ธรรมะสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ (๔)
วันนี้ เราก็มาพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมอีก คนที่ไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา โอกาสน้อย เวลาน้อยที่จะเข้าไปวัด ไปพบพระเจ้าพระสงฆ์ ก็ต้องฟังแล้วนำไปปฏิบัติอยู่ที่บ้านก็ได้ อยู่ที่นาที่สวนที่ซื้อที่ขายได้ทุกสถานที่ทีเดียว
วิธีที่จะแนะนำนี้คือ ให้ปฏิบัติตัวเอง นี้แหละเป็นธรรมะ ธรรมะคือตัวเราเองนี้แหละ ตัวทุกคนนั้นแหละคือธรรมะ ตัวศาสนาก็คือตัวคนนั่นแหละ ตัวทุกคนนั่นแหละคือตัวศาสนา
เพราะว่าจะอยู่ที่ใดก็คน คนไทยก็เป็นศาสนา คนจีนก็เป็นศาสนา คนอินเดียโน้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้โน้นก็เป็นศาสนา คนเขมรก็เป็นศาสนา คนลาวก็เป็นศาสนา คนญวนก็เป็นศาสนา ให้ว่าทุกคนทุกชาติทุกภาษาทุกเพศทุกวัย เป็นศาสนาทั้งนั้น เป็นธรรมะทั้งนั้น
คำว่า ธรรมะ ก็ตัวทุกคนนั่นแหละเป็นธรรมะ ทำดีมันดี ทำชั่วมันชั่ว ท่านว่าอย่างนั้น ทำดีมันดี ทำชั่วมันชั่ว ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนั้นก็ถูกเหมือนกัน ทำดีคนยกย่องสรรเสริญเรียกว่าเป็นการทำดี ทำชั่วคนนินทาตำหนิ เรียกว่าเป็นการทำชั่วได้รับทุกข์
ทุกข์เกิดขึ้นเพราะว่าเราทำผิด-พูดผิด-คิดผิด เราไม่ได้ดูจิตดูใจ ไม่ได้ดูการกระทำของเรา เรานึกว่าเราทำถูก-พูดถูก-คิดถูก คนอื่นผิด-แน่ะ! อันนี้มันเป็นการเข้าใจผิด มันเป็นการเข้าใจไม่ถูกไม่ตรง เรียกว่าเข้าใจไปตามกิเลส เข้าใจไปตามความคิดความเห็นของตัวเอง มันเข้าข้างตัวเอง มันไม่ได้มีผ่อนสั้นผ่อนยาว มันไม่ได้มาดูตัวชีวิตจิตใจของเรา
ดังนั้น คนทุกคนเกิดมาต้องมีจิตมีใจ ไม่ต้องการความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นนั้นเพราะเราไม่เห็นความคิด ความคิดมันคิดไปแล้วให้รูปให้กายนี้มันทำไปตามความคิด ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนสั้นๆ ศีลก็รวมลงมาที่ตรงนี้ สมาธิก็รวมลงมาที่ตรงนี้ ปัญญาก็รวมลงมาที่ตรงนี้ แม้ให้ทานไหว้พระสวดมนต์ก็รวมลงมาที่ตรงนี้
ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะได้รับผล ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะได้ไปนิพพาน ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะไปตกนรก ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะไปเป็นเปรต อันนั้นมันถูกน้อย เรายังไม่เห็นธรรม-ยังไม่รู้ธรรม-ยังไม่เข้าใจธรรม มันต้องตกนรกไปแต่เดี๋ยวนี้ ความทุกข์ความร้อนนั่นแหละเป็นนรก ความไม่รู้จักอายนั่นแหละเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำอะไรผิดๆ ถูกๆ ป้ำๆ เป๋อๆ ทำไม่พอเป็น กินไม่พอเป็น (ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม) อันนั้นเขาเรียกว่าเปรต เปรตมันจึงปากเล็กท้องใหญ่ กินเท่าใดไม่พอ เขาว่าเปรตมันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น เมื่อเราเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างที่พูดนี้ ตายไปก็ตกนรกจริงๆ มันต้องตกนรกแล้วเดี๋ยวนี้ มันจึงจะไปตกนรกหลังจากการตายไปแล้วโน้น ไปสวรรค์ไปนิพพานก็เช่นเดียวกัน ลักษณะของสวรรค์ (คือ) ตาเห็นอันดี หูฟังอันเพราะ จมูกดมอันหอม กายเนื้อหนังเรานี้ถูกอันอิ่มนวล-ถูกอันพอใจให้ว่าเถอะไป กินอาหารมีรสถูกใจก็เป็นสวรรค์แล้ว ในทางตรงกันข้าม ไม่พอใจของเหม็นของไม่สวยไม่งาม เป็นนรกอีกแล้ว
นิพพานบัดนี่ นิพพานก็หมายถึงความเย็น เย็นอกเย็นใจ ใครจะพูดอย่างไรก็สบายใจ เพราะดูจิตดูใจเราอยู่ คำพูดนั้นมันเป็นเพียงสมมติ ว่าดีว่าชั่ว ว่าสุขว่าทุกข์ มันเป็นเพียงสมมติ จริงก็จริงโดยสมมติ ท่านให้รู้จักว่า จริงโดยสมมติ อยู่ที่ไหนมันก็มีอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ถึงจะมีพระเจ้าพระสงฆ์หรือไม่มีพระเจ้าพระสงฆ์ มันก็มีอยู่อย่างนั้น
ดังนั้น จึงให้ปฏิบัติตัวเรา ให้ตัวเราเป็นพระขึ้นมาได้จริงๆ พระนั้นจึงว่าอยู่ที่บ้านก็ได้ อยู่ที่นาก็ได้ อยู่ที่สวนก็ได้ อยู่ตลาดลาดรีขายสิ่งขายของได้ทั้งนั้น พระจึงแปลว่าผู้ประเสริฐ พระจึงแปลว่าผู้สอนคน คนใดสอนคนให้ละชั่วทำดีนั่นแหละเป็นพระ คนใดจิตใจไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนตรึงอกตรึงใจ (จิตใจมั่นคง) ได้ท่านก็เรียกว่าพระ
มนุษย์-บัดนี้ มนุษย์เป็นผู้หักห้ามจิตใจได้ จิตใจไม่โลเล จิตใจไม่เศร้าหมอง จิตใจไม่ขุ่นมัว จิตใจไม่คิดไปในทางเลวร้าย ท่านเรียกว่ามนุษย์ มนุษย์จึงเป็นผู้มีจิตใจสูง บัดนี้ มนุสภูโต คือ ผู้เป็นใหญ่ในเรา ผู้เป็นใหญ่ในจิต ไม่ให้จิตส่ายลงไปข้างต่ำ เรียกว่าเป็นคน เป็นมนุสภูโต
บัดนี้ หักห้ามจิตใจได้ รู้เห็นจิตใจได้ เรียกว่า มนุสเทโว-มนุษย์เทวดา มีความละอายในการทำการพูดการคิด ทำผิดพูดผิดคิดผิด-ไม่ทำ
อันนั้นคนโบราณท่านจึงสอนว่า ทำผิดพูดผิดแล้ววานนี้ ความผิดนั้นแหละเป็นครู ดีกว่าครู ดีกว่าอาจารย์ ดีกว่าตำรับตำรามาสอนเรา ครูอาจารย์มาสอนเรานั้นเราเพียงจำได้ เมื่อเราทำผิดเองพูดผิดเองคิดผิดเอง ทุกข์เกิดขึ้นมาให้เราได้รับ ผลของมันคือทุกข์เกิดขึ้น อันนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอริยสัจสี่ มันเป็นอย่างนี้ บัดนี้ เมื่อทุกข์ไม่เกิดขึ้นมันก็เป็นสวรรค์ มันก็เป็นนิพพาน
ท่านจึงว่า มนุษย์สมบัติ มนุษย์นี้เป็นสมบัติทุกอย่าง สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ แน่ะ ! เป็นสมบัติของสวรรค์สมบัติของนิพพาน นิพพานเป็นสมบัติของเรา สวรรค์เป็นสมบัติของเรา เมื่อเราทำใจเราได้อย่างนั้น แต่จิตใจไม่ต้องไปทำมันดอก เพียงแต่เรามารู้เท่าทันเหตุการณ์ บัดนี้ ในทางตรงกันข้าม นรกก็เป็นสมบัติของเรา สัตว์เดรัจฉานก็เป็นสมบัติของเรา เปรตก็เป็นสมบัติของเรา เพราะเราทำแล้วนี่
อันนี้แหละ คนโบราณท่านจึงว่า ความผิดเป็นครู-ความผิดเป็นครู - ท่านสอน เมื่อทำผิดแล้วอย่าเพิ่งทำต่อไป-แก้ได้
ดังนั้น อดีตอนาคตนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ไปแก้ ท่านสอนท่านแนะนำให้แก้ปัจจุบัน มันกำลังคิดวูบขึ้นมา ดีใจเสียใจ เราก็มาจับความรู้สึก คว่ำมือหงายมือกำมือเหยียดมือตบแข้งตบขา จับตัวเรานี้แหละ กะพริบตา หายใจ เอียงซ้ายเอียงขวา ความคิดมันก็วางจากอันนั้นเข้ามาอยู่กับความรู้สึกนี้
ความรู้สึกตัวนี้จึงเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด คนใดยังไม่พบ ยังไม่เห็น ยังไม่เป็น ยังไม่มี ก็ถือว่าพูดเล่น แต่อย่างนี้มันไม่ใช่เป็นการพูดเล่น พูดจริงๆ อันนี้พูดให้ฟังจริงๆ ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น
** เชิญอ่าน ~ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ~ค่ะ
|
สวัสดีคร้าบบบ