หูทิพย์ - ตาทิพย์ ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๖-จบ)
....... เมื่อเรามีคิดอย่างนั้น เราก็ต้องไม่อิจฉาเบียดเบียน ไม่ริษยาคนนั้นคนนี้ และทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรา ก็ต้องไม่จับจ่ายใช้สอยโดยที่ไร้ประโยชน์ เช่น ไปดูหนัง เล่นการพนัน ดื่มสุรา เที่ยวกลางคืน อะไรๆ ต่างๆ ที่เราคิดขึ้นมาว่ามันสวยมันงาม มันสนุกสนานร่าเริงบันเทิง เราหามาได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อแรงงานของเรา เราก็ต้องไม่ใช้โดยที่ไร้ฉลาดไร้ประโยชน์ พญามารหรือโจร มันก็มาปล้นเอาไม่ได้
เพราะเรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นโจรได้ และสามารถฟังเสียงโจรพูดขึ้นมาได้ว่า อยากไปกิน อยากไปดู อยากไปชม แน่ะ โจรมันพูดอย่างนั้น เราก็ต้องเอาชนะมันได้ โจรที่ย่าง(เดิน)มาเป็นตนเป็นตัวนั้น เราปราบมันได้อย่างสบาย ๆ แต่โจรภายในจิตใจนี่... เพราะว่าให้เกิดภายในจิตใจนี่ คนไม่มองเห็นส่วนลึก อันนี้แหละ จึงว่า คนไปตกนรกเหมือนกับข้าวสารยัดอยู่ในกระสอบ เพราะมันไม่มีหูทิพย์ เพราะมันไม่มีตาทิพย์ มันจึงเตะ ตีกัน ฆ่ากันได้
เมื่อมีหูทิพย์ มีตาทิพย์แล้ว ไม่ต้องเตะ ไม่ต้องตี ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องอิจฉาริษยาใครๆ ทั้งนั้น เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้ว-เกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แม้ถึงไม่ฆ่า ก็ยังตาย เราจะไปฆ่า ไปอิจฉาริษยาไปทำไม ต่างคนต่างแต่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย
การหาเงินหาทองก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอยากมีความสุข อยากได้ บัดนี้ เมื่อคนไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น เรียกว่า ให้โจรมาปล้นเอาไป ไปซื้อบุหรี่ซองหนึ่ง กี่สตางค์ โจรปล้นเอาไปแล้ว ซื้อเหล้ามากิน ขวดละเท่าไหร่ โจรปล้นเอาไปแล้ว กินหมากคำละเท่าไหร่ พลูใบกี่สตางค์ หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อย่างทาเล็บ ทาคิ้ว อย่างเนี้ยะ ทาฟัน ทาอะไรๆ ต่างๆ เนี่ยะ... เรียกว่า เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเนี่ยะ เนียะ โจรมันมาปล้นเอาไป ผู้ร้ายมาปล้นเอาไป ทรัพย์สมบัติที่เป็นภายนอก ก็สูญหายไป เพราะพญามาร เพราะพวกโจรเหล่านี้ เงินทองจึงมีไม่ได้ บัดนี้ ทรัพย์ภายใน คือ ความสุข หรือว่า สวรรค์ ก็มีโจรคือ โมหะ โทสะ โลภะ มาปล้นเอาไป เรียกว่าเป็นโจร หรือเป็นพญามาร มายาด(แย่ง)เอาบัลลังก์ของเราไป
ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติ ให้มีสมาธิ มีปัญญา มองเห็นความหลงผิด หรือความโกรธ ความโลภ เมื่อมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว มันจะมาทำอะไรให้เราไม่ได้ ตัวชีวิตจิตใจของเราจริงๆ นั้น มันมีความสะอาด สว่าง สงบ เป็นธรรมดาๆ อยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อความโกรธเกิดขึ้น เพราะเราหลงเท่านั้นเอง เมื่อเราหลงต้นตอ หรือที่เกิดกำเนิดของชีวิตจิตใจของเราจริงๆ แล้ว ความโกรธก็เกิดขึ้นมา ความโลภก็เกิดขึ้นมา เพราะความหลงผิดนั่นเอง เห็นว่าสวยว่างาม ว่าสนุกสนาน ร่าเริงบันเทิง อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความจริง สิ่งนั้นเรียกว่า ทุกข์
จะอุปมาให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง สมมุติว่า บ้านเรามีไฟฟ้า ถึงตอนเย็น เราต้องการความสว่าง คนไม่รู้ คือไม่เคยใช้ไฟฟ้านั้นเอง ก็ไปจับเอาหลอดไฟ หมุนหลอดไฟอยู่ทางโน้น หมุนจนตายนะ ไฟไม่ไป เพราะมันไม่เป็นสมุฏฐาน ต้นเหตุ ที่เกิดหรือกำเนิดของไฟว่าอยู่ที่หลอดไฟ ต้นเหตุกำเนิดที่เกิดของไฟ หรือสมุฏฐานของไฟ มันอยู่ที่ตัวสวิทช์นี้ เมื่อเราต้องการความสว่าง เราก็ไปจับสวิทช์กดไฟ มันก็-ไฟก็วิ่งไปตามสายไฟนั้น ไปทำความสว่างอยู่ที่หลอดไฟ เมื่อต้องการดับ เราก็มาจับสวิทช์ไฟนี้ มันก็ดับทันที ฉันใด เมื่อเราไม่ต้องการให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น เราก็ต้องมองทะลุอยู่ที่จิตใจ หรือมีสติอยู่ที่จิตใจ นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ดังนั้น ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ตาม รวมความแล้วก็มาทำที่ตัวชีวิตจิตใจของเรานี่เอง ดังนั้น ชีวิตของคนทุกคน ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความโลภ เพียงเราหลงผิดเท่านั้นเอง ความโกรธเกิดขึ้น ความโลภเกิดขึ้น เหมือนกับแสงตะเว็น แต่ดวงอาทิตย์ ดวงตะเว็นนั้น มันทำความสว่าง สว่างไสวเต็มดวง เมฆเท่านั้นมาบัง ดังนั้น พวกเราที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม อยู่ ณ สถานที่นี่ ก็เหมือนกัน ให้เรามามีสติ ให้เอาสติมองดูการเคลื่อนไหว เช่น ร่างกาย พริบตา หายใจเข้า หายใจออก หรือจิตใจนึกคิดให้มีสติตามรู้เท่าทัน อันนี้แหละ เรียกว่า มีสติ สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า เท่าที่ผมได้ให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจวันนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว วันต่อไป ถ้ามีโอกาสก็จะพูดต่อ ปลูกฝังเรื่องใหม่ไป วันนี้ก็ขอหยุดไว้เพียงแค่นี้...
Create Date : 10 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 10 ธันวาคม 2550 14:58:06 น. |
|
5 comments
|
Counter : 819 Pageviews. |
|
|
|
อ่านแล้วได้สติขึ้นมาก