All Blog
อวดโฉมกล้วยไม้ดินใบหมาก 2 พันธุ์ใหม่ ออกดอกไว-จำหน่ายได้เร็ว

กรมวิชาการเกษตร อวดโฉมกล้วยไม้ดินใบหมาก 2 พันธุ์ใหม่ 2 สี 2 ขนาด ออกดอกไว จำหน่ายได้เร็วกว่าพันธุ์การค้า

     
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กล้วยไม้ สกุลสปาโทกลอสทิส หรือ เอื้องใบหมาก เป็นกล้วยไม้ดินที่นิยมปลูกเลี้ยงกันทั่วไป มีหลายสายพันธุ์และสีสันหลากหลาย สามารถปลูกได้ดีเกือบทุกสภาพแวดล้อม ในประเทศไทยนิยมปลูกเป็นไม้กระถางและไม้ประดับสวน เนื่องจากปลูกเลี้ยงดูแลรักษาค่อนข้างง่าย ดอกมีความสวยงามสะดุดตา และอายุใช้งานยาวนาน


ปัจจุบันกล้วยไม้สปาโทกลอสทิสมีแนวโน้มพัฒนาเพื่อการส่งออกได้ทั้งในรูปของหัวพันธุ์และไม้กระถาง ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร จึงพัฒนาสายพันธุ์ใหม่เพื่อใช้ประโยชน์เป็นไม้กระถางขนาดเล็กและขนาดกลาง





 





 
รวมทั้งมีรูปทรง ขนาดและสีของดอกตรงตามความต้องการของตลาดโดยดำเนินการตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์จนได้กล้วยไม้กล้วยไม้สปาโทกลอสทิสสายพันธุ์ใหม่จำนวน 2 พันธุ์ ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตรเป็นพันธุ์แนะนำเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 โดยใช้ชื่อกล้วยไม้ 2 พันธุ์ใหม่นี้ว่า กล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 และ กล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 2

     
กล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 เป็นสายพันธุ์ที่คัดเลือกจากลูกผสมระหว่างแม่พันธุ์ Spa-48-03 กับพ่อพันธุ์ Spa-48-01 ปลูกเปรียบเทียบพันธุ์กับพันธุ์การค้า ได้แก่ พราวชมพู และม่วงทองผาภูมิ ร่วมกับการทดสอบความพึงพอใจของผู้บริโภค





 





 
พบว่า ผู้บริโภคให้ความพึงพอใจกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 เป็นลำดับที่ 1 เนื่องจากกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 มีลักษณะเด่นต้นกะทัดรัด การจัดเรียงตัวของใบรูปร่างสวยงามเป็นระเบียบ แตกกอดี ออกดอกเร็ว ดอกเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายช่อ กลีบดอกสีม่วงเข้ม ก้านช่อดอกตั้งตรงและแข็งแรง และมีจำนวนดอกมากกว่าพันธุ์พราวชมพูและม่วงทองผาภูมิ


โดยกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 มีอายุดอกแรกบาน 93 วัน ออกดอกเร็วกว่าพันธุ์พราวชมพูซึ่งมีอายุดอกแรกบาน 143 วัน และพันธุ์ม่วงทองผาภูมิซึ่งมีอายุดอกแรกบาน 166 วัน รวมทั้งกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 ยังมีจำนวนดอกต่อช่อ 44.00 ดอก จำนวนช่อดอกต่อกระถาง 4.50 ช่อ มีความยาวช่อดอก 22.03 เซนติเมตร ช่อดอกสั้นจึงเหมาะสำหรับผลิตไม้กระถางขนาดเล็ก





 





 
สำหรับกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 2 เป็นสายพันธุ์ที่คัดเลือกจากลูกผสมระหว่างแม่พันธุ์ Spa-48-07 กับพ่อพันธุ์ S. kimbaliana ปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์การค้า ได้แก่ พราวชมพู และพันธุ์ม่วงทองผาภูมิ ร่วมกับการทดสอบความพึงพอใจของผู้บริโภค พบว่า กล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 2  แตกกอดี  ออกดอกเร็ว ดอกเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายช่อ


กลีบดอกสีส้มออกชมพู ช่อดอกอยู่เหนือทรงพุ่ม ก้านช่อดอกตั้งตรงและแข็งแรง ใบเรียงตัวสวยงาม จำนวนดอกมากกว่าพันธุ์พราวชมพูและพันธุ์ม่วงทองผาภูมิโดยมีอายุดอกแรกบาน 102 วัน จำนวนดอกต่อช่อ 39.90 ดอกจำนวนช่อดอกต่อกระถาง 4.19 ช่อ  มีความยาวช่อดอก 36.45 เซนติเมตร จึงเหมาะสำหรับผลิตไม้กระถางขนาดกลาง





 





 
จากลักษณะเด่นของกล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 1 และ กล้วยไม้ดินใบหมากพันธุ์ กวก. เชียงราย 2 ซึ่งออกดอกเร็วกว่าพันธุ์การค้าจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและยังทำให้สามารถจำหน่ายได้เร็ว


ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมของพันธุ์เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรโดยทำการขยายต้นพันธุ์ลงในกระถางขนาด 4 นิ้ว จำนวน 1,000 กระถาง หรือประมาณ 5,000 - 6,000 หัว เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ทั้ง 2 พันธุ์ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย โทรศัพท์ 053-170101 , 053-170102



 


 



 



Create Date : 31 ตุลาคม 2568
Last Update : 31 ตุลาคม 2568 15:13:39 น.
Counter : 54 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
แนะพัฒนาสวนทุเรียนน้ำแร่พบพระ’รองรับท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

สศท.2 แนะแนวทางพัฒนาสวนทุเรียนคุณภาพ ‘ทุเรียนน้ำแร่พบพระ’ จ.ตาก รองรับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ


นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงาน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จังหวัดตากมีภูมิประเทศโดดเด่นด้วยธรรมชาติและความเหมาะสมต่อ การทำเกษตร โดยเฉพาะ “ทุเรียนพบพระ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ทุเรียนน้ำแร่พบพระ” ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าขึ้นชื่อ ของจังหวัดตาก พบปลูกในพื้นที่อำเภอพบพระ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนภูเขาฝั่งตะวันตกของไทยติดพรมแดนเมียนมาร์


สำหรับจุดเด่นของทุเรียนน้ำแร่พบพระ คือผลผลิตจะออกหลังฤดูกาลทุเรียนของจังหวัดอื่น ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออก ทำให้ในช่วงปลายฤดูทุเรียนของไทยยังมีทุเรียนพบพระออกมาป้อนตลาดให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างต่อเนื่อง







 







 
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนพบพระมากขึ้น เนื่องจากกระแสของความต้องการบริโภค ทั้งตลาดในประเทศและตลาดจีน ส่งผลให้ราคาทุเรียนสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 - 6 ปี ที่ผ่านมา จูงใจให้เกษตรกรบางส่วนหันมาปลูกและขยายเนื้อที่ปลูกเพิ่ม


อย่างไรก็ตาม ทุเรียนน้ำแร่พบพระจะปลูกบนพื้นที่ภูเขาและลาดเชิงเขาทำให้การจัดการสวนตลอดอายุต้นทุเรียนยากกว่าพื้นที่ราบ หากเกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศ หรือการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตทันที


จากการลงพื้นที่ของ สศท.2 ยังพบว่า สวนทุเรียนพบพระคุณภาพดี ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแปลงต้นแบบ คือ สวนทุเรียนวรรณา ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นสวนทุเรียน ที่ได้คุณภาพ มีมาตรฐาน GAP อีกทั้งยังเป็นสวนเกษตรเชิงท่องเที่ยว โดยมีนางวรรณา รุจะศิริ เป็นเจ้าของสวน ได้มีการปลูกมายาวนานกว่า 20 ปี เนื้อที่ปลูกประมาณ 10 ไร่ หรือประมาณ 300 ต้น






