|
ธรรมะสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ (๗)- กายไหว ใจรู้
ทำวัตรเช้าจบแล้ว คือทำสั้นๆ ย่อๆ แล้วก็มีการแนะแนววิธีปฏิบัติให้พวกเราได้เข้าใจ
การปฏิบัติธรรมมันมีวิธีการต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางคนก็แนะแนวไปอย่างหนึ่ง บางคนก็แนะแนวไป(อีก)อย่างหนึ่ง คือแนะแนวไปตามอุดมการณ์ของแต่ละคน คนใดรู้สิ่งใดก็เอาสิ่งนั้นมาสอน เรียกว่าศาสนา
ศาสนาจึงแปลว่า คำสอน ศาสนาคือตัวเรานี่แหละ ตัวทุกคนนี่แหละเป็นตัวศาสนา แล้วสอนก็สอนเข้าหู คนมันมีหู คนมันมีตา สอนให้เบิ่ง (ดู) เบิ่ง (ดู) ให้เห็น หูให้ฟัง ฟังแล้วจำเอานำไปใช้นำไปปฏิบัติ-ท่านสอน
ไม่ใช่ว่าสอนแล้วจะไปนิ่งนอนใจอยู่ก็ไม่ได้ สอนแต่ผู้อื่นแต่ไม่ได้สอนตัวเองก็ไม่ได้ การสอนคนอื่นนั้นสอนง่าย แต่สอนตัวเองสอนยาก ความผิดนั้นท่านจึงว่ายกมาเป็นครูเป็นอาจารย์ แต่เราก็ไม่เข้าใจเราเข้าใจเอาแต่เพียงว่ารู้เอาไว้ไปสอนคนอื่น แต่ตัวเราเองไม่เคยสอนสักที หลวงพ่อก็เคยเป็นอย่างนั้น เห็นคนอื่นทำผิดนี้ฉวยจับเอามาว่าเลย ตัวเองทำผิดไม่เคยว่าสักที นี่มันเป็นอย่างนั้น จึงว่า ความผิดเป็นครู แต่อย่าทำผิด
พวกเรามาปฏิบัติอยู่ที่นี่ มีวิธีทำจังหวะ แล้วก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการนิ่ง การนั่งนิ่งนั้นเป็นอุปสรรค มันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ มีวิธีการที่หลวงพ่อนำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ จึงว่าไม่ต้องนั่งนิ่ง แต่ให้ทำจังหวะมากๆ โดยเฉพาะคนใหม่ๆ นี่ต้องทำจังหวะมากๆ ทำช้าๆ นานๆไปพอมันรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่ารู้เรื่องรูปรู้เรื่องนามนี้ บัดนี้ต้องเดินจงกรมให้มาก การเดินจงกรมนั้นก็ดี แต่ว่าสำหรับคนใหม่ๆ นั้นสู้การทำจังหวะไม่ได้
การทำจังหวะต้องทำช้าๆ นิ่มๆ หรือทำอ่อนๆ ถ้าทำแรงๆ ทำไวๆ มันกำหนดไม่ทัน สติเรามันยังไม่แข็งแรง
จึงว่าให้ทำช้าๆ อ่อนๆ ทำให้เป็นจังหวะๆ ให้รู้สึก มันหยุดมันนิ่งก็ให้มันรู้สึก มันไหวไปไหวมาก็ให้มันรู้สึก ความรู้สึกมันก่อให้เกิดปัญญา มันก่อให้เกิดญาณขึ้นโดยตามธรรมชาติของมันเอง อันความไม่รู้สึกนั้นเป็นเพราะไม่ได้กำหนดตัวเอง หรือว่าเป็นไปด้วยอวิชชา เป็นไปเพราะความไม่รู้
ความไม่รู้สึกตัวนี้ท่านว่าเหมือนกับสัตว์ ตัวหมูหมาเป็ดไก่วัวควายนี้มันไม่รู้สึก แต่มันก็ไปเป็นมาเป็น กินเป็นนอนเป็นสืบพันธุ์เป็นเหมือนกัน แต่มันไม่รู้สึก ในขณะที่มันทำมันพูดมันคิดนั้นมันไม่รู้สึกแต่มันก็ทำไป เราก็เห็นอยู่นี่ เช่น สุนัขอยู่ตามวัด พอมีตัวใดตัวหนึ่งขยับยึกยักวิ่ง ตัวอื่นๆ มันวิ่งตามกันไปทันที ท่านว่ามันไม่รู้สึกตัวมัน แต่มันก็รู้ที่มันวิ่งมันแล่นไปนั่นนะ
คนเรามันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น จึงว่าให้ฝึกหัดดัดนิสัย ฝึกหัดดัดแปลงแก้ไขนิสัยตัวเอง ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วจะมีผู้ใดมายกย่องสิ่งใดจะไปว่าสิ่งนั้น-ไม่ดี เลยไม่ได้ดูตัว
การปฏิบัตินั้น จึงว่า พยายามฝึกหัดดัดนิสัยตัวเองฝืนนิสัย หลวงพ่อเคยว่า กลางวันไม่ต้องนอน ไม่นอนจริงๆ-ด้วยหลวงพ่อ พยายามทำอยู่ตลอดเวลา กลางคืนถึงจะนอน พอสมควรก็นอน ถ้าไม่นอนก็ไม่ได้มันจะไม่ได้พักผ่อนแต่กลางวันไม่นอนและก็ไม่ชอบคุย
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง นายฮ้อยพ่อมุกไปปฏิบัติธรรมด้วยกันเป็นคนชอบพอกัน พอถึงเวลาก็มาแล้ว มาคุยหลวงพ่อก็หาทางหนีไม่อยากพูดไม่อยากคุย เพราะตัวเองมาปฏิบัติธรรมะจะมาเป็นคนชอบพูดชอบคุยมันไม่ได้เลยไม่ได้ทำหน้าที่ธุระของตัวเอง การที่ตัวเองเป็นคนชอบพูดชอบคุยนั้น มันคิดไปโน้นแล้ว-ใจเรา แล้วเราไม่เห็น ในขณะที่เรากำลังพูดกำลังคุยอยู่นั้น ก็ไม่ได้ดูตัวเราเสียอีกแล้ว มันเป็นอย่างนั้น
ตัว ความรู้ นั้นมันจึงไม่ปรากฏขึ้น เพราะความไม่รู้นั้นมันมีอยู่แล้วนะ
ความไม่รู้คืออะไร? ก็คือความไม่รู้ตัวเรา มันไปรู้ที่อื่นนู้น
ท่านว่าอวิชชา อวิชชาแปลว่าความไม่รู้ อะแปลว่าไม่ วิชชาแปลว่ารู้ มันรู้ไปอย่างอื่นนู่นแต่มันไม่รู้ตัวเอง
วิชชาแปลว่ารู้ วิชชานี้คือว่ารู้รอบตัวเรา อย่าปล่อยปละละเลยไปรู้ของอย่างอื่น ให้มันรู้อยู่ที่ตัวของเรานี้ เคลื่อนไหวให้มันรู้
เมื่อหลวงพ่อหลบเขาไปแล้ว ๒-๓ ครั้ง เขาก็เลยไม่มาอีก เพราะเขารู้แล้วว่าหลวงพ่อไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับเขา หลวงพ่อออกไปย่าง (เดิน) โน่น ตากแดดอยู่ทุ่งนา เดินอยู่ในทุ่งนาโน่น ไม่เข้ามาพูดคุยเป็นอย่างนั้น-นิสัย
เราต้องรู้จักคำนึงคำนวณอยู่เสมอ การปฏิบัติธรรม เราไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ มาฉันข้าวนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ ไปสรงน้ำก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ ให้ว่าทุกอย่างเป็นการปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น
การปฏิบัติธรรมะจึงไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์สถานที่ใดๆ ทั้งหมด ถ้าหากเรารู้จักวิธีปฏิบัติจริงๆ คนที่ไม่รู้จักวิธีก็ไปนั่งอยู่อย่างนั้นล่ะ ทำอยู่อย่างนั้นล่ะ-จังหวะ แต่คิดไปไหนก็ไม่รู้ ร้อยอันพันอย่าง ไม่รู้สึกตัว รู้น้อย-ให้ว่าอย่างนั้นเถอะไป๊ มันคิดจึงค่อยรู้ ถ้าอย่างนี้มันก็รู้เรื่องหนึ่งแล้วนะนั่น อันเคลื่อนไหวนี้ให้มันรู้จริงๆ อันมันกะพริบตา หายใจ มันนึกมันคิด ให้มันรู้เท่าทันเหตุการณ์อันนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ทุกข์ให้กำหนดรู้ อันตัวทุกข์นี้ก็คือตัวเคลื่อนตัวไหว อันนี้ล่ะเป็นตัวทุกข์ ท่านสอนให้รู้ตัวทุกข์อันนี้แหละ,
สมุทัย ต้องละ แต่นี่มันไม่ละ มันคิดไป อันตัวสมุทัยกับตัวคิดก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละ
มรรคต้องเจริญ เจริญก็คือ ทำ นั่นแหละ
นิโรธต้องทำให้แจ้ง ทำไปทำไป เราก็จะรู้มากเข้า-รู้มากเข้า สะสมเข้าไปทีละเล็กละน้อย มันก็เลยแจ้ง เลยรู้จัก ก่อนที่จะรู้จัก ต้องอาศัยญาณปัญญาหรือญาณเกิดขึ้น มันมีญาณเกิดขึ้นตามลำดับตามขั้นตอนของมัน
ที่หลวงพ่อทำมา ไม่ใช่จะไปจำเอาจากคำพูดของคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่ หลวงพ่อรู้ หลวงพ่อจึงว่าไม่พูดคำคนอื่น คำพูดอย่างที่หลวงพ่อพูดอยู่นี่ล่ะ คนอื่นท่านรู้อย่างนั้นท่านก็เอาเรื่องนั้นมาสอน หลวงพ่อไม่ได้รู้อย่างนั้น รู้เพราะการกระทำ
รู้การกระทำของตัวเอง นี่แหละที่หลวงพ่อรู้ จึงว่าพวกเราถ้าปฏิบัติจริงๆ ก็ต้องพยายามทำจริงๆ อย่าเป็นคนหลอกตัวเอง คนมันชอบหลอกตัวเอง ไม่ว่าใครทั้งนั้นแหละชอบหลอกตัวเอง
** เชิญอ่าน ~ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ~ค่ะ
|