาร จากผลกระทบ รอบด้าน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะได้ร่วมประชุมหารือความร่วมมือกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ สถาบันอาหาร โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสถาบันอาหาร นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร นางนิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร นางสาวรพีพร สุทาธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ นายพงศ์ไท ไทโยธิน ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง โดยการหารือความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสถาบันอาหาร ครั้งนี้ถือเป็นการขยายความร่วมมือในการพัฒนาสินค้าเกษตรอาหาร สู่เกษตรมูลค่าสูงที่เน้นการนำองค์ความรู้ และงานวิจัยในส่วนต่างๆที่มี มาใช้ในการแปรรูป การวิจัยตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรอาหารให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จากการประเมิน สถานการณ์ขณะนี้พบว่าโลกกำลังเกิดปัญหาความมั่นคงด้านอาหารอันเนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤติโควิด19 สงครามรัสเซีย-ยูเครนและความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศจึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและส่งออกอาหารลำดับ 13 ของโลกจึงจำเป็นจะต้องเร่งพัฒนาภาคการผลิตผลผลิตทางการเกษตรและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เกษตรมูลค่าสูงหนึ่งในหมุดหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่จะต้องสร้างรายได้ให้กับประเทศและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการนำประเทศไทยในฐานะครัวโลกสู่ประเทศผู้ส่งออกอาหารท็อปเทนของโลกตามมติของคณะรัฐมนตรีต่อไป หวั่นซ้ำรอย"ปศุสัตว์"คุมเข้มป้องกันโรคลัมปี สกิน
นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า เนื่องด้วยเข้าสู่หน้าฝน สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อระดับภูมิคุ้มกันโรคในสัตว์ และจากอิทธิพลของพายุลมมรสุมเป็นปัจจัยที่ทำให้สัตว์แมลงพาหะมีการกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้สัตว์ที่ไม่สามารถปรับตัวได้และมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำเกิดอาการป่วยและในกรณีที่รุนแรง ไม่สามารถทำการรักษาได้ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin) ซึ่งถือเป็นโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทยพบครั้งแรกในปี 2564 ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2564 เกิดจากเชื้อไวรัสพบเฉพาะในโคกระบือ
เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดกรมปศุสัตว์ได้มีมาตรการในการควบคุม ป้องกันโรคลัมปี สกินในโคกระบือ มาอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง โดย เฝ้าระวัง ควบคุมและป้องกันโรคลัมปี สกิน ให้อยู่ในวงพื้นที่จำกัดโดยเร็ว ลดผลกระทบและความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด และสามารถดำเนินการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ ได้บูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมการระบาดของโรค ตามมาตรการควบคุม ป้องกันโรคลัมปี สกินในโคกระบือโดยการเฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด และมีระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ (E-Smart surveillance) เพื่อการรายงานการเกิดโรคในพื้นที่ โดยให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดมีการรายงานการระบาดของโรคทุกวัน
ขณะเดียวกันยังมีการควบคุมการเคลื่อนย้ายอย่างเข้มงวดตามแนวทางที่กรมปศุสัตว์กำหนด ตามแหล่งรวมสัตว์ตลาดนัดค้าสัตว์ และตามชายแดนการควบคุมแมลงพาหะนำโรค โดยให้เกษตรกรมีการป้องกัน และควบคุมแมลงพาหะนำโรค ใช้สารกำจัดแมลงทั้งบนตัวสัตว์และบริเวณพื้นที่เลี้ยงสัตว์ เพื่อลดจำนวนแมลงพาหะในการนำเชื้อไวรัสเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงวิธีการอื่นๆ เช่น การกางมุ้ง ใช้ไฟไล่แมลง กับดักแมลง เป็นต้น ทั้งในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคและในพื้นที่เสี่ยง