 






 
เน้นการผลิตทุเรียนปลอดภัยโดยใช้ปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเน้นจำหน่ายให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางธรรมชาติของจังหวัดตากที่อยากลิ้มลองรสชาติทุเรียนน้ำแร่พบพระจังหวัดตาก


"เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทุเรียนน้ำแร่พบพระ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรร่วมบูรณาการพัฒนาการผลิตและจัดการสวนทุเรียนคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยเฉพาะช่วงกลาง – ปลายฤดูฝน ที่ผลผลิตออกมาก"


มีแนวทางสำคัญ คือ เร่งพัฒนาเกษตรกรให้ผลิตทุเรียนคุณภาพ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้หรือพาไปศึกษา ดูงานในพื้นที่ต้นแบบ การเสริมทักษะเจ้าหน้าที่ภาครัฐด้านการผลิต การจัดการสวน การป้องกันโรคแมลง และการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างต้นแบบฟาร์มทุเรียนอัจฉริยะเพื่อขยายผลสู่สวนอื่น






 





 

การประชาสัมพันธ์การผลิตทุเรียนคุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกยกเลิกคำสั่งซื้อ การผลักดันทุเรียนพบพระเป็นสินค้า GI รวมถึงรักษามาตรฐานผลผลิตเพื่อสร้างโอกาสซื้อซ้ำ และส่งเสริมเครือข่ายการผลิตและการตลาดทุเรียน เชื่อมโยงภายในประเทศ เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดส่งออกในอนาคต


สำหรับสถานการณ์การผลิตทุเรียนน้ำแร่พบพระ จังหวัดตาก ปี 2568 (ข้อมูล ณ 27 ต.ค. 68) คาดว่า มีพื้นที่ปลูกทุเรียนยืนต้น 4,678 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 72.97 ของพื้นที่ปลูกทั้งจังหวัด (6,411 ไร่) และ มีพื้นที่ให้ผลแล้ว 2,710 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 71.88 ของพื้นที่ให้ผลทั้งจังหวัด (3,770 ไร่) ผลผลิตรวม 2,141 ตัน (ผลผลิตออก มิ.ย. - ต.ค.) คิดเป็น ร้อยละ 69.60 ของผลผลิตรวมทั้งจังหวัด (3,076 ตัน)


เกษตรกรอำเภอพบพระที่ขึ้นทะเบียนการปลูก 177 ราย (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ จังหวัดตาก) เกษตรกรนิยมปลูกพันธุ์หมอนทอง จะปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม และเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 5 – 7 ปี โดยราคาเฉลี่ย ปี 2568 แบ่งตามเกรด คือ เกรด A ราคา 90 - 100 บาท/กิโลกรัม เกรด B ราคา 40 - 60 บาท/กิโลกรัม และตกเกรด







 






 
ทั้งนี้เช่น หล่น แก่จัด จำหน่ายราคา 10 - 20 บาท/กิโลกรัม ซึ่งผลผลิตกลุ่มตกเกรดจะมีเนื้อนิ่ม สุกเละ และกลิ่นแรง แต่จะเป็นที่นิยมของชาวเมียนมาร์ สำหรับช่องทางการจำหน่าย พบว่า ผลผลิตร้อยละ 70 จำหน่ายให้แก่ลูกค้าประจำที่เป็นพ่อค้าจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ร้อยละ 20 จำหน่ายให้แก่ชาวเมียนมาร์ที่เข้ามาทำงานหรือ พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น


ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เกษตรกรตั้งร้านจำหน่ายผลผลิตริมทาง นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเกษตรกรบางส่วนที่นำผลผลิตมาแปรรูปเป็นทุเรียนกวน จำหน่ายในราคา 350 บาท/กิโลกรัม และทุเรียนทอด ราคา 600 บาท/กิโลกรัม


ทั้งนี้ ท่านใดสนใจข้การทำการเกษตร โดยเฉพาะอมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สศท.2 โทร 0 5532 2650 และ 0 5532 2658 หรืออีเมล zone2@oae.go.th





 




 



Create Date : 29 ตุลาคม 2568
Last Update : 29 ตุลาคม 2568 16:54:27 น.
Counter : 65 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
พริกไทยราคาดีต่อเนื่องตลาดต้องการ


พริกไทย ราคาดีต่อเนื่อง ตลาดต้องการ สศก. คาด ผลผลิตปี 69 รวม 326 ตัน ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น


นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจสถานการณ์พริกไทยของประเทศ ซึ่งปลูกมากที่สุดในภาคตะวันออก คือ จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง





 





 
ทั้งนี้พบว่า ราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยพริกไทยดำจังหวัดจันทบุรี ในปี 2568 (เดือนมกราคม - กันยายน) อยู่ที่ 270.36 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยปี 2567  ที่ 250 บาท/กิโลกรัม และราคาเฉลี่ยปี 2566 ที่ 227.10 บาท/กิโลกรัม


ปัจจัยหลักมาจากการที่พริกไทยไทยมีคุณภาพดี ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ปริมาณผลผลิตลดลง โดยในปี 2567 ตลาดโลกยังมีความต้องการสูง มีการบริโภคในประเทศ 6,321 ตัน/ปี มีปริมาณนำเข้า 6,938 ตัน/ปี มูลค่าการนำเข้า 1,596 ล้านบาท และมีปริมาณส่งออก 878 ตัน/ปี มูลค่าส่งออก 283 ล้านบาท


จากข้อมูลผลพยากรณ์การผลิตพริกไทย ปี 2569 (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2568) ว่า แม้ราคาจะดี แต่คาดว่า จะมีเนื้อที่ยืนต้นรวมทั้งประเทศ 519 ไร่ ลดลงจากปี 2568 ที่มีจำนวน 549 ไร่ (ลดลง 30 ไร่ หรือร้อยละ 5.48) และเนื้อที่ให้ผลรวม 514 ไร่ ลดลงจากปี 2568 ที่มีจำนวน 548 ไร่ (ลดลง 34 ไร่ หรือร้อยละ 6.20)





 





 

สาเหตุหลักมาจากการที่เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลอื่นโดยเฉพาะทุเรียน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมถึงเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ปลูกพริกไทยแซมในสวนทุเรียน เมื่อทุเรียนโตขึ้นและต้องการพื้นที่ดูแลเพิ่มขึ้น จึงต้องรื้อค้างพริกไทยออก


อย่างไรก็ตาม ผลผลิตรวมในปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 326 ตัน จากปี 2568 ที่มีจำนวน 314 ตัน (เพิ่มขึ้น 12 ตัน หรือร้อยละ 3.82) เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผล





 






 
ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาต้นพริกไทยเป็นอย่างดี ไม่มีเชื้อราและศัตรูพืชมารบกวน ทำให้ผลผลิตต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวสูงถึง 634 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่ 573 กิโลกรัม/ไร่ (เพิ่มขึ้น 61 กิโลกรัม/ไร่ หรือร้อยละ 10.65)


เกษตรกรต้องใช้ระยะเวลาเพาะปลูกพริกไทย 3 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิต และสามารถให้ผลผลิตได้ปีละครั้ง แต่ต้องเก็บเกี่ยวทีละหลายรอบจนหมดต้น เนื่องจากช่อพริกไทยบนต้นจะไม่สุกพร้อมกันทั้งหมด จึงต้องทยอยเก็บประมาณ 3 - 4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 7 - 10 วัน โดยผลผลิตพริกไทยในปี 2569 จะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนมกราคม-เมษายน 2569 และจะออกมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2569 ที่ประมาณร้อยละ 49.13





 





แม้พื้นที่ยืนต้นพริกไทยจะลดลง แต่ด้วยปัจจัยด้านผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงเติบโต ทำให้พริกไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็น พืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรไทย และช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศในอนาคต โดยยังมีการส่งเสริมที่หลากหลาย


ทั้งนี้ได้แก่ การสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกในพื้นที่ศักยภาพ การส่งเสริมการผลิตตามมาตรฐาน GAP เพื่อคุณภาพและความปลอดภัย การสนับสนุนการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์พื้นถิ่นและสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการปลูก


การจัดการน้ำ การดูแลโรคและศัตรูพืช รวมถึงการจัดฝึกอบรมและรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด เพื่อเปิดโอกาสและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง




 




 



Create Date : 25 กันยายน 2568
Last Update : 25 กันยายน 2568 17:01:35 น.
Counter : 159 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
โชว์ผลงานวิจัยยกระดับภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน


นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานประชุมวิชาการและจัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการเกษตร สวก. “ARDA AGRINEXT THAILAND 2025” งาน “FARM EXPO 2025” งาน “Thailand E Commerce Selection Expo”


รวมทั้งกิจกรรม Kickoff : ประกาศเจตจำนงความร่วมมือวิจัยด้าน Gene Editing เพื่อเกษตรไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–28 กันยายน 2568 โดยมีนายถาวร ทันใจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


นายชวลิต ชูขจร ประธานคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (ARDA) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน ณ อิมแพค เอกซิบิชั่น ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี






 




 

นายประยูร กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการเกษตรของประเทศไทย ภายใต้งาน “ARDA AGRINEXT THAILAND 2025” “FARM EXPO 2025” และ “E-Commerce” รวมถึงกิจกรรม Kickoff ประกาศเจตจำนงความร่วมมือด้านการวิจัย Gene Editing เพื่อเกษตรไทย 


กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับภาคการเกษตรไทยจากการผลิตแบบดั้งเดิมสู่เกษตรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่ม งานวิจัยที่นำไปใช้ได้จริงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเกษตรกรไทยปรับตัว


รวมทั้งเพื่อให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในภายใต้สภาวะการแข่งขันทางการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เพียงแต่ช่วยสร้างองค์ความรู้ใหม่แต่ยังเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร





 





 
อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตลอดจนการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงรวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งนักวิจัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และสถาบันการศึกษา เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความท้าทายในอนาคต ไปสู่การพัฒนาภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน


ทั้งนีัตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ARDA ได้สนับสนุนงานวิจัยแล้วกว่า 3,042 โครงการ สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมกว่า 19,000 ล้านบาท และพัฒนานักวิจัยด้านการเกษตรกว่า 20,000 คน  “ARDA AGRINEXT THAILAND 2025” จึงไม่ใช่เพียงเวทีแสดงผลงาน แต่คือการพิสูจน์ว่าพลังงานวิจัยไทยสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ และพร้อมต่อยอดสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน


ภายในงานมีไฮไลท์ที่น่าสนใจแบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซน ARDA Showcase : พบกับผลงานวิจัยที่ใช้ได้จริง เปลี่ยนชีวิตเกษตรกรได้จริง อาทิ ปุ๋ยพลาสมาไนโตรเจน ลดการใช้ปุ๋มเคมีกว่า 50% ลดต้นทุนการผลิตผักสลัดเหลืองเพียง 7-10 บาท/กก. เทคโนโลยีผลิต “ผำ” เชิงอุตสาหกรรม ปลอดภัย ได้มาตรฐาน การเลี้ยง BSF แมลงโปรตีนทางเลือก ลดต้นทุน 50% สร้างรายได้ 4 ล้าน/ปี”





 




 

โซน Agri Tech : เทคโนโลยีเกษตรล้ำยุค ยกระดับประสิทธิภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม อาทิ เครื่อง CT Scan ทุเรียน รู้ผลไม่อ่อน ไม่หนอน ภายใน 3 นาที โดรนกำจัดศัตรูมะพร้าว เทคโนโลยีฉีดพ่นสุดล้ำ พ่นใต้ใบได้ทุกจุด ลดความเสียหายผลผลิต–เพิ่มกำไร 20% พันธุ์ข้าวทนเค็ม ปลูกได้ในพื้นที่นำเค็ม ผลผลิตเพิ่มขึ้น จาก 300–400 กก./ไร่ เป็น 650–750 กก./ไร่


โซน Agri Next : เกษตรดิจิทัล อาหารอนาคต และนวัตกรรมแม่นยำสูง อาทิ ระบบเฝ้าระวังฝนตกน้ำท่วม ระบบแม่นยำแจ้งเตือนไว ลดความเสียหายผลผลิตเกษตรกร 20-30% มูลค่ารวมกว่า 15–20 ล้านบาท/ปี  MunBOT แอปเฝ้าระวังและเตือนภัยโรคมันสำปะหลัง”  


โซน Agri Colorful : ดื่มด่ำสีสันความหลากหลายของสินค้าเกษตรไทย ทั้งแปลกใหม่ หลากหลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มได้เกินคาด อาทิ มะละกอพันธุ์ปลักไม้ลาย ทนโรค เพิ่มผลผลิต 750 กก./ไร่ สร้างรายได้ 84,694 บาท /ปี เทคโนโลยีและนวัตกรรมขยายพันธุ์ปะการังอ่อน ฟื้นทะเลไทยแห่งแรก แห่งเดียวของประเทศไทย”





 




 

ในโอกาสนี้ ARDA ได้จัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่ผลงานวิจัยและบุคลากรผู้สร้างคุณูปการต่อเกษตรไทย จำนวน 5 รางวัล ได้แก่ 1) โครงการวิจัยดีเด่น 2) นักวิจัยด้านการเกษตรดีเด่น 3) นักเรียนทุน ARDA ที่มีผลงานวิจัยด้านการเกษตรดีเด่น ประเภทนักวิชาการ 4) นักเรียนทุน ARDA ที่มีผลงานวิจัยด้านการเกษตรดีเด่น ประเภท Young Smart Farmer และ 5) รางวัลผู้ประกอบการ ARDA ดีเด่น ที่นำผลงานวิจัยด้านการเกษตรไปใช้ประโยชน์  


นอกจากนิทรรศการงานวิจัยแล้ว ภายในงานยังมีการบรรยายและการเสวนาที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ การบรรยายในหัวข้อ “Game-Changer พลิกอนาคตเกษตรไทยด้วยงานวิจัย ARDA” โดย ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการ ARDA ที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมงานวิจัยจึงเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนผ่านอนาคตเกษตรไทย


รวมทั้งการเปิดเวทีเสวนาที่รวมผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้านมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหัวข้อต่างๆ ได้แก่ หัวข้อ “Gene Editing : นวัตกรรมชีวภาพเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทย” หัวข้อ “Local to Global : เส้นทางเกษตรจากบทเรียนสู่พื้นที่จริง” หัวข้อ “Service Provider พลิกเกษตรไทยด้วยเกษตรบริการ” และหัวข้อ “Agri-Next : เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเกษตรไทยก้าวไปได้ไกลกว่าที่เคย”


นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Workshop อาทิ กิจกรรมขยายพันธุ์กล้าปะการังอ่อนครั้งแรกใจกลางเมือง กิจกรรมเก็บเห็ดจากโรงเรือนรวบรวมเห็ดพื้นเมืองไทยไว้กว่า 10 สายพันธุ์ รวมถึงเวที Business Matching เพื่อเปิดโอกาสในการเชื่อมโยงนักลงทุนกับเกษตรกร และผู้ประกอบการในภาคเกษตรด้วย



 




 



Create Date : 25 กันยายน 2568
Last Update : 25 กันยายน 2568 16:39:32 น.
Counter : 58 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
กยท.ทุ่ม 2,800 ลบ.ช่วยชาวสวนโค่นยาง

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดสรรงบ 2,800 ล้านบาท เร่งช่วยเหลือชาวสวนยางโค่นปลูกแทนด้วยทุนตนเองก่อนอนุมัติ ไร่ละ 16,000 บาท อนุมัติคำขอครบ 100% แล้ว เดินหน้าจ่ายเงินฯ เสร็จสิ้น ภายใน 15 ก.ย. นี้ หวังลดต้นทุน-เพิ่มคุณภาพผลผลิต สร้างความยั่งยืนแก่อาชีพชาวสวนยาง

ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรชาวสวนยางจำนวนมากซึ่งได้ยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการโค่นต้นยางและปลูกแทนโดยใช้ทุนของเกษตรกรก่อนได้รับการอนุมัติจาก กยท. โดยบางส่วนได้ดำเนินการโค่นและปลูกด้วยทุนส่วนตัวล่วงหน้าก่อนการได้รับอนุมัติจาก กยท.




 




 
ทั้งนี้ กยท. ได้ดำเนินการรวบรวมคำขอคงค้างดังกล่าว และกำหนดแผนให้การโค่นและปลูกแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเกษตรกรยื่นแบบคำขอ (กยท. 4) รวมทั้งสิ้น 36,283 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 346,685.90 ไร่ โดย กยท. ได้อนุมัติงบประมาณประจำปี 2568 จากกองทุนพัฒนายางพารา ตามมาตรา 49(2) เป็นวงเงินรวม 2,860,431,552.20 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการดังกล่าว

ขณะนี้ กยท. ได้อนุมัติคำขอฯ ครบ 100% แล้ว และได้ดำเนินการจ่ายเงินส่งเสริม สนับสนุน และให้ ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการฯ ไปแล้วเป็นเงิน 501,703,659.23 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.ย. 2568) โดยคาดว่าจะจ่ายเงินได้ครบจำนวนภายในวันที่ 15 ก.ย. นี้




 




 
ดร.เพิก กล่าวว่า การโค่นต้นยางและปลูกแทน ถือเป็นโครงการสำคัญของ กยท.ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตยางพาราไทย โดยการเปิดโอกาสให้เกษตรกรเลือกแนวทางการปลูก ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกยางพันธุ์ดีเพื่อเพิ่มผลผลิต

การปลูกไม้ยืนต้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ทางเลือก หรือการทำสวนยางยั่งยืนที่ผสมผสานกับกิจกรรมเกษตรอื่น ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในอาชีพและความยั่งยืนแก่ภาคเกษตรกรรมในระยะยาวต่อไป



 





 
“กยท. ยังคงเดินหน้าโครงการโค่นและปลูกยางแทนในทุกปี พร้อมจัดสรรงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการปลูกต้นยางรุ่นใหม่ และช่วยเสริมสภาพคล่อง ให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการสวนยางได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” ดร.เพิก กล่าว

สำหรับเกษตรกรผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการโค่นต้นยางและปลูกแทนในปีงบประมาณ 2569 สามารถยื่นคำขอรับการปลูกแทน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ได้ที่ กยท.จังหวัด/สาขา ในพื้นที่ใกล้บ้าน




 




 
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการโค่นต้นยางและปลูกแทน ต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. และมีสิทธิ์ในที่ดินสวนยาง หรือเป็นผู้ครอบครองที่ดินสวนยางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีสวนยาง อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือมีสภาพทรุดโทรมเสียหาย หรือต้นยางได้ผลน้อย ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต เบอร์ 0-2433-2222 ต่อ 251 หรือ กยท.จังหวัด/สาขา ในพื้นที่ใกล้บ้าน


 



Create Date : 11 กันยายน 2568
Last Update : 11 กันยายน 2568 18:15:29 น.
Counter : 92 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  

BlogGang Popular Award#21



สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments