Group Blog
 
<<
มีนาคม 2567
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 มีนาคม 2567
 
All Blogs
 
มิจฉาทิฐิ

               

           ร่างกายกับใจนี้เป็นคนละคนกัน  เหมือนสามีภรรยา เป็นคนละคนกัน ร่างกายไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ผู้ที่รู้ก็คือใจ ถ้าใจมีธรรมะ มีสัมมาทิฐิ มีปัญญา ก็จะรู้ว่าร่างกายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้ามีมิจฉาทิฐิ ก็จะมีอุปาทานไปยึดไปติด ว่าเป็นตัวเราของเรา ก็จะเป็นทุกข์  รูปังอนิจจังก็คือร่างกายไม่เที่ยง  มีการเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  แล้วดับไป รูปังอนัตตาก็คือร่างกายไม่ใช่ใจ เป็นเครื่องมือของใจ ที่พวกเราสนทนากันได้ ก็เพราะมีร่างกาย มีปากมีหู ใจอาศัยปากพูด อาศัยหูฟังเสียง ให้วิญญาณรับรู้ ให้สัญญาแปลความหมาย ใจของปุถุชนคือผู้ที่ไม่ได้บรรลุธรรม จะมีมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด คือไม่เห็นอนัตตา ความไม่มีตัวตนในขันธ์ ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ไม่เห็นว่าเป็นอนิจจังไม่เที่ยง จึงมีความทุกข์ใจ เพราะไปหลงยึดติดกับขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเราของเรา จึงมีความอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พอไม่ได้เป็นไปตามความอยากก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เช่นอยากให้ร่างกายไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ให้อยู่ไปนานๆ พอไม่เป็นไปอย่างที่อยาก พอเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เกิดความทุกข์ใจ ความกังวลใจ ความหวาดกลัวขึ้นมา เวลาตายก็จะมีความทุกข์ทรมานใจ เพราะมีมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นว่าขันธ์ ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นตัวเราของเรา ที่เราควบคุมบังคับได้ ที่ให้ความสุขกับเรา ถึงรักถึงหวงกันมาก
 
เรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกันในวันนี้ เราจะได้สัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ที่ได้พิสูจน์แล้วโดยพระบรมศาสดา และรับรองโดยพระอรหันตสาวกทุกรูป ว่าเป็นความจริง ผู้ที่เห็นตามความจริงก็จะปล่อยวาง ถ้าเห็นว่าร่างกายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวใครทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวหลวงตา ไม่ใช่ตัวพ่อ ตัวแม่ ตัวพี่ ตัวน้อง ตัวเพื่อน ตัวญาติ เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ที่ต้องสลายกลับสู่ดินน้ำลมไฟ ไม่มีใครยับยั้งได้ ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนี้มาแล้ว ร่างกายของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้ ให้เราเห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่มีธาตุรู้อยู่ในร่างกาย ธาตุรู้ที่เราเคารพกราบไหว้บูชา ที่เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์  หลวงตา หลวงปู่ หลวงพ่อนี้ ไม่ได้แตกดับไปกับร่างกาย เพียงแต่ท่านไม่มีเครื่องมือ ที่จะติดต่อกับพวกเราเท่านั้นเอง ถ้ามีพลังจิตก็ยังจะสามารถติดต่อกับจิตดวงอื่นได้ เช่นผู้ที่เข้าสมาธิบางท่าน ก็จะสื่อสารกับจิตของผู้ที่ไม่มีร่างกายได้ เช่นพวกเทพหรือผี หรือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่ปรินิพพานไปแล้ว ที่ไม่มีร่างกายแล้ว ก็ยังติดต่อกันได้ อย่างที่มีพระอรหันต์มีพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมโปรดหลวงปู่มั่น ที่ปรากฏอยู่ในประวัติของท่าน เป็นที่ถกเถียงระหว่างผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ว่าเป็นการเพ้อเจ้อหรือเปล่า เพราะในพระไตรปิฎกได้แสดงว่า เมื่อนิพพานแล้วก็เป็นอันว่าจบ
 
