มนัญญามอบวัคซีนลัมปี สกิน สร้างความมั่นใจควบคุมการระบาด
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ เป็นประธานพิธีมอบวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease: LSD) ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต อำเภอบ้านไร่ อำเภอทัพทัน อำเภอเมืองอุทัยธานี อำเภอหนองขาหย่าง อำเภอสว่างอารมณ์ และอำเภอหนองฉาง
โดยมี นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายสมพล ไวปัญญา ปศุสัตว์จังหวัดอุทัยธานี หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัดอุทัยธานี และเกษตรกร เข้าร่วม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี นส.มนัญญา กล่าวว่า จากการรายงานของสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอุทัยธานีพบว่า จังหวัดอุทัยธานีพบการระบาดของโรคลัมปี สกิน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 มีสัตว์ป่วยทั้งหมด 290 ตัว (โค 289 กระบือ 1 ตัว) จำนวนสัตว์ตาย 48 ตัว (โค 47 ตัว กระบือ 1 ตัว) และจำนวนสัตว์หายป่วย 242 ตัว (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มกราคม 2565)
ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในภาวะโรคสงบแล้ว โดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอุทัยธานีได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์เฝ้าระวังป้องกันโรคก่อนการเกิดโรคระบาด การควบคุมโรคระบาดตามมาตรการของกรมปศุสัตว์ และการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภายหลังการเกิดโรคระบาดเป็นอย่างดี
โดยจ่ายเงินเยียวยาให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด จำนวน 28 ราย เป็นเงินเยียวยาสัตว์ จำนวน 38 ตัว ซึ่งใช้เงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลัง จำนวนเงินทั้งสิ้น 716,000 บาท และได้จ่ายเงินถึงมือเกษตรกรเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดการฉีดวัคซีนถือเป็นวิธีการป้องกัน ควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ 50 กิโลเมตร จากแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งของจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งช่วยเหลือเกษตรกร และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วน จะร่วมมือกันดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคระบาดลัมปี สกิน ในโค กระบือให้สำเร็จ เพื่อลดความสูญเสียให้กับเกษตรกรต่อไป
"เกษตรฯ"พิธีทำขวัญเกลือรับฤดูกาลผลิตใหม่
"เกษตรฯ"จัดพิธีทำขวัญเกลือพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลรับฤดูกาลผลิตใหม่ กระตุ้นการพัฒนาการทำนาเกลือทะเล โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานสืบสานพิธีทำขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ณ แปลงนาเกลือ หมู่ที่ 9 ต.บ้านแหลม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรี สถาบันเกลือทะเล (Salt Academy) ศูนย์ AIC เพชรบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี สหกรณ์เกลือ และชาวนาเกลือ 7 จังหวัดในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก ซึ่งจะทำพิธีพร้อมกันทุกจังหวัด กำหนดจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เกษตรกรชาวนาเกลือทะเล รวมถึงการรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมการทำนาเกลือทะเลของประเทศ สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์การผลิตเกลือทะเลของประเทสไทย อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการทำนาเกลือทะเล และเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
นายอลงกรณ์กล่าวว่าการจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของนาเกลือเพื่อความเป็นศิริมงคลฤกษ์งามยามดีเสริมสร้างขวัญและกำลังใจสู่ผลผลิตที่สมบูรณ์ต่อยอดด้วยมาตรฐานและคุณภาพใหม่ (มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายสร้าง Story สร้างแบรนด์ด้วยการตลาดยุคดิจิทัล เกลือทะเลมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ไทย ส่วนประวัติศาสตร์โลกนั้นในยุโรปยุคกรีก-โรมันเรียกเกลือว่า สสารแห่งพระเจ้า เป็นยุทธปัจจัยและสารอาหารที่สำคัญมาก การฟื้นฟูให้ความสำคัญกับพิธีทำขวัญเกลือจึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและสร้างแบรนด์เกลือทะเลไทย นอกจากนี้ ยังมีอีกพิธีกรรมคือพิธีแรกนาเกลือในเดือนแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลทำนาเกลือเมื่อแดดแรกมาถึงหลังสิ้นฤดูฝนในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน
สำหรับพิธีแรกนาขวัญเกลือและพิธีทำขวัญเกลือของชาวนาเกลือสอดคล้องกับวิถีชาวนาและเกษตรกรไทยที่มีพิธีมงตลต้นฤดูการเพาะปลูกคือพิธีพืชมงคลและแรกนาขวัญนาเกลือกับนาข้าวคู่กันมากว่า 800 ปี จนมีเพลงฮิตเพลงหนึ่งชื่อ “หนุ่มนาข้าวสาวนาเกลือ” และยังมีกิจกรรมนาเกลือกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้คอนเซ็ปต์ Sand Salt Seafood บนถนนสายเลียบชายทะเล "คลองโคน-ชะอำ" อีกด้วย
เผยผลงานฉก.ปศุสัตว์-ปคบ. ลุยตรวจสอบห้องเย็น
อธิบดีกรมปศุสัตว์เผยผลงานชุดเฉพาะกิจฯ ปศุสัตว์ร่วมเครือข่าย ปคบ. ลุยตรวจสอบห้องเย็นและดำเนินการตามกฎหมายโรคระบาดสัตว์
นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ผลสรุปล่าสุดของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเครือข่ายปฏิบัติงานเร่งตรวจสอบห้องเย็นร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่เครือข่ายกองบังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ที่ได้สนธิกำลังเร่งตรวจสอบห้องเย็นเพื่อกันการกักตุนซากสุกรทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 21-24 มกราคม 2565 สรุปผลการตรวจสอบและการดำเนินการตามกฎหมาย พรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 พบว่าจากการตรวจสอบห้องเย็น 10 แห่ง ในจังหวัดสมุทรสาคร วันที่ 21 มกราคม 2565 นั้น พบการจัดเก็บเนื้อสุกรแช่เย็นที่ไม่มีเอกสารใบอนุญาตในการเคลื่อนย้ายในห้องเย็นจำนวน 3 แห่ง จำนวนทั้งสิ้น 402,938 กิโลกรัม จากบริษัทนำของมาฝากทั้งหมด 4 ราย
โดยได้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทที่นำของมาฝาก โดยผู้ประกอบการจะมีความผิดตาม พรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 22 โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากการตรวจสอบเอกสารที่ผู้ประกอบการได้นำมาชี้แจงแล้ว ได้ทำการถอนอายัดบางส่วนและอายัดเพิ่มเติ่มเนื่องจากนำเอกสารมาแสดงได้บางส่วน และได้ดำเนินคดีกรณีที่ทำการเคลื่อนย้ายเนื้อสุกรเนื้อสุกรแช่เย็น นำมาจัดเก็บห้องเย็นภายนอกโดยไม่มีใบอนุญาตเคลื่อนย้ายเป็นเนื้อสุกร โดยในวันที่ 24 มกราคม 2565 เวลา 22.30 น. พนักงานเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท ได้รวบเอกสารหลักฐานและบันทึกถ้อยคำของผู้กระทำความผิดทั้งหมด มอบให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสมุทรสาคร นำไปดำเนินคดีตามกฎหมายที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาครแล้ว
นอกจากนั้นยังมีการตรวจสอบห้องเย็นจำนวน 2 แห่ง ในจังหวัดนครปฐม วันที่ 22 มกราคม 2565 นั้น พบการจัดเก็บเนื้อสุกรแช่เย็นที่ไม่มีเอกสารใบอนุญาตในการเคลื่อนย้าย และไม่ได้แจ้งต่อกรมการค้าภายใน จำนวนทั้งสิ้น 66,984.34 กิโลกรัม ได้ทำการอายัดทั้งหมด 66,984.34 กิโลกรัม โดยอยู่ระหว่างรอบริษัทที่นำของมาฝากนำเอกสารหลักฐานมาแสดงเพื่อตรวจสอบ ซึ่งหากไม่สามารถแสดงได้จะดำเนินการตามกฎหมายมีความผิดตาม พรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 22 โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต่อไป
อย่างไรก็ตามหากประชาชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือพบเห็นการกระทำผิดด้านปศุสัตว์ โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับข้อมูล หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 หรือ สายด่วนกรมปศุสัตว์
หนุนเกษตรกรปลูกพืชหลากหลายทดแทนนาปรังลดใช้น้ำ
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน – เมษายน เป็นช่วงฤดูแล้ง ที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ มักจะมีปริมาณจำกัดเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ จึงเชิญชวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่สนใจหันมาปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยทดแทนข้าวในฤดูนาปรัง ในพื้นที่ชลประทาน
ทั้งนี้เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พริก แตงโม ข้าวโพดหวาน เป็นต้น ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีอายุการเก็บเกี่ยวไม่เกิน 120 วัน โดยเฉลี่ยการปลูกข้าวพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้น้ำประมาณ 1,200 - 1,500 ลูกบาศก์เมตร/ฤดูกาลผลิต ในขณะที่พืชใช้น้ำน้อยจะใช้น้ำเพียงประมาณไร่ละ 300 - 800 ลูกบาศก์เมตร/ฤดูกาลผลิตเท่านั้น ทั้งนี้จากผลการเก็บข้อมูลของเกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี 2565 มีรายได้จากการปลูกข้าวนาปรัง ปี 2564 เปรียบเทียบกับรายได้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยชนิดต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีการวางแผนการผลิตและการตลาด
พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าว จะมีรายได้ 1,185 บาท/ไร่ (ไม่รวมค่าเช่านา) ในขณะที่เกษตรกรที่ปลูกแตงกวาจะมีรายได้ 24,760 บาท/ไร่, พริกซอส 37,600 บาท/ไร่, ถั่วเขียว 4,040 บาท/ไร่, ข้าวโพดหวาน 1,450บาท/ไร่, ถั่วเหลือง 1,490 บาท/ไร่, แตงโม 12,220 บาท/ไร่, มะเขือเทศ 36,800 บาท/ไร่, มันฝรั่ง 60,075 บาท/ไร่, ถั่วสิสง 5,800 บาท/ไร่, หอมแบ่ง 17,030 บาท/ไร่ และบวบ 32,900 บาท/ไร่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า พืชใช้น้ำน้อยสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ดีกว่าการทำนา
อย่างไรก็ตาม ก่อนการเลือกปลูกพืชแต่ละชนิด เกษตรกรควรจะมีการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการตลาดก่อนเริ่มปลูกเสมอ ตลอดจนประเมินความพร้อมของสภาพพื้นที่ และศักยภาพในการผลิตของเกษตรกร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณตามทีเหมาะสม และมีตลาดรับซื้อผลผลิตที่แน่นอนด้วย
สำหรับโครงการส่งเสริมปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง เป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นทดแทนข้าวในฤดูนาปรัง เพื่อให้เกษตรกรได้เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ตั้งแต่การผลิต การจัดการคุณภาพผลผลิต และการตลาด ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในอาชีพการเกษตร
โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่ดีและเหมาะสม โดยเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรังในปีถัดไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการและการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน