Group Blog All Blog
|
กยท.ทุ่ม 2,800 ลบ.ช่วยชาวสวนโค่นยาง
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดสรรงบ 2,800 ล้านบาท เร่งช่วยเหลือชาวสวนยางโค่นปลูกแทนด้วยทุนตนเองก่อนอนุมัติ ไร่ละ 16,000 บาท อนุมัติคำขอครบ 100% แล้ว เดินหน้าจ่ายเงินฯ เสร็จสิ้น ภายใน 15 ก.ย. นี้ หวังลดต้นทุน-เพิ่มคุณภาพผลผลิต สร้างความยั่งยืนแก่อาชีพชาวสวนยาง ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรชาวสวนยางจำนวนมากซึ่งได้ยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการโค่นต้นยางและปลูกแทนโดยใช้ทุนของเกษตรกรก่อนได้รับการอนุมัติจาก กยท. โดยบางส่วนได้ดำเนินการโค่นและปลูกด้วยทุนส่วนตัวล่วงหน้าก่อนการได้รับอนุมัติจาก กยท. ![]() ขณะนี้ กยท. ได้อนุมัติคำขอฯ ครบ 100% แล้ว และได้ดำเนินการจ่ายเงินส่งเสริม สนับสนุน และให้ ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการฯ ไปแล้วเป็นเงิน 501,703,659.23 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.ย. 2568) โดยคาดว่าจะจ่ายเงินได้ครบจำนวนภายในวันที่ 15 ก.ย. นี้ ![]() การปลูกไม้ยืนต้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ทางเลือก หรือการทำสวนยางยั่งยืนที่ผสมผสานกับกิจกรรมเกษตรอื่น ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในอาชีพและความยั่งยืนแก่ภาคเกษตรกรรมในระยะยาวต่อไป ![]() สำหรับเกษตรกรผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการโค่นต้นยางและปลูกแทนในปีงบประมาณ 2569 สามารถยื่นคำขอรับการปลูกแทน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ได้ที่ กยท.จังหวัด/สาขา ในพื้นที่ใกล้บ้าน ![]() ![]() หนุนพะเยา เมืองกาแฟ"สร้างอัตลักษณ์สินค้าท้องถิ่นแข่งขันต่างประเทศ
กรมส่งเสริมการเกษตร มุ่งขับเคลื่อนจังหวัดพะเยาให้ก้าวสู่การเป็น “เมืองกาแฟ” ของภาคเหนือ โดยส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) เพื่อเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างอัตลักษณ์สินค้ากาแฟท้องถิ่นที่สามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สืบเนื่องจากการจัด Kick Off กิจกรรมส่งเสริมการผลิตกาแฟภาคเหนือตลอดห่วงโซ่อุปทาน เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดเชียงใหม่ กาแฟนับเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนือตอนบนที่มีการปลูกมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ![]() ทั้งนี้ การสร้างสมดุลใหม่ที่สอดคล้องกับ Climate Change และกฎระเบียบสากล เช่น กฎหมาย EUDR (EU Deforestation Regulation) ที่ให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าเกษตรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า ถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทย ในการพัฒนากาแฟคุณภาพสูงให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก มุ่งยกระดับผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรในระยะยาว สำหรับจังหวัดพะเยามีพื้นที่ปลูกกาแฟรวม 2,034 ไร่ ผลผลิตกาแฟเชอรี่ 967 ตัน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ใจ อำเภอเชียงคำ และอำเภอปง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 450–1,100 เมตร เหมาะสมต่อการผลิตกาแฟคุณภาพ และยังมีพื้นที่ที่ต้องการขยายผลเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนในอนาคต ![]() การแปรรูป และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการผลิตกาแฟในจังหวัดพะเยา ดังนี้ ส่งเสริมการใช้พันธุ์กาแฟคุณภาพและเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม ถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาทักษะการผลิต การแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟใหม่ ![]() การดำเนินงานดังกล่าว ไม่เพียงช่วยลดการนำเข้ากาแฟ แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการผลิตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกร และยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับการปรับตัวต่อ Climate Change และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมการเกษตรยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อน “พะเยา เมืองกาแฟ” ให้เป็นต้นแบบการพัฒนากาแฟคุณภาพของประเทศไทย สร้างคุณค่าใหม่แก่เกษตรกร เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน ![]() รัฐ-เอกชนMOUยกระดับกาแฟไทย ดันรายได้เกษตรกรโตอย่างยั่งยืน
กรมส่งเสริมการเกษตร ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 36 หน่วยงาน เดินหน้าขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่ากาแฟไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งยกระดับการผลิตกาแฟคุณภาพ เสริมความเชื่อมั่นด้านตลาด และสร้างรายได้ที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วประเทศ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวหลังจากการเป็นประธานในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ว่า กาแฟ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันกาแฟไทยกำลังเผชิญหน้ากับทั้งโอกาสมหาศาลและความท้าทายที่ซับซ้อนในการก้าวสู่ความยั่งยืนด้านอาหาร การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ![]() รวมถึงแนวโน้มการเติบโตโดยเฉพาะกลุ่มกาแฟสดและกาแฟพิเศษ สะท้อนถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่ซับซ้อนและต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นกลไกขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแนวทางการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน รวมถึงกาแฟไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เช่น การผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพ ความผันผวนของราคา ต้นทุนการผลิตที่สูง ปัญหาด้านคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ และการขาดแคลนแรงงาน ![]() นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า การลงนามในครั้งนี้มีหน่วยงานร่วมมือจำนวนมาก เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร (เจ้าภาพ) กรมวิชาการเกษตร ส.ป.ก. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน สวทช. และอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงภาคเอกชนรายใหญ่ เช่น CP ALL เนสท์เล่(ไทย) กาแฟพันธุ์ไทย เป็นต้น ![]() ความร่วมมือครั้งนี้มีสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการวิจัยและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาระบบการตลาดที่เป็นธรรม การรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรม ลดการเผาในพื้นที่เกษตร ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ "นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกาแฟไทย เราไม่ได้มองแค่ผลผลิต แต่กำลังสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะในพื้นที่สูง จะสามารถเข้าถึงโอกาส เข้าถึงตลาด และเป็นเจ้าของอนาคตของตนเองได้จริง" อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว ![]() พร้อมส่งเสริมการวิจัย เทคโนโลยี ตลาดที่โปร่งใส และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยมีกิจกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อน เช่น การวิจัยและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่ ศึกษาและจัดทำฐานข้อมูล DNA Fingerprinting เพื่อสนับสนุนการอนุกรมวิธานพันธุ์กาแฟไทยอย่างเป็นระบบ ช่วยระบุอัตลักษณ์ของพันธุ์กาแฟแต่ละชนิด เสริมความมั่นคงของทรัพยากรพันธุกรรมพื้นถิ่น และสร้างโอกาสการแข่งขันในระดับสากล รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบควบคุม กำจัดโรคและแมลงศัตรูกาแฟ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกาแฟคุณภาพแก่เกษตรกร ส่งเสริมระบบ e-learning และส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Peer Learning ![]() โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่และยุวเกษตรกร แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ ระหว่างกัน เช่น การจัดเวิร์กชอปในชุมชน ฟาร์มต้นแบบ หรือกลุ่มเครือข่ายความรู้ เพื่อยกระดับทักษะและสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ปฏิบัติจริง การส่งเสริมตลาดที่เป็นธรรม ระบบรับซื้อโปร่งใส และมี Traceability พัฒนา EUDR Mapping และพัฒนาระบบ Digital Trace Platform ที่ตรวจสอบได้แบบ real-time การสร้างโอกาสแข่งขันที่เท่าเทียม สอดคล้องมาตรฐานสากล เช่น EUDR เชื่อมโยงผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศผ่าน platform กลาง การรวมกลไกระดับนโยบาย-ชุมชน-พื้นที่ Contract Farming และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน จัดทำสัญญาเกษตรพันธสัญญาอย่างเป็นธรรม ตรวจสอบได้ บูรณาการแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน ![]() ทั้งนี้เช่น ลดการเผาในที่โล่ง เพื่อลดมลพิษและรักษาคุณภาพดิน การใช้ Biochar นำวัสดุชีวมวลไปผ่านกระบวนการเผาอย่างไม่สมบูรณ์เพื่อใช้ปรับปรุงดิน เพิ่มคาร์บอนในระบบ รวมถึงการปลูกพืชร่วม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงปลูก ช่วยควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ และเพิ่มรายได้ทางเลือกแก่เกษตรกร ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเกษตรกาแฟยั่งยืนในชุมชน และการพัฒนาเยาวชน และการประกวดกาแฟ บ่มเพาะยุวเกษตรกร และเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีทักษะเชิงลึก ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน “กาแฟไทย” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรม และมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง ![]() "เพาะดี กินดี"เครือข่ายอาหารปลอดภัย
ซินเจนทา ผนึกกำลังกับพันธมิตรสร้างเครือข่ายอาหารปลอดภัย เนื่องในวันความปลอดภัยอาหารโลก 2025ผ่านโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ “ซินเจนทา” ขานรับความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากยิ่งขึ้น เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ ผ่านกิจกรรม “Grow Well, Eat Well: กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิรักษ์ไทย และภาคีเครือข่าย โดยได้รับเกียรติจาก นายเสกสรรค์ วรรณกรี ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร เป็นประธานพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาระบบอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ จากต้นทางของกระบวนการผลิตสู่ปลายทางของผู้บริโภค และฉลองวันความปลอดภัยอาหารโลก (World Food Safety Day 2025) ที่ผ่านมา ณ ลานกิจกรรมวันนิมมาน โซนวันศาลา จังหวัดเชียงใหม่ ![]() โดยผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ไม่เพียงรองรับผู้บริโภคในท้องถิ่น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ด้านอาหารปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสของการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัยและการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากจากผู้บริโภคทั่วโลก ผู้คนหันมาเลือกอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ใส่ใจที่มาของวัตถุดิบ และสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อยที่คำนึงถึงอาหารปลอดภัย และระบบนิเวศ ซึ่งแนวโน้มนี้ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะมาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย GAP (Good Agricultural Practice) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิต โดยการพัฒนาและเสริมศักยภาพเกษตรรายย่อยให้สามารถผลิตพืชอาหารที่ได้มาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย GAP (Good Agricultural Practice) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรพร้อมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับระบบอาหารของไทยให้มั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน” ![]() นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากมายในภาคเกษตรและอาหาร ทั้งนวัตกรรมที่ก้าวหน้า ความท้าทายจากสภาพอากาศ และความคาดหวังของผู้บริโภคที่ต้องการอาหารไม่เพียงแค่อร่อยหรือสดใหม่ แต่ต้องปลอดภัยและโปร่งใสในทุกขั้นตอน ทั้งนี้เพื่อยกระดับความปลอดภัยอาหารตั้งแต่แปลงเกษตรถึงมือผู้บริโภค และเรายังได้สนับสนุนการสร้างเครือข่ายเกษตรกรให้เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในชุมชนของตนเอง วันนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะร่วมกันส่งต่อแนวคิดดีๆ และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อร่วมกันสร้างจานอาหารที่ไม่เพียงอร่อยและปลอดภัย แต่ยังสะท้อนความใส่ใจต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร. พรชัย ศรีประไพ คณะกรรมการมูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวว่า มูลนิธิรักษ์ไทยมีบทบาทสำคัญในการทำงานเชิงพื้นที่เคียงข้างเกษตรกรรายย่อยมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัย ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบอาหารในประเทศ ระบบอาหารปลอดภัยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อมีผู้ผลิตที่มีคุณภาพ และผู้บริโภคที่มีความตระหนัก ร่วมสร้างวงจรความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างกัน ![]() ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย อาทิ บูธแนะนำโครงการ “เพาะดี กินดี” และองค์กรภาคี บูธจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยจากชุมชนและวิสาหกิจท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาและฐานทรัพยากรชีวภาพ เช่น ผ้าทอย้อมสีธรรมชาติจากชุมชนคนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ ผลิตภัณฑ์หวายจากเกษตรกรผู้ปลูกหวาย การดริปกาแฟสดจากเกษตรกรในพื้นที่ การจัดกิจกรรมเวิร์กชอปเมนูอาหารปลอดภัย เช่น ซูชิข้าวดอย สลัดโรล กาแฟดริป พร้อมบรรยายพิเศษจากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 เชียงใหม่ ในหัวข้อ “GAP ไม่ใช่แค่ใบรับรอง…แต่คือโอกาสของเกษตรกรรายย่อย” และการสัมภาษณ์พิเศษ เกษตรกรตัวเล็ก ผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัย สู่อนาคตที่ยั่งยืน คน ดิน น้ำป่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “วันความปลอดภัยอาหารโลก” (World Food Safety Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 7 มิถุนายนของทุกปี โดยมุ่งหวังให้ทุกคน “รู้คิด ตระหนัก ปฏิบัติ” เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย เชื่อว่าการพัฒนาระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืนนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงลำพัง หากปราศจากพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคประชาสังคม เครือข่ายเกษตรกร และภาคเอกชนที่มุ่งมั่นเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ![]() กิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราผนึกกำลังกันเพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และตลาดที่เป็นธรรม พร้อมทั้งส่งมอบทางเลือกที่ปลอดภัยและมีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค ขอขอบคุณทุกความร่วมมือที่ทำให้โครงการ ‘เพาะดี กินดี’ เติบโตอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าแรงสนับสนุนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ปลอดภัย และครอบคลุมสำหรับทุกคนในสังคมไทย ![]() ส่งมอบท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านโรคใบด่าง
"กรมส่งเสริมการเกษตร"จับมือภาคีเครือข่ายเร่งส่งมอบท่อนพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ดี”ที่มีความต้านทาน โรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลดความเสียหายจากการระบาดในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ปี 2567 ได้ร่วมกับมูลนิธิสถาบันพัฒนา มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์นำพันธุ์มันสำปะหลังต้านโรคใบด่าง ได้แก่ พันธุ์อิทธิ 1, อิทธิ 2 และอิทธิ 3 มาขยายพันธุ์โดยใช้เทคโนโลยีเร่งรัด X20 และ X80 ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่าวิธีเดิมถึง 20-80 เท่า มีเป้าหมายการผลิต จำนวน 240,000 ต้นพันธุ์ บนพื้นที่กว่า 150 ไร่ ปัจจุบันดำเนินการเสร็จสิ้น และสามารถส่งมอบสำเร็จแล้วกว่า 180,000 ลำ และคาดว่าจะทยอยส่งมอบครบตามเป้าหมาย 240,000 ลำ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 ![]() โดยส่งมอบให้เกษตรกร 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1. กลุ่มแปลงศึกษาทดสอบ จำนวน 45 ไร่ ใช้ปลูกตามวิธีปกติ ก่อนขยายผลต่อด้วยเทคโนโลยีข้อสั้น ในปีถัดไป 2. กลุ่มแปลงใหญ่ ดำเนินการร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกษตรกรร่วมโครงการจำนวน 1,200 ราย โดยจัดอบรมและส่งเสริมการปลูกพันธุ์ต้านโรคใบด่างในรูปแบบ “ธนาคารแปลงพันธุ์” 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น และอุทัยธานี 3. กลุ่มเครือข่ายกองขยายพันธุ์พืช โดยการสร้างเครือข่ายพืชพันธุ์ดีชุมชน ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี สระแก้ว ร้อยเอ็ด และกำแพงเพชร ![]() ทั้งนี้ พันธุ์ที่ต้านทานโรคใบด่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลการศึกษา ทดสอบ ภายใต้สภาพแวดล้อมควบคุม ได้ผลดังนี้ - พันธุ์อิทธิ 1: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.2 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 25.3% ต้านโรคใบด่างได้ถึง 96.4% - พันธุ์อิทธิ 2: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.5 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 19.8% ไม่พบโรคใบด่างเลย (ต้านทาน 100%) - พันธุ์อิทธิ 3: ให้ผลผลิตเฉลี่ย 2.9 ตัน/ไร่ ปริมาณแป้ง 20.7% ต้านโรคได้ 95.1% ![]() อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สำหรับปี 2569 มีเป้าหมายจะขยายผลเพิ่มอีก 3,700 ไร่ คาดว่าจะสามารถผลิตท่อนพันธุ์ได้ถึง 29.6 ล้านท่อน โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น มูลนิธิมูลนิธิสถาบันพัฒนา มันสำปะหลังฯ โดยใช้เทคโนโลยีข้อสั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็ว และพร้อมกระจายผ่านเครือข่ายศูนย์พันธุ์พืชชุมชน ![]() เน้นย้ำว่า “การใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ได้รับการรับรองและเชื่อถือได้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการ ลดการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง” เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการนำเข้าท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ไม่ผ่าน การรับรอง และควรตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายในอนาคต ![]() |
สมาชิกหมายเลข 3402302
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Friends Blog Link |