All Blog
รัฐ-เอกชนMOUยกระดับกาแฟไทย ดันรายได้เกษตรกรโตอย่างยั่งยืน


กรมส่งเสริมการเกษตร ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 36 หน่วยงาน เดินหน้าขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่ากาแฟไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งยกระดับการผลิตกาแฟคุณภาพ เสริมความเชื่อมั่นด้านตลาด และสร้างรายได้ที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วประเทศ


ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวหลังจากการเป็นประธานในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ว่า กาแฟ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันกาแฟไทยกำลังเผชิญหน้ากับทั้งโอกาสมหาศาลและความท้าทายที่ซับซ้อนในการก้าวสู่ความยั่งยืนด้านอาหาร การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน





 





 
ภาพรวมการตลาดของกาแฟไทย ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/62 เป็น 93,551 ตัน ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.06 ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง


รวมถึงแนวโน้มการเติบโตโดยเฉพาะกลุ่มกาแฟสดและกาแฟพิเศษ สะท้อนถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่ซับซ้อนและต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นกลไกขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแนวทางการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน


รวมถึงกาแฟไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เช่น การผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพ ความผันผวนของราคา ต้นทุนการผลิตที่สูง ปัญหาด้านคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ และการขาดแคลนแรงงาน





 





 
จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นโจทย์สำคัญในการส่งเสริมกาแฟไทยให้สามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และคว้าโอกาสในการเติบโตสู่ความยั่งยืนด้านอาหารอย่างแท้จริง โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพ การสร้างมูลค่าเพิ่ม การขยายตลาด การนำนวัตกรรมมาใช้ และการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งตลอดห่วงโซ่อุปทาน


นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า การลงนามในครั้งนี้มีหน่วยงานร่วมมือจำนวนมาก เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร (เจ้าภาพ) กรมวิชาการเกษตร ส.ป.ก. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กรมพัฒนาที่ดิน


กรมชลประทาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน สวทช. และอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงภาคเอกชนรายใหญ่ เช่น CP ALL เนสท์เล่(ไทย) กาแฟพันธุ์ไทย เป็นต้น





 





 
หอการค้าไทย สมาคมกาแฟไทย สมาคมกาแฟและชาไทย สมาคมบาริสต้าไทย GIZ สถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงองค์กรเกษตรกร เช่น วิสาหกิจชุมชนกาแฟโรบัสต้าพะเยา เป็นต้น

ความร่วมมือครั้งนี้มีสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการวิจัยและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาระบบการตลาดที่เป็นธรรม การรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรม ลดการเผาในพื้นที่เกษตร ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ
 

"นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกาแฟไทย เราไม่ได้มองแค่ผลผลิต แต่กำลังสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะในพื้นที่สูง จะสามารถเข้าถึงโอกาส เข้าถึงตลาด และเป็นเจ้าของอนาคตของตนเองได้จริง" อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว





 





 
ทั้งนี้ ภายใต้กรอบ MOU จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรกว่า 12,000 ครัวเรือน เข้าสู่ระบบกาแฟคุณภาพภายใน 3 ปี โดยนำร่องในพื้นที่ 1,000 ไร่ พร้อมเปิดโอกาสให้เกษตรกรและยุวเกษตรกร เข้าสู่เวทีการแข่งขันในระดับสากล


พร้อมส่งเสริมการวิจัย เทคโนโลยี ตลาดที่โปร่งใส และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยมีกิจกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อน เช่น การวิจัยและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่ ศึกษาและจัดทำฐานข้อมูล DNA Fingerprinting เพื่อสนับสนุนการอนุกรมวิธานพันธุ์กาแฟไทยอย่างเป็นระบบ


ช่วยระบุอัตลักษณ์ของพันธุ์กาแฟแต่ละชนิด เสริมความมั่นคงของทรัพยากรพันธุกรรมพื้นถิ่น และสร้างโอกาสการแข่งขันในระดับสากล รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบควบคุม กำจัดโรคและแมลงศัตรูกาแฟ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกาแฟคุณภาพแก่เกษตรกร ส่งเสริมระบบ e-learning และส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Peer Learning




 
 





โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่และยุวเกษตรกร แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ ระหว่างกัน เช่น การจัดเวิร์กชอปในชุมชน ฟาร์มต้นแบบ หรือกลุ่มเครือข่ายความรู้ เพื่อยกระดับทักษะและสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ปฏิบัติจริง


