|
อารมณ์วิปัสสนา (๓) คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เราเคยพูดกันอยู่แล้วว่า อกุศล เรียกว่า โทสะ โมหะ โลภะ เป็นรากเหง้าของอกุศล อกุศลก็คือบาปนั่นเอง พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ ตัวอวิชชานี่แหละ เป็นรากเหง้าทำให้จิตใจเศร้าหมอง ส่วนจิตวิญญาณของคนนั้น ไม่มีการเศร้าหมอง มีแต่ความสะอาด สว่าง สงบ อยู่แล้ว ท่านผู้ฟังทั้งหลาย นั่งอยู่ขณะนี้ ฟังข้าพเจ้าพูด และกับคุณชารลส์พูดอยู่เดี๋ยวนี้ (หลวงพ่อเทศน์ให้นักปฏิบัติชาวสิงคโปร์ฟัง โดยมีพระชาร์ลส์เป็นผู้แปล) จิตใจของท่านผู้ฟังทั้งหลาย เป็นอย่างไรกัน จิตใจเป็นปกติ ใช่ไหม ไม่มีความโกรธ ไม่มีความโลภ ไม่มีความหลง ใช่ไหม...? ฟังข้าพเจ้ากับคุณชารลส์พูดอยู่นี้ จิตใจลักษณะเฉยๆ ใช่ไหม ?
ลักษณะเฉยๆ นี้ ทางธรรมะที่เป็นตัวหนังสือเขียนไว้นั้น เรียกว่า อุเบกขา อุเบกขา แปลว่า วางเฉย
ลักษณะนี้มีอยู่แล้วในทุกคน ไม่มีการยกเว้น ที่เราเคยพูดกันว่า ใจร้าย ใจโกรธ ใจโลภ ใจหลง อันนั้น เป็นการเข้าใจผิด ตัวชีวิตจริงๆ ตัวจิตใจของเราจริงๆ นั้น มันไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยโลภ ไม่เคยหลง มันเฉยๆ อย่างนี้แหละ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ลักษณะนี้ ท่านเรียกว่า นิพพาน เหนือทุกข์ เหนือสุข ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข เฉยๆ นี่แหละ คือ นิพพาน
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย มีปัญญาฟังแล้ว รู้เรื่อง คนที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง เรียกว่า ปุถุชน ไม่มีปัญญา ที่พูดความจริงให้ฟังวันนี้ ก็เพื่อทำความเข้าใจกัน ไม่ให้หลงผิดนั่นเอง การเจริญสติวิธีเคลื่อนไหวนี้ อย่างนานที่ข้าพเจ้าจะพูดให้ฟังวันนี้ เอ้า... ให้เวลา ๑ ปี ท่านผู้ประพฤติปฏิบัติ เมื่อสติปัญญาสมบูรณ์แล้ว ท่านจะรู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง
เห็น รู้ เข้าใจ ขั้นต้นบทนี้ เรียกว่า เห็น รู้ เข้าใจวัตถุ แล้วก็เห็น รู้ เข้าใจปรมัตถ์ แล้วเห็น รู้ เข้าใจอาการ อย่างนี้เรียกว่า เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาเกิดขึ้นจากญาณปัญญาของธรรมชาติ แล้วเห็น รู้ เข้าใจโทสะ แล้วเห็น รู้ เข้าใจโมหะ แล้วเห็น รู้ เข้าใจโลภะ สิ่งเหล่านี้ก็ลดน้อย หรือเบาลงไป พูดความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เคยมีอยู่ในคน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะลดน้อยลงไปอย่างน้อยที่สุดต้อง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติ ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้ว่า น้ำหนักตัวของข้าพเจ้านี้ มีอยู่ ๑๐๐ กิโล เมื่อข้าพเจ้าได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ นี่เป็นพักหนึ่ง แล้วก็เข้าใจ เห็น รู้ โทสะ โมหะ โลภะ ลักษณะนี้ ข้าพเจ้าปรากฏขึ้นมาว่า น้ำหนัก ๑๐๐ กิโลนั้น หลุดไปแล้ว ๖๐ กิโลอย่างน้อยที่สุด แต่พูดเป็นใจของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าสลัดทิ้ง ๘๐ กิโล เมื่อรู้ เห็น เข้าใจอย่างนี้แล้ว เวทนาก็ไม่ทุกข์ สัญญาก็ไม่ทุกข์ สังขารก็ไม่ทุกข์ วิญญาณก็ไม่ทุกข์ อันนี้เป็นอารมณ์-เป็นอารมณ์ของนามรูป ไม่ใช่รูปนาม เพราะลักษณะความคิด คือจิตวิญญาณมันนึก มันคิดนั้น เป็นนาม เป็นรูปของความคิด คิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ อันนั้นแปลว่า นามรูป มันคิด เรียกว่า นามรูป
แต่ก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยรู้อย่างนี้ รู้ตรงนี้แหละ ทำให้จิตใจของผู้ปฏิบัติ คือเจริญสติ เจริญปัญญา จะเบาขึ้น ข้าพเจ้าได้ถามทักทายมาหลายคนแล้วว่า เป็นอย่างไร เป็นพระได้ไหม - เป็นได้ ผู้หญิง ผู้ชาย ตอบข้าพเจ้าเป็นเสียงเดียวกันทั้งหมด
เนี่ยะ ไม่ใช่เป็นเทวดา พระ มันเหนือเทวดาไปแล้ว เทวดานั้นไม่มีจิตใจที่จะเปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระได้ ดังนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าเลยเข้าใจว่า เทวดากับพระนี้- - เราเป็นพระ ไม่ต้องไปกราบไหว้เทวดา เรื่องเหล่านี้ เราไม่เข้าใจเท่านั้น
ผี เทวดา ฤกษ์งามยามดี มันทำอะไรให้เราไม่ได้ ถ้าพูดตรงๆ แล้ว คนโง่เท่านั้น กลัวผี กลัวเทวดา กลัวฤกษ์งามยามดี คนโง่นี้ เรียกว่า จิตใจต่ำ พูดง่ายๆ อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าปุถุชน นั่นเอง ปุถุชน เขาว่าเป็นคนหนาไปด้วยอวิชชา หนาไปด้วยกิเลส ว่าอย่างนั้น จึงว่าเป็นผู้มีจิตใจต่ำ ยังเป็นมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์แปลว่าผู้มีจิตใจสูง เมื่อจิตใจสูงแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวใครที่ไหนเลย
** เชิญอ่าน ~ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ~ค่ะ
|