ความจริงคำว่าจบหรือคำว่าสูญนี้ มีหลายความหมายด้วยกัน ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติจะไม่เข้าใจ ว่าจบกับสูญเป็นอย่างไร ความจริงเป็นการจบของการเวียนว่ายตายเกิด สูญจากความโลภความโกรธความหลงความอยาก แต่จิตไม่ได้จบไม่ได้สูญ จบไม่ได้ สูญไม่ได้ เพราะธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรจบในสากลโลกนี้ ร่างกายก็ไม่จบ เพียงแต่เปลี่ยนสภาพไปเท่านั้นเอง ธาตุที่มาประกอบร่างกายนี้ก็ไม่ได้หายไป เพียงแยกออกจากกัน ออกจากร่างกายก็กลายเป็นธาตุเดิม น้ำก็ไปหาน้ำ ลมก็ไปหาลม ไฟก็ไปหาไฟ ดินก็ไปหาดิน เป็นดินบริสุทธิ์ เป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นไฟบริสุทธิ์ เป็นธาตุเดิมที่ไม่ได้ผสมกัน แต่ก็จะมาผสมกันใหม่ กลับมาเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ นี่ก็คือเรื่องของอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด แม้แต่ธาตุรู้คือใจ ที่มีความรู้สึกนึกคิดนี้ ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาวธรรม ความรู้สึกนึกคิด เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็เป็นสภาวธรรม ไม่มีตัวตนในเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นเพียงสภาวธรรม เป็นธรรมชาติ เวทนาก็แสดงอาการสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญาก็ทำหน้าที่จำได้หมายรู้ วิญญาณก็ทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับรูปเสียงกลิ่นรส ที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกาย สังขารก็ทำหน้าที่คิดปรุงแต่ง คิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง คิดไปที่นั่น คิดมาที่นี่ คิดรัก คิดชัง คิดโลภ คิดโกรธ คิดหลง ใจถ้าหลงตามก็ทุกข์ ถ้าไม่หลงตามก็ไม่ทุกข์ เวลาโกรธจะรุ่มร้อนจิตใจ ถ้าไม่โกรธก็จะไม่รุ่มร้อน ความโลภก็เช่นเดียวกัน
 
ธาตุรู้หรือใจนี่เป็นผู้สั่งการ ให้โลภหรือไม่โลภ ให้โกรธหรือไม่โกรธ ขึ้นอยู่กับทิฐิความเห็น ว่าเป็นสัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิ ส่วนใหญ่จะเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะถูกอวิชชาครอบงำ อวิชชา ปัจจยา สังขารา ก็เลยหลงตามสังขาร ความคิดปรุงแต่งที่ไปในทางโลภโกรธหลง เวลาเกิดความโลภแทนที่จะมีสติปัญญารู้ทัน ว่ากำลังจะไปนรก ไปสู่ความทุกข์ กลับไม่รู้ กลับหลงตาม อยากจะได้อะไรก็เอาเลย จะได้มาอย่างไรไม่สำคัญ ถ้าต้องฆ่าก็จะทำ ขอให้ได้ก็แล้วกัน แล้วก็ต้องไปใช้วิบากกรรมต่อไป เวลาอยากจะได้อะไรมากๆ จะไม่สนใจว่าบาปหรือไม่ ขอให้ได้มาก็แล้วกัน พอทำบาปแล้ววิบากกรรมก็ตามมา เกิดความทุกข์ใจ ถ้ามีธรรมะมีสัมมาทิฐิคอยดูสังขาร พอสังขารคิดไปทางโลภโกรธหลง ก็จะรู้ว่าไปทางนี้ไม่ได้ เพราะจะทำให้ใจทุกข์ ถ้าไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ใจจะสุข ถ้าใจถูกอวิชชาครอบงำใจจะไม่รู้ จะคิดว่าเวลาโลภจะมีความสุข ถึงโลภกัน คิดว่าถ้าได้เงินล้านมาจะมีความสุข ถ้าได้เลื่อนตำแหน่งจะมีความสุข แต่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วว่า สุขเดี๋ยวเดียว เป็นเหมือนยาขมเคลือบน้ำตาล พอความสุขละลายไปความทุกข์ก็ตามมา เพราะมันไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ มีเจริญมีเสื่อมนั่นเอง
 
เรื่องลาภยศสรรเสริญสุขนี่ ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นปุถุชนหรือพระอรหันต์ก็ต้องสัมผัสด้วยกันทุกคน แต่จะสัมผัสแบบไหนกัน ปุถุชนก็จะสัมผัสแบบหลง มีอุปาทานยึดติด อยากจะให้เจริญอย่างเดียว ไม่อยากให้เสื่อม ส่วนพระอรหันต์ก็จะสัมผัสแบบรู้ทัน ไม่ยึดติด ไม่ได้อยากให้เจริญอย่างเดียว เพราะรู้ว่าต้องเสื่อม จึงสัมผัสเฉยๆ สักแต่ว่ารู้ ได้อะไรมาก็รับรู้ไป ไม่ยินดีเวลาได้มา ไม่เสียใจเวลาเสื่อมไป แต่ปุถุชนนี้เวลาได้เลื่อนตำแหน่งก็จะดีอกดีใจ เมื่อวานนี้มีผู้จัดการธนาคารคนหนึ่ง เพิ่งได้รถใหม่มา ก็ดีอกดีใจ ขนาดพลาสติกที่ติดอยู่บนเบาะยังไม่ยอมฉีกทิ้งเลย เราก็เตือนว่าเป็นของชั่วคราวนะ เวลาตกงานก็ต้องคืนรถไป จะมีอะไรก็มีได้ แต่อย่าไปหลง แต่ปุถุชนมักจะไม่มองความเสื่อมกัน จะมองด้านเดียว จะมองด้านเจริญ ไม่คิดว่าเป็นของคู่กับความเสื่อม ความเสื่อมมาจากไหน ถ้าไม่ได้มาจากความเจริญ ไม่ได้มาจากศูนย์ ถ้าเป็นศูนย์ก็จะไม่เจริญจะไม่เสื่อม เช่นความว่างรอบตัวเรานี้ มีเจริญมีเสื่อมไหม มันก็ว่างอยู่อย่างนี้ เป็นศูนย์อยู่ตลอดเวลา
 
จึงต้องมีสัมมาทิฐิ ต้องสอนใจอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับความไม่มีตัวตน ความไม่มีเจ้าของในขันธ์ ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ร่างกายของพวกเราเป็นเหมือนกันหมด มาจากดินน้ำลมไฟ มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ไม่เป็นของใคร เป็นของดินน้ำลมไฟ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใจที่มาครอบครองก็ไม่ใช่เจ้าของ ใจเพียงอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือ เหมือนกับรถยนต์ คนขับใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือ พาไปตามสถานที่ต่างๆ ใช้ไปนานๆรถก็ต้องเสื่อม ก็ต้องซ่อม ซ่อมได้ก็ซ่อมไป ซ่อมไม่ไหวก็ต้องขายเป็นเศษเหล็กไป ร่างกายก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้ก็ต้องมอบให้สัปเหร่อไป ใจผู้ที่ใช้ร่างกายก็ไปต่อ ไปแบบอวิชชาหรือไปแบบปัญญา ไปแบบมิจฉาทิฐิหรือไปแบบสัมมาทิฐิ ถ้าอวิชชาพาไปก็ไปสู่ภพใหม่ชาติใหม่ เพราะยังอยาก ยังโลภ ยังอยากไปโน่นมานี่อยู่ ก็ต้องไปเกิดใหม่ ตามบุญบาปที่ได้สะสมได้สร้างไว้ ถ้าสร้างมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าสร้างเทพก็ไปเกิดเป็นเทพ ถ้าสร้างพรหมก็ไปเกิดเป็นพรหม  เช่นพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ๒ รูป ที่สร้างจิตของท่านให้เป็นพรหม เวลาตายไปก็ไปเป็นพรหม ที่ยังอยู่ภายใต้กฎของอนิจจังทุกขังอนัตตา คือมีวันสิ้นสุด จะค่อยๆเสื่อมลงมา กำลังของสมาธิที่ทำจิตให้ละเอียดจะลดลงไป ทำให้กิเลสส่วนหยาบมีกำลังทำให้จิตหยาบมากขึ้น ก็เลยต้องเสื่อมจากพรหมมาเป็นเทพ แล้วก็เสื่อมจากเทพมาเป็นมนุษย์ นี่คือการไปของจิตที่มีอวิชชามีตัณหาพาไป ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ของวัฏจักร ถ้าจิตเป็นเดรัจฉานก็จะได้ร่างกายของเดรัจฉาน ถ้าเป็นเปรตก็ต้องไปเป็นเปรต ถ้าเป็นนรกก็ต้องไปนรก เช่นพระเทวทัต ท่านทำจิตของท่านให้เป็นนรก พอตายไปก็ต้องไปตกนรก ถ้าทำจิตให้เป็นเดรัจฉาน ตายไปก็ไปเป็นเดรัจฉาน เช่นเศรษฐีท่านหนึ่ง มีเงินทองมากมาย แต่ไม่ยอมทำบุญ ไม่รักษาศีล เอาเงินไปฝังดินหมด ไม่บอกแม้แต่ลูกของตนว่าเอาไปฝังไว้ที่ไหน เพราะความหวง พอตายไปก็กลับมาเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตน แล้วก็พาลูกไปขุดสมบัติที่ตนฝังไว้
 
ทั้งหมดนี้อยู่ที่ความรู้หรือความหลงของจิต ถ้ารู้ก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากความทุกข์ ถ้าไม่รู้ก็จะต้องทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ ทุกข์กับคนนั้น ทุกข์กับคนนี้ พอเขาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็ทุกข์ไปกับเขา ทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยเลย ทำไมต้องทุกข์ด้วย ทุกข์แล้วทำให้เขาหายทุกข์หรือเปล่า เราแบ่งความทุกข์ของเขามาให้เราได้หรือเปล่า เขาอาจจะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้ามีปัญญาเขาจะไม่ทุกข์หรอก อย่างหลวงตานี่ ท่านทุกข์หรือเปล่า แล้วเราไปทุกข์ทำไม สงสารท่านทำไม ทำไมไม่สงสารตัวเราเอง พวกเราไม่ใช้ปัญญากัน เราไม่มีสัมมาทิฐิ ไม่พิจารณาอยู่เรื่อยๆว่า ไม่มีอะไรมีตัวมีตน เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เวลาภูเขาไฟระเบิด เวลาแผ่นดินถล่ม เวลาน้ำท่วมนี้ เราไม่ได้ทุกข์ด้วย แต่เวลาน้ำท่วมบ้านของเรานี้ เราก็ทุกข์ เพราะไปยึดติดว่าเป็นของเรา ความจริงมันเป็นของเราที่ไหน มันเป็นของดินน้ำลมไฟ บ้านก็มาจากดินน้ำลมไฟ สมบัติข้าวของต่างๆก็มาจากดินน้ำลมไฟ มันไม่เที่ยงทั้งนั้น มีการเปลี่ยนแปลง มีเกิดมีดับ มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา เป็นไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขังอนัตตา
 
ถ้าเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาตลอดเวลา ก็จะอยู่เหนือความทุกข์ ถ้าเผลอไม่เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ก็จะถูกอวิชชาฉุดให้ไปแบกกองทุกข์โดยไม่รู้ตัว นี่คือทุกข์ในอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อยู่ตรงนี้ ถ้าคิดด้วยปัญญาก็เป็นมรรค นิโรธก็ตามมา ถ้ามรรคไม่ทำงาน นิโรธก็หายไป  ทุกข์ก็จะโผล่ขึ้นมา  เวลามรรคไม่ทำงาน สมุทัยคือตัณหาก็จะทำแทน จะอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ ก็จะกระวนกระวาย กระสับกระส่าย วิตกกังวล เป็นห่วงเป็นใยแทนผู้อื่น ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยเหมือนเราเลย เขาสบายใจ ดูตามความจริง ร่างกายเป็นอย่างนี้ก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ใจจะเป็นอุเบกขากับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ได้เฉยเมย ถ้าดูแลรักษาได้ก็ทำไป ไม่มีอุปาทานไปยึดไปติด ถ้ารักษาไม่หายก็ยอมรับความจริง ถ้าจะตายก็ยอม แต่ใจจะเป็นอุเบกขาอยู่ตลอดเวลา
 
อุเบกขานี่ไม่ได้หมายความว่าให้อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย อุเบกขาคือให้ทำใจเป็นกลาง ไม่ดีใจไม่เสียใจ ไม่รักไม่ชัง ไม่โลภไม่โกรธ ไม่มีภวตัณหาวิภวตัณหา ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย กินอย่างเดียว เวลากินไม่อุเบกขา แต่เวลาทำนี่อุเบกขากัน เจออุเบกขาแบบนี้จะปวดหัว มีหน้าที่ต้องทำอะไร ถ้ายังทำได้ก็ทำไป  มีหน้าที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ดูแลรับผิดชอบชีวิตของตนเอง หรือของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยก็ทำไป จะได้มากได้น้อย ก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น เพราะมีความสามารถเท่านี้ แต่ใจก็เฉยๆ ไม่ดีใจไม่เสียใจ กับผลงานที่เกิดขึ้น ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ให้คิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่าในที่สุดชีวิตก็ต้องจบ ต้องเข้าไปอยู่ในโลง แต่พวกเรามักจะลืมว่าต้องเข้าโลงกัน ก็เลยต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตอนตายเสียอีก เวลาตายกลับสบายกว่า พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนพระอานนท์ ให้ระลึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจ เพื่อจะได้ไม่ลืมตอนจบของชีวิต ถ้ารู้ตอนจบก็ไม่ต้องต่อสู้กับใคร ใครอยากจะได้อะไรก็ให้เขาไป เมื่อเช้านี้มีคนมาฟ้อง ว่ามีคนจะมาแย่งแฟนเขาไป ก็เลยบอกเขาว่า ยกให้เขาไปเลย จะไปทุกข์ทำไม เพราะเราไม่สามารถไปสั่งให้เขาอยู่หรือไม่อยู่กับเรา เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาจะอยู่ต่อให้มาหว่านล้อมอย่างไรเขาก็จะไม่ไป ถ้าเขาจะไปก็ห้ามเขาไม่ได้ แล้วจะไปทุกข์ทำไม อยู่คนเดียวดีกว่า ไม่ต้องทุกข์กับใคร เดี๋ยวก็จบ ทำไมไม่คิดถึงตอนจบกัน กิเลสมันฉลาดมาก มันหลอกไม่ให้เราคิดถึงตอนจบ ไม่ให้คิดถึงความตายเลย เวลาคิดถึงความตาย ก็ว่าเป็นอัปมงคล คิดไม่ได้ ถ้าคิดแล้วเหมือนจะต้องตายทันทีเลย


 
 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา

 
ภาพประกอบจาก : วัดตลิ่งชัน



Create Date : 24 มีนาคม 2567
Last Update : 24 มีนาคม 2567 10:31:39 น. 20 comments
Counter : 410 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtoor36, คุณmultiple, คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณmcayenne94, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณtanjira, คุณทนายอ้วน, คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณThe Kop Civil, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณดอยสะเก็ด, คุณnonnoiGiwGiw, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณkatoy, คุณวลีลักษณา, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณฟ้าใสทะเลคราม, คุณkae+aoe, คุณร่มไม้เย็น


 
สาธุค่ะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:10:52:18 น.  

 
อริยสัจ ๔ จริงๆ เราก็เรียนรู้มานานตั้งแต่ประถมแล้วมั้ง แต่ไม่ค่อยได้เอามาคิดคำนึงถึงสักเท่าไหร่


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:11:15:03 น.  

 
ทุกสิ่ง ล้วนแต่ต้องคืนกลับสู่ธรรมชาติ
กลายเป็น ดินน้ำลมไฟ เหมือนเดิมนะครับ
ตอนนี้ อ.เต๊ะ ร่างกาย อวัยวะใช้งานมานาน
เริ่มจะต้องเริ่มซ่อม เปลี่ยนอะไหล่
เริ่มเปลี่ยนเลนส์ตาก่อน เป็นชิ้นแรก ชิ้นต่อไปยังไม่รู้เลยครับ 555



โดย: multiple วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:13:52:20 น.  

 
เห็นผิดนี่อันตรายจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:13:57:32 น.  

 
❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม 💙

💙 ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร

❤ การช่วยให้พ้นจากขุมนรก

💙 ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง

❤ การให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง

💙 สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม

❤ านภาพของสตรีในศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร?

💙 ครอบครัวในศาสนาอิสลาม

❤ ชาวมุสลิมปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

💙 ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร?


https://justpaste.it/b790p


โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 172.96.161.170 วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:15:54:41 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพระจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:17:01:29 น.  

 
สาธุค่ะ


โดย: mcayenne94 วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:17:16:32 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม

มาอ่านธรรมะ ข้อคิดดี ๆ เป็นการเติมเต็มและ
ย้ำเตือนตนเองให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จ้ะ
บล็อกนี้ ให้ความรู้เรื่อง มิจฉาทิฐิ ซึ่งเป็นตัว
อุปสรรคใหญ่ในการไม่ให้เข้าถึงการหลุดพ้น ต้อง
พยายามกำจัดออกจากจิตใจให้ได้ จ้ะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:17:19:17 น.  

 
สวัสดีค่ะ

สาธุธรรม ค่ะ


โดย: tanjira วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:18:16:28 น.  

 
สวัสดีครับคุณเอ็ม


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:20:07:46 น.  

 
สวัสดีครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:21:20:42 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:23:01:17 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:4:34:50 น.  

 
ขอบคุณนะค้าาา


โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:14:20:47 น.  

 
สาธุค่ะ



ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจด้วยนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:22:10:05 น.  

 


ขอบคุณมากค่ะคุณพี


โดย: Sweet_pills วันที่: 27 มีนาคม 2567 เวลา:0:28:00 น.  

 
แวะเข้ามาเยี่ยมค่ะ


โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 28 มีนาคม 2567 เวลา:12:01:52 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 28 มีนาคม 2567 เวลา:15:22:05 น.  

 

ใดๆ ล้วนไม่เที่ยงจริงๆ 🙏🏼
(เพราะตอนนี้บ่ายแล้ว🤣 .. ล้อเล่นนะคะ)


โดย: ฟ้าใสทะเลคราม วันที่: 30 มีนาคม 2567 เวลา:3:25:45 น.  

 
❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม 💙

💙 ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร

❤ การช่วยให้พ้นจากขุมนรก

💙 ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง

❤ การให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง

💙 สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม

❤ านภาพของสตรีในศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร?

💙 ครอบครัวในศาสนาอิสลาม

❤ ชาวมุสลิมปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

💙 ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร?


https://justpaste.it/b790p


โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 51.81.85.242 วันที่: 31 มีนาคม 2567 เวลา:15:45:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.