'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
สมมติ - หน้าที่ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ(๔)

...

ดังนั้นมาที่นี่ การปฏิบัติที่นี่จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรทั้งหมดเลย ตั้งใจให้ปฏิบัติจริงๆ เพื่อทำความเข้าใจจริงๆ ด้วยตนเอง เมื่อพูดเช่นนี้ ก็จะวกเข้ามาพูดเรื่องความเป็นไทยให้ฟังอีกสักพักหนึ่ง อาตมาเกิดแผ่นดินไทย เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เกิดที่บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พ่อก็เป็นคนไทย แม่ก็เป็นคนไทย เกิดมาก็เป็นชาวพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ เรื่องนี้

เมื่อเป็นหนุ่มขึ้นมา มีพี่สาวคนหนึ่งอยู่เมืองลาว ไปเมืองลาวเขาเรียกว่าคนไทย ตามปกติอาตมาต้องไปบ้านนั้นบ้างบ้านนี้บ้าง เขาว่าคนไทยข้ามโขงไปเบื้องฝั่งซ้ายเรียกว่าคนไทย พอดีเดินไปกรุงเทพบ้าง บางทีก็ไปเที่ยว เขาว่าลาว แน่ะ! ว่าความเป็นไทยอยู่ที่ไหนแน่..ไม่รู้ ต่อมา เอ๊ะ..เราก็มีความสงสัยขึ้นมา เอ๊ะ..ความเป็นไทยนี่เป็นยังไง เราเป็นคนไทย ทำไม๊…มากรุงเทพเรียกว่าลาว... ลาวอีสาน ว่าซั่น เป็นคนลาว ว่าซั่น


บัดนี้ เมื่อมาปฏิบัติธรรมะ ก็เลยรู้คนไทยจริงๆ คำว่าไทย ๆ นี่หมายถึงเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่อิสระอยากพูดอะไรพูด อยากทำอะไรทำไป โดยไม่เคารพนับถือ อันนั้นไม่ใช่เป็นคนไทย เขาเรียกว่าคนป่า คนไม่รู้ คนแบบนั้นเรียกว่าอันธพาล คนไทยเนี่ยะ ต้องเป็นอิสระจริงๆ ต่อมาได้ถาม พูดความจริงอะ ถามอาจารย์ทวีวัฒน์ว่า เอ๊..ความเป็นไทยนี่เป็นยังไง อาจารย์ทวีวัฒน์ก็เลยเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ห้าปลดปล่อยทาส ว่าซั่น แต่เรื่องนี้ก็จำได้ พ่อก็เล่าให้ฟัง แต่จำไม่ได้ จำไม่ได้ก็เลยถามเพื่อน รัชกาลที่เท่าไหร่ บอกว่ารัชกาลที่ห้าปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ บ้านอาตมามีทาสเรียกว่า ข้อย คนเรือน คนใช้ กลัว เด็กๆ ก็... ถ้าเป็นเจ้าของบ้านแล้ว คนเป็นทาสนี่ต้องกลัว ใช้อันใดก็ต้องทำไปทั้งหมดเลย เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็ความเป็นทาสของคนจริงๆ

แต่ที่จะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ คำว่าความเป็นไทยนี่ หมายถึงเป็นอิสระคือจิตใจหลุดพ้น ให้เข้าใจอย่างนี้ พูดให้ฟังเนี่ยะ จำได้ แต่บางคนอาจจะไม่รู้วิธีทำ คำว่าจิตหลุดพ้นนี้ทำอย่างไร จิตจึงจะหลุดพ้นได้ พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่า จิตเป็นอิสระ เป็นประภัสสร เรียกว่าจิตหลุดพ้น เป็นอย่างนั้น


ดังนั้น การกระทำเรื่องนี้ มีทางเดียวเรียกว่า ทางสายเอก ว่า คือการเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา คำว่าเจริญสตินี่ สติ, เป็นเพียงคำพูด สติเรียกว่าความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว พูดภาษาบ้านเราเรียกว่าคนลืมตัว คนไม่รู้ตัวเอง ต่อมาเมื่ออายุ ๔๖ ปีนี่แหละ ไปปฏิบัติธรรมะวิธีเคลื่อนไหว นุ่งกางเกงขาสั้นบ้าง ขายาวบ้าง เป็นโยม อย่างพวกโยมมานั่งอยู่ที่นี่แหละ เป็นโยมไปปฏิบัติธรรมะ รู้ขึ้นมา เพราะทำความรู้สึกตัวนี่แหละ พลิกมือขึ้นก็รู้ ยกมือขึ้นก็รู้ มีสติเข้าตามรู้จริงๆ ความไม่รู้มันเลยหายไป หายไป ความรู้มากขึ้น ๆ เหมือนวิธีบวกกับลบนี่แหละ ลบความไม่รู้หนีไป บวกความรู้มากขึ้น ๆ จนเต็ม เรียกว่าเต็ม คำว่าเต็มนี่หมายถึงนับ หนึ่งสองสามสี่ห้า หกเจ็ดแปดเก้าสิบ เมื่อสิบแล้วก็สมบูรณ์แล้วบัดนี่ ถ้าจะนับให้ถึงร้อยก็นับไป ถึงร้อยก็สมบูรณ์ไป

อันนี้ก็เหมือนกัน ทำจังหวะเนี่ยมากขึ้น..รู้ เอียงซ้ายเอียงขวา..รู้ พริบตาอ้าปาก..รู้ หายใจเข้าหายใจออก..รู้ กลืนน้ำลายผ่านลงไปในลำคอ..รู้ เอียงซ้ายเอียงขวาก้มเงย..รู้ รู้ทุกวิธี อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์ เรียกว่าเต็มบริบูรณ์ เมื่อเต็มแล้วเกิดความคิดหรือปัญญาชนิดหนึ่ง ให้เรารู้ตัวเอง รู้ตัวเองก็ไม่ได้รู้อะไร รู้รูปรู้นามนี่แหละ อย่างที่เคยพูดให้ฟัง

พูดความอื่นไม่เป็นหรือหลวงพ่อ อาจจะคิดอย่างนั้น, เป็น แต่มันไม่จริง, ความจริงนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ต้องรู้อย่างนี้ รู้อย่างอื่นไม่ถูกต้อง เพราะศึกษาตัวเองก็ต้องรู้ตัวเอง รู้รูปรู้นาม รู้รูปธรรมรู้นามธรรม รู้รูปโรครู้นามโรค รูปโรคนามโรคมีสองอย่าง โรคทางกายโรคทางเนื้อหนัง ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลจะตรวจเช็คร่างกายว่าเป็นโรคชนิดใด หมอจะให้ยารักษาโรคอันนั้นหายได้


แต่โรคชนิดหนึ่ง ความดีใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ อันนี้เขาว่าโรคจิตวิญญาณ บางทีหมอก็เป็นอีกด้วยซ้ำไป นอนไม่หลับ มือก่ายหน้าผาก คิดไม่หยุดไม่เซา อันนี้หมอก็เป็น จะรักษาโรคอันนี้ จำเป็นต้องศึกษา ปฏิบัติตามแบบพระพุทธเจ้า จึงจะรู้ได้ เห็นได้ เข้าใจได้อย่างนี้

เมื่อรู้อย่างนี้ก็เลยรู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตามตำรา ครูบาอาจารย์สอนให้ว่า ผมหงอก ฟันหัก เนื้อหนังนี่มันแห้งเข้า ย่นย่อไป แต่ความจริงอันนั้นถูกน้อย ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อมาศึกษาเรื่องนี้ คนเราเป็นก้อนทุกข์ชนิดหนึ่ง ตัวการเคลื่อนไหว ตัวอิริยาบถนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้กำหนดในอิริยาบถ

ดังนั้น คนเราเกิดมาก็เลยอยู่ด้วยทุกข์ กินด้วยทุกข์ นั่งด้วยทุกข์ นอนด้วยทุกข์ เคลื่อนไหวไปมา ไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น จึงไม่รู้จักทุกข์ เรื่องนี้..เตือน...อันนี้ เมื่อมารู้จักทุกข์นี้แหละก็เลยเลิกได้ สิ่งที่ไม่มีสาระก็เลิกได้ เลยรู้จริงๆ รู้ทุกข์แล้วก็เลยรู้สมมุติขึ้นมา สมมุติผี สมมุติเทวดา สมมุติอะไรรู้ให้ครบให้จบให้ถ้วน รู้จริงๆ เรื่องนี้













Create Date : 16 ตุลาคม 2550
Last Update : 20 ตุลาคม 2550 13:05:55 น. 1 comments
Counter : 527 Pageviews.

 


โดย: Geerorogunso วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:13:21:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.