'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
~ ทำพระนิพพานให้แจ้ง ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๒)

..........
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมะแบบที่หลวงพ่อหรือผมนำมาเล่าสู่ฟังวันนี้นั้น มันเป็นวิธีชนิดหนึ่ง หรือเป็นนโยบายชนิดหนึ่ง เรียนรู้ก็ได้ ไม่เรียนรู้ก็ได้ แต่ให้มั่นใจว่า การกระทำนั้น-ทำ ทำเป็นทุกคน ทำไมจึงว่าทำเป็นทุกคน เพราะมันมีการเคลื่อนไหว พลิกมือขึ้น-รู้สึก คว่ำมือลง-รู้สึก อันนี้เรียกว่าสติ-รู้สึก ไม่ใช่สติ-กำหนดรู้นะ ถ้ากำหนดลงไปแล้ว-มันหนัก มันติด มันยึด ถ้ากำหนดรู้แล้วมันเพ่ง...แน่ะ...คำว่าเพ่ง มันติด มันยึด มันลงตัวเดียว เอาเบาๆ เราเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม-ให้มันรู้ เรียกว่าสติ สติ-รู้ เรียกว่าสติปัฏฐานสี่

คำว่าสติปัฏฐานสี่ ในตำราและครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า ต้องมีสติเข้าไปกำหนดรู้กายในกาย-ท่านสอน มีสติเข้าไปกำหนดรู้กายในกาย สติปัฏฐานสี่ ข้อที่ ๒ ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้เวทนาในเวทนา ท่านว่าอย่างนั้น ข้อที่ ๓ ท่านว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้จิตในจิต เรียกว่าจิตตานุปัสสนา ท่านว่า ข้อที่ ๔ ท่านว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ธรรมในธรรม คือธัมมานุปัสสนานั่นเอง อันนั้นมันตำราพูด แต่มันดีแล้ว-ตำรา เอาไว้ที่นั้นแหละ

แต่เรามาศึกษาวิธีลัดๆ ไม่ต้องกำหนดว่าเวทนา หรือว่ากาย อะไรก็ตาม ความรู้นั้น มันรู้มาเอง เพราะมันมีแล้วนี่ มันมีแล้ว เราเคลื่อนมือ จะเคลื่อนวิธีใดก็ตาม แต่เรามาทำเป็นจังหวะ เป็นจังหวะ เป็นจังหวะ เพราะคนมันเป็นจังหวะ มีข้อมือ ข้อศอก ข้อแขน มันเป็นจังหวะ เป็นส่วน เป็นส่วนของมัน ให้มันไปตามจังหวะของมัน เช่น พริบตาก็ตาม ไม่ต้องหลับตา..อันนี่ ไม่ฝืนธรรมชาติจริงๆ ศึกษากับธรรมชาติจริงๆ...อันนี้ เพราะธรรมชาติมันมีอย่างนั้น ต้องศึกษาเข้าไปกับตัวธรรมชาติมันจริงๆ จึงว่ารู้ของจริง รู้ของจริงอันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผันจริงๆ คงที่ถาวรตลอดมา เป็นอย่างนั้น

คนเกิดมา สัตว์เกิดมา เกิดแล้วหลุดออกจากท้องแม่มาแล้ว มันต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องมีการเคลื่อนการไหว เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น เราก็เลยมารู้อันนั้นแหละ สิ่งนี้แหละคือรูป รู้เอง แต่ไม่ต้องเรียนกับใครก็ได้ แต่ทำให้มันถูก ถ้าไม่ถูก ไม่รู้ เหมือนกับลูกกุญแจ เอาไปซุกเข้าในรูมัน แต่มันเข้ากันได้ แต่ไม่ใช่ลูกของมัน บิดมันก็ไม่ออก ถ้าเป็นลูกของมัน ซุกเข้า เอาไปสอดเข้า ซุกเข้ากับสอดเข้าเป็นคำเดียวกันไหม หรือ..หรือเป็นยังไง หลวง...หลวงพ่อไม่...ไม่รู้คำหมาย เอาซุกเข้าหรือสอดเข้า (ผู้ฟังตอบ-สอดเข้า) สอดเข้านะ หรือเอาสอดเข้ากับซุกเข้าเป็นคำเดียวกันนะ บ้านหลวงพ่อเรียกว่าซุกเข้า เอาสอดเข้าแล้วบิดเบาๆ ถ้าเป็นตัวของมัน ลูกของมันจริงๆ บิดเบาๆ ออกเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าทำถูกต้องแล้ว ต้องรู้อย่างนี้ อย่าไปว่ากำหนดรู้เพียงเอารู้ รู้เฉยๆ รู้เบาๆ อันนี้เรียกว่าสติก็ได้ เรียกว่าความรู้สึกก็ได้ หรือว่าความฮู้แล้วก็ได้ จะว่ายังไงก็ได้ ไม่ต้องว่าสติก็ได้ ว่ารู้สึกนั้นก็พอ....ให้รู้ คว่ำลงให้รู้ ยกไปให้รู้ เอามาให้รู้ มันรู้ มันหยุด ให้รู้ ไม่ใช่ว่ารู้ไปเรื่อยๆ ไปไหนไปไหน คือมันหยุดก็ให้รู้ทันที มันไหวไปก็ให้รู้ทันที นี่เรียกว่า ความรู้สึกตัว ตื่นตัว รู้สึกใจ ตื่นใจ อันนี้

คำว่า รู้สึกตัวนั่น ที่เป็นวัตถุ มองเห็นด้วยตา เรียกว่ารูป ให้รู้รูปนี่เอง รูปกับนาม มันติดกันอยู่นี้ แยกออกจากกันไม่ได้ แยกจากกันเมื่อใด ตายเมื่อนั้น หมดลมหายใจ จึงว่า ให้รู้จักว่ารูปกับนาม ไม่ใช่ลูบคลำอย่างนี้ ลูบอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น คือรูปจริงนี่แน่ะ ให้เป็นรูปจริงๆ ไม่ใช่รูปในกระดาษนะ คือเอาตัวจริงนี่แหละ เป็นรูปขึ้นมา รู้อันนี้

จึงว่า มันเป็นของจริง จะศึกษาก็ได้ ไม่ศึกษาก็ได้ ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า กายกับใจ ภาษาธรรมะเรียกว่า รูปกับนาม เป็นอย่างนั้น

เมื่อรู้อันนี้แล้วก็ รู้รูปโรค นามโรค รูปอันนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นโรค ถ้าไม่เป็นโรค...ไม่ตาย เขาว่าอย่างนั้น โรคเจ็บหัว ปวดท้อง อันนี้เป็นโรคทางเนื้อหนัง ต้องไปโรงพยาบาล ให้หมอผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คร่างกาย ให้ยา ให้ยามาแล้ว คนที่เป็นโรคน่ะต้องกินยา โรคจึงจะหาย ถ้าหมอตรวจเช็คร่างกายดีแล้ว ให้ยามา คนที่เป็นโรค..ไม่กิน ยาไม่เข้าไปในท้อง เข้า...ไม่แทรกซึมเข้าไปเนื้อ..ในเนื้อในหนัง โรคก็ไม่หาย เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น จึงว่า โรคชนิดนี้ หมอตามโรงพยาบาลรักษาได้ โรคอีกอย่างหนึ่ง คือ จิตใจมันนึกมันคิด ชอบ เกลียด ดีใจ เสียใจ โรคอันนี้หมอโรงพยาบาลรักษาได้ยาก ต้องจำเป็นเอาความรู้สึกนี้เอง หรือจะพูดไปกว้างๆ ก็เรียกว่า เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านมาเป็นกลางๆ ไว้ และต้องปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น จึงจะรักษาโรคอันนี้ได้...โรคอันนี้

เมื่อรู้จักอันนี้แล้วก็รู้จักการเคลื่อนไหวทุกส่วนเป็นทุกข์ เมื่อเห็นความทุกข์แล้วก็ไม่ต้องการความทุกข์ เมื่อไม่ต้องการความทุกข์ ก็เรียกว่า เราไม่ต้องการความอยากมาเกิดเป็นคน..นี่..เพราะเห็นทุกข์จริงๆ ไม่ต้องการอยากมาเป็นคน ไม่ต้องการอยากเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แม้ยังไงก็ตาม เรียกว่าคนที่เห็นทุกข์จริงๆ....










Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2550 17:20:18 น. 0 comments
Counter : 498 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.