การส่งเสริมตลาดที่เป็นธรรม ระบบรับซื้อโปร่งใส และมี Traceability พัฒนา EUDR Mapping และพัฒนาระบบ Digital Trace Platform ที่ตรวจสอบได้แบบ real-time การสร้างโอกาสแข่งขันที่เท่าเทียม สอดคล้องมาตรฐานสากล เช่น EUDR เชื่อมโยงผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศผ่าน platform กลาง


การรวมกลไกระดับนโยบาย-ชุมชน-พื้นที่ Contract Farming และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน จัดทำสัญญาเกษตรพันธสัญญาอย่างเป็นธรรม ตรวจสอบได้ บูรณาการแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน




 





ทั้งนี้เช่น ลดการเผาในที่โล่ง เพื่อลดมลพิษและรักษาคุณภาพดิน การใช้ Biochar นำวัสดุชีวมวลไปผ่านกระบวนการเผาอย่างไม่สมบูรณ์เพื่อใช้ปรับปรุงดิน เพิ่มคาร์บอนในระบบ รวมถึงการปลูกพืชร่วม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงปลูก


ช่วยควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ และเพิ่มรายได้ทางเลือกแก่เกษตรกร ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเกษตรกาแฟยั่งยืนในชุมชน และการพัฒนาเยาวชน และการประกวดกาแฟ บ่มเพาะยุวเกษตรกร และเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีทักษะเชิงลึก


ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน “กาแฟไทย” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรม และมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง



 




 



Create Date : 18 มิถุนายน 2568
Last Update : 18 มิถุนายน 2568 15:13:31 น.
Counter : 93 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
"เพาะดี กินดี"เครือข่ายอาหารปลอดภัย



ซินเจนทา ผนึกกำลังกับพันธมิตรสร้างเครือข่ายอาหารปลอดภัย เนื่องในวันความปลอดภัยอาหารโลก 2025ผ่านโครงการ ‘เพาะดี กินดี’

 
“ซินเจนทา” ขานรับความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากยิ่งขึ้น เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ ผ่านกิจกรรม “Grow Well, Eat Well: กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิรักษ์ไทย และภาคีเครือข่าย  


โดยได้รับเกียรติจาก นายเสกสรรค์ วรรณกรี ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร เป็นประธานพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาระบบอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ จากต้นทางของกระบวนการผลิตสู่ปลายทางของผู้บริโภค และฉลองวันความปลอดภัยอาหารโลก (World Food Safety Day 2025) ที่ผ่านมา ณ ลานกิจกรรมวันนิมมาน โซนวันศาลา จังหวัดเชียงใหม่

 
 
จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่สำคัญที่มีบทบาททั้งด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ด้วยภูมิประเทศที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ทำให้สามารถผลิตพืชอาหารคุณภาพได้ตลอดปี อีกทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ




 





โดยผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ไม่เพียงรองรับผู้บริโภคในท้องถิ่น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ด้านอาหารปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสของการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัยและการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากจากผู้บริโภคทั่วโลก


ผู้คนหันมาเลือกอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ใส่ใจที่มาของวัตถุดิบ และสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อยที่คำนึงถึงอาหารปลอดภัย และระบบนิเวศ ซึ่งแนวโน้มนี้ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะมาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย GAP (Good Agricultural Practice)  ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิต

 
นายเสกสรรค์ วรรณกรี ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า   โครงการ ‘เพาะดี กินดี’ สะท้อนให้เห็นว่าความปลอดภัยทางอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่หน้าที่ของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนเกี่ยวข้อง ซึ่งการสร้างระบบที่อาหารปลอดภัยนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง


โดยการพัฒนาและเสริมศักยภาพเกษตรรายย่อยให้สามารถผลิตพืชอาหารที่ได้มาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย GAP (Good Agricultural Practice) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรพร้อมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับระบบอาหารของไทยให้มั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน”





 





 

นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากมายในภาคเกษตรและอาหาร ทั้งนวัตกรรมที่ก้าวหน้า ความท้าทายจากสภาพอากาศ และความคาดหวังของผู้บริโภคที่ต้องการอาหารไม่เพียงแค่อร่อยหรือสดใหม่ แต่ต้องปลอดภัยและโปร่งใสในทุกขั้นตอน

 
ซินเจนทาเชื่อว่า อาหารที่ดีเริ่มจากการเพาะปลูกที่ดี สิ่งเหล่านี้จึงผลักดันให้เราริเริ่มโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ ร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทย โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อยในภาคเหนือ ถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมการผลิตที่ปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ และสร้างเครือข่ายเกษตรกรที่เข้มแข็ง


ทั้งนี้เพื่อยกระดับความปลอดภัยอาหารตั้งแต่แปลงเกษตรถึงมือผู้บริโภค และเรายังได้สนับสนุนการสร้างเครือข่ายเกษตรกรให้เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในชุมชนของตนเอง วันนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะร่วมกันส่งต่อแนวคิดดีๆ และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อร่วมกันสร้างจานอาหารที่ไม่เพียงอร่อยและปลอดภัย แต่ยังสะท้อนความใส่ใจต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม”

 
ดร. พรชัย ศรีประไพ คณะกรรมการมูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวว่า มูลนิธิรักษ์ไทยมีบทบาทสำคัญในการทำงานเชิงพื้นที่เคียงข้างเกษตรกรรายย่อยมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัย ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบอาหารในประเทศ ระบบอาหารปลอดภัยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อมีผู้ผลิตที่มีคุณภาพ และผู้บริโภคที่มีความตระหนัก ร่วมสร้างวงจรความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างกัน






 



 
 
ขอขอบคุณเกษตรกรทุกท่านที่เป็นกำลังสำคัญในการปรับระบบเกษตรสู่ความยั่งยืน และขอขอบคุณผู้บริโภคทุกท่านที่ให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมในงานวันนี้ เราภูมิใจที่ได้ร่วมขับเคลื่อนระบบอาหารปลอดภัยในเชียงใหม่ ผ่านกิจกรรมวันความปลอดภัยอาหารโลก (World Food Safety Day 2025) ที่มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และเชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้บริโภคร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ไม่เพียงสร้างรายได้และเศรษฐกิจฐานราก แต่ยังรักษาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขภาพประชาชนอย่างแท้จริง”

 
ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย อาทิ บูธแนะนำโครงการ “เพาะดี กินดี” และองค์กรภาคี บูธจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยจากชุมชนและวิสาหกิจท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาและฐานทรัพยากรชีวภาพ เช่น ผ้าทอย้อมสีธรรมชาติจากชุมชนคนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ ผลิตภัณฑ์หวายจากเกษตรกรผู้ปลูกหวาย การดริปกาแฟสดจากเกษตรกรในพื้นที่
 

การจัดกิจกรรมเวิร์กชอปเมนูอาหารปลอดภัย เช่น ซูชิข้าวดอย สลัดโรล กาแฟดริป พร้อมบรรยายพิเศษจากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 เชียงใหม่ ในหัวข้อ “GAP ไม่ใช่แค่ใบรับรอง…แต่คือโอกาสของเกษตรกรรายย่อย” และการสัมภาษณ์พิเศษ เกษตรกรตัวเล็ก ผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัย สู่อนาคตที่ยั่งยืน คน ดิน น้ำป่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “วันความปลอดภัยอาหารโลก” (World Food Safety Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 7 มิถุนายนของทุกปี โดยมุ่งหวังให้ทุกคน “รู้คิด ตระหนัก ปฏิบัติ” เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย


เชื่อว่าการพัฒนาระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืนนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงลำพัง หากปราศจากพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคประชาสังคม เครือข่ายเกษตรกร และภาคเอกชนที่มุ่งมั่นเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน




 





กิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราผนึกกำลังกันเพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และตลาดที่เป็นธรรม พร้อมทั้งส่งมอบทางเลือกที่ปลอดภัยและมีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค


ขอขอบคุณทุกความร่วมมือที่ทำให้โครงการ ‘เพาะดี กินดี’ เติบโตอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าแรงสนับสนุนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ปลอดภัย และครอบคลุมสำหรับทุกคนในสังคมไทย



 



 



Create Date : 16 มิถุนายน 2568
Last Update : 16 มิถุนายน 2568 17:09:02 น.
Counter : 80 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
ส่งมอบท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านโรคใบด่าง


"กรมส่งเสริมการเกษตร"จับมือภาคีเครือข่ายเร่งส่งมอบท่อนพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ดี”ที่มีความต้านทาน โรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลดความเสียหายจากการระบาดในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง


นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ปี 2567 ได้ร่วมกับมูลนิธิสถาบันพัฒนา มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์นำพันธุ์มันสำปะหลังต้านโรคใบด่าง ได้แก่ พันธุ์อิทธิ 1, อิทธิ 2 และอิทธิ 3 มาขยายพันธุ์โดยใช้เทคโนโลยีเร่งรัด X20 และ X80 ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่าวิธีเดิมถึง 20-80 เท่า มีเป้าหมายการผลิต จำนวน 240,000 ต้นพันธุ์ บนพื้นที่กว่า 150 ไร่ ปัจจุบันดำเนินการเสร็จสิ้น และสามารถส่งมอบสำเร็จแล้วกว่า 180,000 ลำ และคาดว่าจะทยอยส่งมอบครบตามเป้าหมาย 240,000 ลำ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568




 





โดยส่งมอบให้เกษตรกร 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่

1. กลุ่มแปลงศึกษาทดสอบ จำนวน 45 ไร่ ใช้ปลูกตามวิธีปกติ ก่อนขยายผลต่อด้วยเทคโนโลยีข้อสั้น ในปีถัดไป

2. กลุ่มแปลงใหญ่ ดำเนินการร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกษตรกรร่วมโครงการจำนวน 1,200 ราย โดยจัดอบรมและส่งเสริมการปลูกพันธุ์ต้านโรคใบด่างในรูปแบบ “ธนาคารแปลงพันธุ์” 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น และอุทัยธานี

3. กลุ่มเครือข่ายกองขยายพันธุ์พืช โดยการสร้างเครือข่ายพืชพันธุ์ดีชุมชน ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี สระแก้ว ร้อยเอ็ด และกำแพงเพชร




 




ทั้งนี้ พันธุ์ที่ต้านทานโรคใบด่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลการศึกษา ทดสอบ ภายใต้สภาพแวดล้อมควบคุม ได้ผลดังนี้

- พันธุ์อิทธิ 1: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.2 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 25.3% ต้านโรคใบด่างได้ถึง 96.4%

- พันธุ์อิทธิ 2: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.5 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 19.8% ไม่พบโรคใบด่างเลย (ต้านทาน 100%)

- พันธุ์อิทธิ 3: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 2.9 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 20.7% ต้านโรคได้ 95.1%




 




อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สำหรับปี 2569 มีเป้าหมายจะขยายผลเพิ่มอีก 3,700 ไร่ คาดว่าจะสามารถผลิตท่อนพันธุ์ได้ถึง 29.6 ล้านท่อน โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น มูลนิธิมูลนิธิสถาบันพัฒนา มันสำปะหลังฯ โดยใช้เทคโนโลยีข้อสั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็ว และพร้อมกระจายผ่านเครือข่ายศูนย์พันธุ์พืชชุมชน



 




เน้นย้ำว่า “การใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ได้รับการรับรองและเชื่อถือได้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการ ลดการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง” เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการนำเข้าท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ไม่ผ่าน การรับรอง และควรตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายในอนาคต


 




 



Create Date : 04 มิถุนายน 2568
Last Update : 4 มิถุนายน 2568 16:48:30 น.
Counter : 78 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
‘ชาอินทรีย์’สร้างรายได้นับล้าน

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง ผลิตและแปรรูป ‘ชาอินทรีย์’ คุณภาพของดี จ.เชียงราย สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กลุ่มปีละ 1.6 ล้านบาท


นางสุจารีย์ พิชา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 (สศท.1) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่าจังหวัดเชียงรายเป็นแหล่งผลิตชาที่สำคัญของประเทศ ด้วยลักษณะภูมิประเทศ สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิตชาคุณภาพ ส่งผลให้ “ชาเชียงราย” เป็นสินค้าเกษตรที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication : GI) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558





 





ปัจจุบันกระแสความนิยมการดื่มชาและกระแสการรักสุขภาพ โดยเฉพาะชาอินทรีย์ ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันผลผลิตชาอินทรีย์ได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand


จากการลงพื้นที่ของ สศท.1 เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่โดยสัมภาษณ์นายสุนันต์ทา แซ่บู้ ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง และนายคมสันต์ สุยะใหญ่ ผู้จัดการด้านการแปรรูปและการขาย บอกเล่าว่า วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง เป็นกลุ่มผลิตชาอินทรีย์และแปรรูปครบวงจร


ได้รับมาตรฐานโรงงาน HACCP และมาตรฐาน อย. ที่แสดงให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ชาอินทรีย์มีคุณภาพ ปลอดภัยตรงตามมาตรฐานการผลิต กลุ่มเริ่มดำเนินการผลิตชาอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2539 – ปัจจุบัน มีพื้นที่ปลูกชาอินทรีย์ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จำนวน 330 ไร่ เกษตรกรสมาชิก จำนวน 55 ราย




 




เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกชาอู่หลง เบอร์ 12 หรือ ชาจีน และชาอู่หลง เบอร์ 17ซึ่งชาเป็นไม้ยืนต้นมีอายุ 30 - 40 ปี ด้านสถานการณ์การผลิตปี 2567 เกษตรกรเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤษภาคม - ธันวาคม ของทุกปี ได้ผลผลิตชาอินทรีย์สด น้ำหนักรวม 10,000 กิโลกรัม/ปี ผลผลิตเฉลี่ย 30.30 กิโลกรัม/ไร่/ปี ราคาชาอินทรีย์สดที่เกษตรกรขายได้ เกรดคละ 55 บาท/กิโลกรัม โดยกลุ่มเป็นผู้รับซื้อจากสมาชิกที่ผลิตชาอินทรีย์เท่านั้น


ด้านกระบวนการแปรรูป กลุ่มจะนำชาอินทรีย์สด น้ำหนักรวม 10,000 กิโลกรัม มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาอินทรีย์ เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งหลังจากการแปรรูปชาอินทรีย์จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 2,000 กิโลกรัม โดยการแปรรูปแบ่งเป็น 3 รูปแบบ


ทั้งนี้ได้แก่ 1) ชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก (Non-fermented tea) คือ ชาเขียวอบแห้ง ได้ผลผลิต 1,000 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 50 ของการแปรรูป ราคา 1,000 บาท/กิโลกรัม 2) ชาที่ผ่านกระบวนการหมักเพียงบางส่วน (Semi-fermented tea) ได้แก่ ชาอินทรีย์อู่หลง เบอร์ 12 ได้ผลผลิต 400 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 20 ของการแปรรูป ราคา 1,500 บาท/กิโลกรัม





 





ชาอินทรีย์ก้านอ่อนอู่หลง เบอร์ 17 ได้ผลผลิต 300 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 15 ของการแปรรูป ราคา 2,000 บาท/กิโลกรัม และชาตังติ่งอู่หลง ได้ผลผลิต 100 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 5 ของการแปรรูป ราคา 2,500 บาท/กิโลกรัม


3) ชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างสมบูรณ์ (Completely-fermented tea) คือ ชาแดงอู่หลง ได้ผลผลิต 200 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 10 ของการแปรรูป ราคา 1,600 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ให้กลุ่ม 1,600,000 บาท คิดเป็นกำไร 640,000 บาท


ด้านสถานการณ์ตลาดชาแปรรูปอินทรีย์ พบว่า ผลผลิตส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 จำหน่ายตลาดภายในประเทศ อาทิ ร้านคาเฟ่ ตลาดออนไลน์และออกบูธงานต่าง ๆ ส่วนผลผลิตอีกร้อยละ 30 ส่งออกตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส และเยอรมัน นอกจากนี้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนยังมีการพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าการแปรรูปผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง





 
 


 

โดยประยุกต์ใช้วัตถุดิบอินทรีย์ที่มีกลิ่นหอมเพื่อให้สินค้าชาอินทรีย์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ อาทิ ชาหอมหมื่นลี้ ชามะลิ ชาข้าวกล้องผสมอู่หลง ชาสมุนไพรเจียวกู้หลาน ชาอู่หลงวาโคฉะ ชาอู่หลงมัทฉะ และชาอู่หลงโฮจิฉะ


นอกจากนี้ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง ยังเป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตและแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชาอินทรีย์และมุ่งมั่นจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงขั้นตอนการผลิตและการแปรรูปสินค้าชาอินทรีย์คุณภาพสูง


โดยถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญของกลุ่มจากรุ่นสู่รุ่น ในแต่ละปีจะมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และนักท่องเที่ยวทั่วไป เข้ามาเยี่ยมชมมากกว่า 500 ราย/ปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพิ่มโอกาสในพัฒนา






 





รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและขยายแนวคิดการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ควบคู่กับการรักษาสมดุลของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นายคมสันต์ สุยะใหญ่ ผู้จัดการด้านการแปรรูปและการขาย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสวนชาดอยตุง 08 2628 8982 หรือ สศท.1  โทร. 053 121 318-9 หรืออีเมล์ zone1@oae.go.th



 




 



Create Date : 26 มีนาคม 2568
Last Update : 26 มีนาคม 2568 16:04:39 น.
Counter : 188 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
แปรรูปจากมันจาวมะพร้าว สู่การผลิตเชิงพาณิชย์

กรมวิชาการเกษตร ลุยถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันจาวมะพร้าว สู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตั้งเป้าบุกตลาดพรีเมียมภายใต้แบรนด์สินค้าชุมชน

     
นางสาวศุภมาศ  กลิ่นขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เกษตร กองวิจัยพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร
เปิดเผยว่า กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวฯ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ และหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ได้จัดฝึกอบรมการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันจาวมะพร้าวสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอำเภอหนองบัวระเหว และผู้สนใจ ในจังหวัดชัยภูมิ





 





โดยได้รับเกียรติจาก นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานในพิธีการอบรม  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาคุณภาพการผลิตและความหลากหลายในผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป โครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีการแปรรูปและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ พร้อมผลักดันสินค้าแปรรูปให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับพรีเมียมภายใต้ตราสินค้าชุมชน


มันจาวมะพร้าวเป็นพืชที่อุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินซี และมีกรดโฟลิกสูงมาก รวมทั้งยังเป็นพืชที่ไม่มีกลูเตน มีปริมาณแป้งต้านทานการย่อยสูง และมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ




 




กองวิจัยพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวฯ จึงได้นำมันจาวมะพร้าวหัวที่ตกเกรด หัวที่มีขนาดใหญ่มาก และหัวที่เสียหายจากการเก็บเกี่ยวจะขายในราคาที่ต่ำ มาแปรรูปเป็นแป้งฟลาวมันจาวมะพร้าวพร้อมใช้ และนำแป้งที่ได้ไปพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปจากแป้งฟลาวมันจาวมะพร้าว


โดยสามารถใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนแป้งสาลีได้ เช่น คุกกี้เนย เค้กชิฟฟ่อนใบเตย บราวนี่ โดนัทจิ๋ว ตูเล่  ชีสเค้กหน้าไหม้ อาหารเสริมสุขภาพ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้มันจาวมะพร้าว และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีกทางเลือกหนึ่ง
่่่



 
 




นางสาวศุภมาศ กล่าวว่า จากงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันจาวมะพร้าวสามารถนำไปต่อยอดเชิงธุรกิจและแข่งขันในตลาดได้  โดยจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน พัฒนาต่อยอดเป็นสินค้า OTOP ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายผลเทคโนโลยี กวป.จึงจัดการฝึกอบรมโดยดำเนินงานภายใต้  โครงการพัฒนาคุณภาพการผลิตและความหลากหลายในผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป


โดยในครั้งนี้มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 60 คน ซึ่งเป็นเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ต้องการต่อยอดการแปรรูปผลิตภัณฑ์มันจาวมะพร้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยการฝึกอบรมจะมีการสาธิตและฝึกปฏิบัติการผลิตแป้งฟลาวจากมันจาวมะพร้าว ผลิตผลิตภัณฑ์เส้นจากแป้งฟลาวมันจาวมะพร้าว และผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่จากแป้งฟลาวมันจาวมะพร้าว  





 





โครงการนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้กับเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตร ให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ และเป็นการต่อยอดผลผลิตเกษตรสู่สินค้ามูลค่าสูงในอนาคตอีกด้วย  



ผู้ที่สนใจนำไปต่อยอดทำเป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้  สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร โทรศัพท์ 0 2940 7322




 



 



Create Date : 26 มีนาคม 2568
Last Update : 26 มีนาคม 2568 15:45:27 น.
Counter : 92 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments