Group Blog All Blog
|
ปราบทุเรียนอ่อนเตรียมพร้อมส่งออก
"อธิบดีกรมวิชาการเกษตร"จับมือผู้ว่าจันทบุรีลงพื้นที่ ลุยปราบทุเรียนอ่อนเตรียมความพร้อมส่งออกทุเรียน ภาคตะวันออก ฤดูกาลผลิตปี 65ชู ปลอดศัตรูพืชและโควิด เบื้องต้นยึดของกลาง 3 ตัน พร้อมเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายและเพิกถอนใบรับรอง
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วยนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี พร้อมแถลงข่าวการจับกุมและดำเนินคดีตัดทุเรียนไม่ได้คุณภาพ(อ่อน) เพื่อการส่งออก ณ สถานีตำรวจภูธรท่าใหม่ นอกจากจะดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุในคำสั่งจังหวัดจันทบุรีแล้ว ในส่วนของกรมวิชาการเกษตรก็จะมีการดำเนินการกับเกษตรกรและโรงคัดบรรจุที่ขึ้นทะเบียน โดยเกษตรกรเจ้าของผลผลิตทุเรียนด้อยคุณภาพที่อายัดไว้ ตรวจสอบแล้ว พบว่าได้รับการรับรอง GAP จาก สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6 )กรมวิชาการเกษตร พื้นที่การผลิต จำนวน 3 ไร่ ด้วยหากสืบสวนแล้วปรากฏว่ามีเจตนาให้ตัดผลผลิตไม่ได้คุณภาพ หรือเพิกเฉยไม่คัดค้านการนำผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพของตนออกสู่ท้องตลาด ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายหลักที่จะผลักดันและสนับสนุนให้การส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศมีความคล่องตัวและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน เป็นนโยบายสำคัญที่นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้ลงพื้นที่พร้อมด้วยนายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เพื่อติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานการส่งออกผลไม้ภาคตะวันออกฤดูกาลผลิตปี 2565 โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งกำลังมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดในขณะนี้ เนื่องจากกรมวิชาการเกษตรมีภารกิจหลักในการตรวจสอบศัตรูพืชไม่ให้ติดปนเปื้อนไปกับผลผลิตที่จะส่งออก กรมวิชาการเกษตร ได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่คือ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรีให้ความร่วมมือดำเนินการป้องกันและตรวจสอบร่วมกับจังหวัดจันทบุรี ตามประกาศการกำหนดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน โดยใช้ค่ามาตรฐานเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนตามมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องทุเรียนซึ่งระบุว่า ทุเรียนพันธุ์กระดุม ไม่น้อยกว่า 27 % พันธุ์ชะนีและพันธุ์พวงมณี ไม่น้อยกว่า30% และพันธุ์หมอนทองไม่น้อยกว่า 32% ถ้าเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่านี้ ถือว่าเป็นทุเรียนอ่อนขอเน้นย้ำว่าทางกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพมาตรฐานการส่งออก จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรและผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการส่งออกของประทศคู่ค้าอย่างเคร่งครัด ดัน"ลานนา Pig Sandbox"ฟื้นฟูกลุ่มสุกรรายย่อย
ที่ จ.เชียงราย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตสุกรของจังหวัดเชียงราย รับฟังปัญหาในการเลี้ยงสุกร และหาแนวทางเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย-เล็ก ให้สามารถกลับเข้ามาเลี้ยงในระบบ เลี้ยงในฟาร์มที่มีมาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดโรคระบาดในสุกร
เฉลิมชัย"เดินหน้าดันไทยฮับออร์แกนิคอาเซียน
“เฉลิมชัย"เดินหน้าดันไทยฮับออร์แกนิคอาเซียนโชว์ผลงานขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.5ล้านไร่เกินเป้าหมายพร้อมมอบ”อลงกรณ์”ขับเคลื่อนโครงการ”เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง”ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ"เกษตรกรรมยั่งยืนวิถีในเมือง จาก Post Covid-19 สู่ Next Normal"ในงานสัมมนาเกษตรอินทรีย์วิถีในเมือง จัดโดยสำนักงานสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารในเมืองอย่างมากเนื่องจากในปี2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกสะท้อนถึงการขยายตัวของเมือง(Urbanization)และชุมชนเมืองมีการผลิตอาหารได้เองไม่ถึง10% มีวัตถุประสงค์ 6 ประการ ได้แก่ 1. การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง 2. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3. การลด PM 2.5 และลดก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) 4. การเพิ่มคุณภาพอากาศ 5. การอัพเกรดคุณภาพชีวิตของประชาชน 6. การสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ(Climate Change) ของโลกด้วย นอกจากนั้นกระทรวงเกษตรฯยังมุ้งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายในปี 2565” โดยการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ 2560 – 2564)ได้ มีโครงการเพื่อขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งสิ้น 342 โครงการ เพื่อมุ่งสู่การเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ และมีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย รวมถึงมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปีในปี 2564 มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน (ภาครัฐและภาคเอกชน) อยู่ที่ 1.51 ล้านไร่ มีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์จำนวน 95,752 ราย เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ.กำลังขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 - 2570 ประกอบด้วย ประเด็นการพัฒนา ได้แก่ 1) ส่งเสริมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ 2) พัฒนาศักยภาพการผลิต และการบริหารจัดการตลอดโซ่อุปทานเกษตรอินทรีย์ 3) ยกระดับมาตรฐานและระบบการตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ และ 4) พัฒนาการตลาด และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ในปี 2565กระทรวงเกษตรฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 851.10 ล้านบาท ดำเนินการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ รวม 94 โครงการ ประกอบด้วย แผนการส่งเสริม วิจัย พัฒนานวัตกรรม ฐานข้อมูล และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ รวม 48 โครงการ งบประมาณ 176.83 ล้านบาท พัฒนาการผลิตและการบริหารจัดการเกษตรอินทรีย์ รวม 21 โครงการ งบประมาณ 552.00 ล้านบาท และพัฒนาการตลาด การบริการ และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ รวม 25 โครงการ งบประมาณ 122.27 ล้านบาท รวมถึงสนับสนุนการสร้างพื้นที่เกษตรกรรมในเมืองให้เป็นแหล่งผลิตอาหารของชุมชน เพิ่มความสามารถการพึ่งตนเองด้านอาหาร ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจของชุมชนเมืองเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตวิถีใหม่ ผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่รับผิดชอบเรื่องเกษตรอินทรีย์ เกษตรกร และประชาชนที่สนใจในการผลิตสินค้าอินทรีย์และทำเกษตรกรรมยั่งยืนในชุมชน จำนวน 280 คน ขณะเดียวกัน ยังมีวิทยาร่วมให้ความรู้ ได้แก่ นางสาวไปรยา เศวตจินดา กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส บรรยายเรื่อง “เกษตรอินทรีย์ในเมืองกรณีศึกษาประเทศสหรัฐอเมริกา” รองศาสตราจารย์ ดร.เอกราช เกตวัลห์ รองผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายเรื่อง “กินอย่างไรไกลโรค สู่ Next Normal” นายวีระ สรแสดง จาก Res-Q farm ฟาร์มแห่งแรงบันดาลใจ เกษตรไร้ขีดจำกัด และนายชารีย์ บุญญวินิจ จากฟาร์มลุงรีย์ เกษตรอินทรีย์ครบวงจร บรรยายเรื่อง “Success case : เกษตรกรรมยั่งยืนวิถีคนเมือง” รวมทั้งมีการเสวนาเรื่อง “เกษตรกรรมยั่งยืนวิถีชุมชนเมืองยุค Next Normal” โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ นายอนันตโชค ศักดิ์สวัสดิ์ ผู้จัดการเครือข่ายธนาคารอาหารประเทศไทย นายยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิก และกรรมการผู้จัดการบริษัท ฉมา จำกัด และนายชาคริต โภชะเรือง กลุ่มสวนผักคนเมืองหาดใหญ่ ตั้งเป้าไทยศูนย์กลางโลจิสติกส์เกษตรอาเซียน
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้า (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ระยะ 5 ปี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ในคราวการประชุม ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานอนุกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม
ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2566 - 2570) ตามที่ สศก. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์สาขาเกษตรเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. 2566 - 2570) ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้ กำหนดประเด็นการพัฒนา 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการในการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตร 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์เกษตร และ 3) การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการขับเคลื่อนโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ประกอบด้วย การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการในการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตรเน้นการยกระดับสถาบันเกษตรกรที่มีความเข้มแข็งให้เป็นผู้ประกอบการโลจิสติกส์เกษตร สนับสนุนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตร สร้างและพัฒนาเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรต้นแบบ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ให้มีองค์ความรู้ด้านการพัฒนาระบบ โลจิสติกส์ภาคการเกษตร ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์เกษตรโดยการยกระดับศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรของสถาบันเกษตรกร สร้างเครือข่าย สถาบันเกษตรกรให้เป็นฐานการรวบรวมกระจายและเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าเกษตรที่สำคัญในภูมิภาค พัฒนาตลาดกลาง และเชื่อมโยง ตลาดระดับต่าง ๆ บูรณาการและผลักดันการใช้กลไกภาครัฐ สศก. จะเตรียมเสนอความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร พร้อมทั้ง สาระสำคัญของแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2566 - 2570) ต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธาน ในเดือนมีนาคม 2565 หลังจากนั้น จะจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ฉบับสมบูรณ์ พร้อมเผยแพร่และสร้างการรับรู้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป เตือนภัยแปลงมะเขือเทศหนอนแมลงวันชอนใบ-โรคเหี่ยวเขียว
"กรมวิชาการเกษตร"แจ้งเตือนภัยแปลงมะเขือเทศเฝ้าระวังหนอนแมลงวันชอนใบและโรคเหี่ยวเขียว ชี้หากพบระบาดขั้นรุนแรงต้นตาย แนะเกษตรกรหมั่นสำรวจแปลง หากพบการะบาดให้เผาเศษใบมะเขือเทศที่ถูกทำลายตัดวงจรแพร่ระบาด ขุดต้นที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลง พร้อมกับไม่ปลูกพืชอาศัยเชื้อสาเหตุโรคช่วยลดการแพร่ระบาดโรคเหี่ยวเขียว
สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร แจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศหมั่นสำรวจสวนและเฝ้าระวังการเข้าทำลายของศัตรูพืชที่มักพบระบาดในช่วงเวลานี้คือหนอนแมลงวันชอนใบ พบการเข้าทำลายได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ โดยตัวหนอนจะชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา เมื่อนำใบมะเขือเทศมาส่องดูจะพบหนอนตัวเล็กสีเหลืองอ่อนโปร่งแสง ใส อยู่ภายในเนื้อเยื่อใบ หากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่นซึ่งจะมีผลต่อผลผลิตหากมะเขือเทศไม่สามารถสร้างใบทดแทนได้ก็จะตายไปในที่สุด เนื่องจากดักแด้ที่อยู่ตามเศษใบมะเขือเทศจะถูกทำลายไปด้วย ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพตามคำแนะนำ เช่น อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เบตา-ไซฟลูทริน 2.5% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นสารฆ่าแมลงเมื่อพบการระบาด พ่น 2 ครั้งติดต่อกัน ทุก 5 วัน นอกจากนี้ เกษตรกรยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคเหี่ยวเขียวจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum โดยอาการเริ่มแรกใบล่างจะเหี่ยวและลู่ลง ใบแก่ที่อยู่ด้านล่างมีอาการเหลือง และใบที่เหี่ยวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ระยะแรกจะแสดงอาการเหี่ยวเฉพาะเวลากลางวันที่อากาศร้อนจัด ต่อมาอาการเหี่ยวจะนานขึ้นจนกระทั่งเหี่ยวถาวรทั้งวัน อาการจะลามขึ้นไปยังส่วนยอด ขอบใบม้วนลงด้านล่าง เมื่อถอนต้นขึ้นมาพบว่ารากเกิดอาการเน่า และถ้าตัดลำต้นตามขวางแช่น้ำสะอาด ภายใน 5-10 นาทีจะมีเมือกสีขาวขุ่นไหลออกมาตามรอยตัดเป็นสายละลายปนกับน้ำ หากอาการรุนแรงจะพบภายในลำต้นกลวง เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลายโดยเชื้อสาเหตุโรคและมะเขือเทศจะตายในที่สุด แนวทางในการป้องกันกำจัดโรคเหี่ยวเขียว เกษตรกรควรเลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อนและมีการระบายน้ำที่ดี ไถพรวนดินให้ลึกเกินกว่า 20 เซนติเมตรจากผิวดินและตากดินไว้นานกว่า 2 สัปดาห์จะช่วยลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรคในดินลงได้มาก พร้อมกับหมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบต้นที่แสดงอาการของโรคให้ขุดต้นที่เป็นโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูกทันที และโรยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุดเพื่อป้องกันการระบาดของโรค อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการเกษตรควรฆ่าเชื้อโดยจุ่มหรือพ่นด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือคลอรอกซ์ 10% ก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการระบาดของเชื้อ ปรับระบบการให้น้ำ ควบคุมความชื้นในดินไม่ให้มากเกินไปเพื่อลดการเกิดโรค ไม่ควรปลูกพืชที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรค เช่น พืชตระกูลขิง พืชตระกูลมะเขือ พริก และถั่วลิสง บริเวณใกล้แปลงปลูกมะเขือเทศที่เป็นโรคเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ในแปลงที่มีการระบาดของโรคหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วให้นำส่วนต่าง ๆ ของพืชที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก และในพื้นที่เกิดโรคระบาดควรปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรค เช่น ข้าวโพด ข้าว ฝ้าย ถั่วเหลือง สลับกันเป็นเวลามากกว่า 1 ปี |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |