~รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๓-จบ)
..... ดังนั้น การเจริญสติก็ดี การเจริญสมาธิก็ดี การเจริญปัญญาก็ดี มันเป็นเพียงสมมุติ ให้เรารู้ว่าสมมุติ อย่าไปติดสมมุติ ถ้าคนใดไปติดสมมุติ แน่นปึ๊ดอยู่กับสมมุติ แสดงว่าคนนั้นแหละเรียกว่า วัฏฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลผู้ที่ไม่รู้ธรรม หาบของหนักอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ดังนั้น เราจะวางภาระอันหนัก ภาราหาเว ปัญจะขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก เราต้องรู้จัก ขันธ์ห้าคืออะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เอง เป็นของหนัก เราปล่อยเสียแล้วนี่ ปล่อยของหนักแล้ว รูปไม่เป็นทุกข์ เวทนาไม่เป็นทุกข์ สัญญาไม่เป็นทุกข์ สังขารไม่เป็นทุกข์ วิญญาณจึ่งรู้สภาพไม่เป็นทุกข์นี่เอง วิญญาณจึงเป็นผู้รู้ ไม่ใช่วิญญาณตายแล้วไปเกิดเมืองสวรรค์ ไม่ใช่วิญญาณตายแล้วไปเกิดนิพพาน อันนั้นเอาไว้ก่อน ต้องศึกษาลักษณะปัจจุบัน ถ้าเราไม่ศึกษาลักษณะปัจจุบันแล้ว เราก็ไม่รู้ทุกข์ เมื่อเราไม่รู้ทุกข์ เราก็ขยับเข้าไปหาทุกข์นั่นเอง ดังนั้น คนรู้ทุกข์ กับคนไม่รู้ทุกข์ จึงไม่เหมือนกัน รู้ทุกข์น้อย มันก็...ทุกข์ก็หมดไปน้อย ถ้ารู้มากๆ ทุกข์มันก็หมดไปมาก ถ้ารู้ทุกข์ให้จบให้สิ้น ทุกข์ก็เลยไม่มีเลย เพราะเราเห็นแล้ว แต่ทุกข์ก็มี แต่ทุกข์นั้นจะมาทำอะไรกับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นใหญ่ในทุกข์ ถ้าเราเป็นน้อย ก็ทุกข์แล้ว..(พูดกลั้วหัวเราะ)..มันก็...ทุกข์ก็ต้องบังคับเราได้ อาตมาก็เคยพูดให้ฟัง ถ้าเราจะเป็นนักมวยจริงๆ แล้ว อย่าไปฝึกหัดกับครูมาก ฝึกหัดกับตัวเองให้มาก ถ้าไปฝึกหัดกับครูแล้ว...อาจจะได้ผลน้อย ถ้าฝึกบ่อยๆ กับคู่ต่อสู้ ขึ้นในเวทีต้องชกทันที แพ้-ชนะมันเป็นเกมส์กีฬา เมื่อชำนาญ เปรียว ไว คล่องแคล่ว ขึ้นไปในเวที ไม่ต้องไหว้ครูอะไร คู่ต่อสู้เข้ามา ชกหลุมตาทีเดียว ชกเข้าเบ้าตาสองตานี่เลย คู่ต่อสู้จะสู้เราไม่ได้จริงๆ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน พอดีมันคิดปุ๊บ เห็นปั๊บทันที ความคิดถูกหยุดเลย จะไม่มีเรื่องอะไรเลย มันจะกระทบกัน พอดีกระทบปุ๊บ มันแตกทันทีเลย พอดีมันแตกกะที มันก็เข้าสู่สภาพเดิมของมันจริงๆ ถ้ามันไม่แตกแล้ว มันจะไม่เข้าสู่สภาพของมันจริงๆ นี่
ที่อาตมาเปรียบให้ฟัง เหมือนกับเชือกไนล่อน หรือจะเป็นยางก็ตาม ผูกส้นนั้นไว้กับเสานั้น ผูกส้นนี้ไว้กับเสานี้ เรามาตัดตรงกลาง ตัดปุ๊บ มันจะสะท้อนเข้ามาติดตรงนี้ทันทีเลย อันนั้นก็จะติดเข้าทันทีเลย จึงว่า มันขาดออกจากกันแล้ว มันก็สะท้อนเข้าไปอยู่กับธรรมชาติของมัน ที่มันดึงเข้าไปผูกกันได้นั่น อันนั้นมันเป็นยางเหนียว มันเป็นยางเหนียว ท่านจึงให้รู้ เห็น เข้าใจ เรื่องอุปาทาน เรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ก็เสวยทุกข์อันนั้นแหละ แต่เราไม่รู้ทุกข์อันนั้นแหละ จึงออกจากทุกข์ไม่ได้ คนที่รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่เขาไม่ได้อยู่ด้วยทุกข์ แต่อยู่ด้วยทุกข์ เขาจะไม่เข้าไปในทุกข์ เอาแหละ วันนี้ที่นำธรรมะมาเล่าให้ฟังในตอนเช้าวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว เพราะว่าการพูดนี้ มีประโยชน์น้อยกับพวกคุณ หรือพวกท่าน แต่มีประโยชน์มากสำหรับพวกคุณพวกท่าน นำไปปฏิบัติ ให้มันรู้สึกตัว รู้แล้วปล่อยไป รู้แล้วปล่อยไป ไม่ต้องเข้าไปยึดไปถือ และความเป็นเอง มันจะเป็นเอง แต่ไม่ทำ ไม่เป็น รู้เฉยๆ ไม่เป็น รู้เท่าไรก็ไม่เป็น เป็นอย่างนั้น วันนี้จึงขอหยุดในการพูด การคุยกับพวกเราแล้ว ก็จะขอวิงวอนเอาถึงคุณของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าในประเทศอินเดียพู่นนะ ที่พูดนี้นะ พระพุทธเจ้าคือตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญาที่มีอยู่ในเรานี่แหละ จะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ท้ายที่สุดนี้ อาตมาจึงขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของพระอรหันตาสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา ให้พวกเรา ได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว จึงว่า สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคต ไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงทำอย่างที่เราตถาคตนี้ และก็จะรู้อย่างเราตถาคตนี้ แล้วก็จะเห็นอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะหลุดพ้นไปอย่างเราตถาคตนี้
อันนี้ เราไม่ทำ ไม่ทำ มันจะเป็นไหม เหมือนกับลูกกุญแจนั่นเอง ไม่ใช่เป็นลูกของมัน มันจะไปไขมันออกมาใด้ทำไม(ได้อย่างไร) ดังนั้น ต้องทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้มีความรู้สึกตัว อย่าไปกำหนดมาก อันว่ารู้สึกตัว กับกำหนดเนี่ยะ มันผิดกันนะ อันนี้เรียกว่าสติ ความระลึกได้ แต่ไม่ต้องระลึกถึงวานนี้ ไม่ต้องระลึกอะไร คือว่า รู้สึกตัวนั่นแหละ เป็นการที่สัมผัส หรือว่าผัสสะ หรือว่าระลึกได้ หรือว่ารู้ได้ เท่านั้นเอง ต่อเมื่อเรากระทบสิ่งแข็งๆ กระทบกัน แตกออกจากกันแล้ว มันเข้าสู่สภาพเดิม นั้นแหละ คือรู้แจ้ง รู้จริง ผิดไปจากธรรมชาติเดิมแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนๆ ได้พบเอาในชีวิตนี้ จงทุกท่านทุกคน เทอญ.
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 14:39:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 552 Pageviews. |
|
|
|
| |