'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
~ วิธีปฏิบัติธรรมอย่างง่ายๆ ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๒)


ศีล จึงแปลว่า ปกติ เมื่ออะไรเข้ามาแตะต้อง รู้จักทันที ถ้าเรานั่งอยู่เป็นปกติ อย่างจิตใจมันคิดอยากโกรธขึ้นมา มันก็รู้ ถ้าเราพูดกัน คุยกัน บางคนพูดไม่เพราะหูแล้ว มันอยากโกรธ มันก็รู้ คนใดมายกเรา มันอยากสบายใจ มันอยากพอใจ มันก็รู้ เพราะมันเป็นปกติอยู่แล้ว

แปลว่า คนไม่ลืมตัว ไม่หลงตัว ไม่ลืมใจ ไม่หลงใจ คือไม่หลงชีวิต ไม่ลืมชีวิตตัวเอง คนใดยังหลงชีวิต ลืมชีวิต หลงตัวลืมตัว หลงใจลืมใจ ก็ยังไม่เป็นปกติ มันก็ขึ้นๆ ลงๆ มันเป็นอย่างนั้น

เรื่องบุญ เราเข้าใจให้มันดี สมมุติเราปลูกบ้านหลังหนึ่ง เราไปทำบุญครั้งหนึ่ง มันดีใจ ชอบใจ ได้ทำแล้วชอบใจ พอดีเราหนีไป มีคนอื่น หรืออยู่ในขณะนั้นก็ได้ พูดให้เราไม่พอใจ เกิดหงุดหงิดจิตใจ ความดีใจ ความสบายใจ ความชื่นใจ หายไปหมดเลย แสดงว่าบุญอันนั้นหมดแล้ว นี่...ศีลก็ไม่มีแล้ว ความปกติก็ไม่มีแล้ว มีอะไร มันยังกะมีเปรต ผี จึงว่าวันพระไม่มีแล้ว ดังนั้น วันของพระต้องอยู่ที่ไหน ก็ต้องคอยระมัดระวัง ให้เป็นวันของพระทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที อยู่ที่ไหนก็มีพระอยู่ที่ตัวเรา


ดังนั้น จงทำตัวของเราให้เป็นพระ แล้วก็สอนคนอื่นให้เขาทำ แต่เขาจะทำไม่ทำ เป็นเรื่องของเขา ดังนั้น การที่ว่าพระ พระ นี่ให้เราเข้าใจ วันของพระอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นพระ เป็นพระอยู่ในบ้านก็ได้ เป็นพระอยู่กับลูกกับหลานก็ได้ เป็นพระอยู่กับสำนักงานที่เราไปทำงานก็ได้ เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็เป็นพระได้ เป็นครูโรงเรียนก็เป็นพระได้ เป็นนักเรียนไปเรียนหนังสือก็เป็นพระได้ เป็นตำรวจทหาร เป็นครูประชาบาล เป็นรัฐมนตรี ก็เป็นพระได้ นี่เอาพระนี่น่ะไปใช้กับการกับงาน

เมื่อคนใดรู้จักพระแล้ว โรค… ความเดือดร้อน โรคนี่หมายถึงความร้อน เราเคยได้ยิน เป็นโรคอะไร จึงไปโรงพยาบาล โรคเจ็บหัว โรคปวดท้อง ครั้นเป็นโรคเจ็บหัว โรคปวดท้อง โรคทางเนื้อหนัง โรคทางกาย นี่ไปหาหมอได้ แต่โรคทางจิตใจ โรคทางวิญญาณนั้น ไปหาหมอก็ยังไม่รักษา บางทีหมอก็เป็นโรคอีกซะด้วยนะ......(หัวเราะเบาๆ).... นี่..ให้เข้าใจว่าหมอก็เป็นโรคได้

โรคทางจิตวิญญาณ โรคทางจิตทางใจ โรคอันนั้นน่ะจำเป็นต้องเป็นคนไม่ลืมตัว เป็นคนไม่หลงตัว เป็นคนไม่ลืมจิต เป็นคนไม่หลงจิต คือเป็นคนไม่หลงชีวิตตนเอง ไม่ลืมชีวิตตนเอง ไม่ปล่อยปละละเลยให้ชีวิตเป็นหมัน นี่เป็นอย่างนั้น

คนใดปล่อยปละละเลยให้ชีวิตเป็นหมัน คล้ายๆ คือสัตว์เดรัจฉาน คนนี่แข้งขาหน้าตาเป็นคน จิตใจอาจเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เพราะการทำ การพูด การคิด ยังไม่มีความละอายนั้น ท่านว่าทำไปเหมือนสัตว์ เขาว่าอยู่อย่างสัตว์ กินอย่างสัตว์ ไปอย่างสัตว์ มาอย่างสัตว์ นอนอย่างสัตว์ สืบพันธุ์อย่างสัตว์

แต่ว่าจิตใจมันเป็น แต่ไม่ใช่ตัวคนเป็นนะ ตัวจิตใจเป็น ท่านจึงว่า สัตว์กับคนมันอยู่ภูมิเดียวกัน จึงว่า โลกอันนี้เรียกว่ามีแต่ความเดือดร้อน มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความสับสนเท่านั้น

ถ้าหากว่าเรารู้จักแล้ว อย่าไปทุกข์กับโลก อย่าไปยุ่งกับโลก แต่อยู่กับโลก อย่าไปทวนกระแสของโลก แต่ว่าเราทวนกระแสของโลก แต่อย่าไปสวนกระแสของโลก นี่มันกลับกัน

คำว่าทวนกระแสของโลก แต่อย่าไปสวนกระแสของโลก คือเราอย่าไปกั้นมัน กำลังเขาวิ่งมาเนี่ยะ เรายืนอยู่เนี่ยะ เราจะมีกำลังหนักเท่าไหนก็ตาม มีแรงหนัก พอดีคนวิ่งมา มันจะมาชนเรา เราต้องกระเด็นหนีทันที เราต้องหลีกให้เขาไปก่อน เมื่อเขาไป กรายเราไปข้างหลังเราแล้ว เมื่อเขาเหนื่อยแล้วกลับคืนมานี่ เนี่ยะ เขาจะกลับมา บางคนก็ไม่กลับมา ไปเตลิด ๆ ก็มี

ถ้าเราไปสู้เขาเนี่ยะ สู้ไม่ได้ เพราะเขาวิ่งมาเต็มที่แล้ว อันนี้ท่านว่าอย่าไปสวนกระแสของโลก แต่ทวนกระแสของโลก ทวนคือว่าพยายามพูดให้เขาเข้าใจ เมื่อเขาไม่เข้าใจแล้ว เขาก็ไปตามเรื่อง

ดังนั้น ถือพุทธศาสนานี่ ต้องรู้จักกลั่นกรองเอามาใช้ พุทธศาสนานั้นคือ ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา ตัวความฉลาดนั่นแหละ เป็นพุทธะ พุทธะจึงแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม อยู่กับธรรมะ จึงว่าเบิกบานแล้วก็อยู่กับธรรมะ คนใดอยู่กับธรรมะแล้วไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ มันเป็นอย่างนั้น คนใดไม่อยู่กับธรรมะนั้น อยู่กับอะไร อยู่กับอธรรม เป็นทุกข์ เป็นความเดือดร้อน


ดังนั้น มีแต่ธรรมะเท่านั้น จะช่วยให้โลกหรือสังคมเย็นลงมาได้ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ช่วยได้เป็นบางอย่าง แต่ว่าจะช่วยให้คนเป็นปกติแน่นอนนั้น เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นธรรมะแล้ว จะไม่มีเงินก็ได้ มีเงินก็ได้ แล้วก็ปฏิบัติได้ทุกคน

คนบางคนว่าไม่มีเงิน ปฏิบัติธรรมะไม่ได้ ไม่มีความรู้ ปฏิบัติธรรมะไม่ได้ เราไม่เป็นชาวพุทธ ปฏิบัติธรรมะไม่ได้ อันนั้นเป็นการเข้าใจน้อยเกินไป ไปติดสมมุติ

ทุกข์มันไม่ยกเว้น มีเงินมันก็ทุกข์ ไม่มีเงินมันก็ทุกข์ เรียนความรู้สูงๆ ก็ทุกข์ ไม่ได้เรียนความรู้สูงๆ ก็ทุกข์ เป็นคนแก่ก็ทุกข์ เป็นคนหนุ่มคนสาวก็ทุกข์...นี่ แต่ว่าเกิดมาเพื่อความทุกข์ไหม ?

เกิดมาเพื่อความไม่มีทุกข์ ถ้าหากเกิดมาเพื่อความไม่มีทุกข์ เราก็ต้องศึกษาตัวเราให้รู้จักจริงๆ เข้าถึงจริงๆ ถ้าเราไม่ศึกษาจริงๆ ไม่เข้าถึงจริงๆ แล้ว มันจะไม่ได้ผล


อันนี้เป็นผลเกิดขึ้นเพราะการกระทำ การกระทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะนั่งคิดเอา อันนั่งคิดอันนั้นก็ดี แต่มันเข้าไปในความคิด มันคิดแล้ว บางคนรู้ รู้ทุกคนนะ คนมาที่นี่ รู้ทุกคน ไม่ใช่ไม่รู้ ทำไมครั้นรู้แล้ว ให้มันเป็นทุกข์ทำไม เพราะเรื่องอย่างนั้นมันรู้จำ รู้จักนี้ - รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง





**เชิญอ่าน ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ค่ะ










Create Date : 28 มกราคม 2551
Last Update : 28 มกราคม 2551 13:46:25 น. 1 comments
Counter : 629 Pageviews.

 


โดย: เมณี วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:10:13:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.