นอกจากนั้นยังมีการรักษาสัตว์ป่วย โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ยังไม่มียารักษาที่จำเพาะ จึงต้องจำเป็นที่จะต้องรักษาตามอาการ โดยหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ของกรมปศุสัตว์ พร้อมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้โคกระบือ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้
กรมปศุสัตว์ได้มีการนำเข้าวัคซีนโรคลัมปี สกินจากต่างประเทศ และนำไปฉีดให้กับโคกระบือของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ตามแผนการจัดสรรวัคซีนของกรมปศุสัตว์แล้วจำนวน 360,000 โด๊ส ได้อำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัคซีนจำนวน 572,000 โด๊ส ให้สมาคมผู้เลี้ยงโครวม 13 สมาคม ได้รับบริจาคจากบริษัทผู้นำเข้าอีกจำนวน 100,000 โด๊ส
ปัจจุบันพบว่าแนวโน้มการระบาดของโรคลัมปี สกิน ในประเทศมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ สามารถควบคุมโรคได้ในวงพื้นที่จำกัด และเพื่อให้ภูมิคุ้มกันระดับฝูงที่ดีได้ กรมปศุสัตว์จึงต้องดำเนินการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอและครอบคลุมประชากรสัตว์ เพื่อให้การควบคุม ป้องกันโรคเกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ต่อไป และขอความร่วมมือเกษตรกรปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคลัมปี สกินที่ทางกรมปศุสัตว์กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อตัวเกษตรกรและชุมชนต่อไป
"อลงกรณ์นำเจรจารัสเซียซื้อปุ๋ยราคามิตรภาพช่วยเกษตรกร
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากปัญหาการขาดแคลนปุ๋ย และส่งผลให้ปุ๋ยราคาแพง ต่อเนื่องโดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาและช่วยเหลือเกษตรกรเป็นการเร่งด่วน ตนได้หารือกับ นิโคไล เชอร์เยฟ ที่ปรึกษาสำนักงานผู้แทนการค้ารัสเซียประจำประเทศไทย วิตาลี คิสเซเรฟประธานหอการค้าไทย-รัสเซีย พร้อมด้วยนายยงยุทธ สาระสมบัติ นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทย-รัสเซีย นายอาณัติชัย รัตตกุล คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯและคณะ
เกี่ยวกับการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากรัสเซียในราคามิตรภาพซึ่งจากการหารือรอบแรกผู้แทนการค้าโดยจากการการรือรัสเซียยืนยันว่ารัสเซียกับไทยมีความสัมพันธ์กันมากว่าร้อยปีจึงเห็นด้วยในหลักการที่จะขายปุ๋ยให้ไทยในราคาพิเศษโดยสถาบันเกษตรกรหรืออตก.และจำหน่ายสู่เกษตรกรโดยตรงซึ่งภาครัฐตกลงกันเรื่องราคามิตรภาพและมอบหมายเอกชนผู้ส่งออกนำเข้าของ2ประเทศไปเจรจากันและจะเชิญผู้แทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ตัวแทนสถาบันเกษตรกรสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และสมาคมผู้ค้าปุ๋ยร่วมหารือร่วมกันอีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนปุ๋ยค่อไป
สำหรับการนำเข้าประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศเกือบ100% กว่า 5 ล้านตัน เป็นมูลค่ากว่า 73,430 ล้านบาทในปี2564 มากกว่าปี 2563ถึง 54.1%โดยรัสเซีย เป็นประเทศที่ส่งออกปุ๋ยเคมี คิดเป็นมูลค่ามากที่สุดในโลกปีละกว่า 2 แสนล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 12.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งโลก โดยไทยนำเข้าจากรัสเซียเป็นมูลค่า 5,670 ล้านบาทในปี ที่แล้วคิดเป็นสัดส่วนราว 7.7% ของการนำเข้าปุ๋ยเคมีทั้งหมด จากการแพร่ระบาดของโควิด19 ราคาปุ๋ยเคมีทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นและเมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนยิ่งทำให้ปุ๋ยเคมีมีราคาสูงยิ่งขึ้นไปอีกกระทบต่อต้นทุนของเกษตรโดยตรง ก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรฯ. กระทรวงการต่างประเทศและหอการค้าไทยได้เจรจาขอซื้อปุ๋ยเคมีราคามิตรภาพจากซาอุดีอาระเบียจนสามารถตกลงในหลักการและขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจานำเข้าส่งออกของภาคเอกชนของ2ประเทศ |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |