YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
..คำสารภาพ.. ด้วยรักจากเพื่อน

ปี 2011 และสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้น

คำสารภาพ

ก่อนจะข้ามเข้าสู่ปีใหม่ อาจจะดี ถ้าเราย้อนไปดูสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาก
หลายเรื่องราว สำคัญต่อเรามากๆ นะ โดยเฉพาะเรื่องราว “ระหว่างเรา”
“เรา” คือเรากับเพื่อน .. เอ่อ เพื่อนใหม่สินะ เธอเป็นเพื่อนใหม่จริงๆ
เรารู้จักกันครั้งแรกปลายปี 2010 แต่กว่าจะเริ่มเปิดปากคุยกันก็เข้าสู่ปี 2011 แล้ว

เม.ย. 2011
จากที่เธอเริ่มคิดจะจัด workshop ของเพื่อนชาวฝรั่งเศสของเธอ เพื่อจะดูว่าใครบ้างที่ชอบเต้นคอนเทมโพรารี่ในรูปแบบเดียวกับเธอบ้าง เธอเริ่มมาถามเราว่าสนใจมั้ย เราบอกสนใจมาก และช่วยเธอคิดเรื่องเวลาและสถานที่ ทำให้เราได้เริ่มคุยกัน และทำให้ชีวิตของเรามีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นมาอีกคน สวัสดีเพื่อนใหม่ :)

พ.ค. 2011
เธอชวนเราไปกินกาแฟ ไปนั่งเล่นที่ร้านประจำของเธอ แล้วเราก็ได้คุยกันมากขึ้น ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้อีกคนฟังมากขึ้น ถ้าเราไม่นั่งคุยกัน เราก็จะนั่งทำงานฟังเพลงของตัวเองไปเงียบๆ เราซ้อมงาน Studio Performance ร่วมกัน ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นทั้งตอนซ้อม และตอนพัก

มิ.ย.2011
เธอเริ่มซ้อมโซโล่ที่จะไปแข่งที่ญี่ปุ่น พร้อมกันนั้นเราก็เริ่มซ้อมงานที่จะไปแสดงที่มาเลเซียด้วยกันด้วย การทำงานเริ่มมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เธอกำลังเผชิญปัญหาบางอย่าง ซึ่งเรารู้และเข้าใจ เพราะก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่ เราต่างให้กำลังใจกันและกัน ฉุดกัน ให้สู้กันต่อไป

สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ก็คือความรู้สกว่า ทางเส้นที่เรากำลังเดินอยู่นี้มันมีอยู่จริง และเราก็ไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ไม่ได้สู้อยู่คนเดียว อย่างที่เคยรู้สึกมาตลอด มันคือข้อความที่เธอส่งมาให้เราผ่านทาง What's app ที่เธอเองก็อาจจะลืมไปแล้วว่า “ทางเส้นเดียวที่เรากำลังเดินอยู่นั้น ดีที่ไม่ได้เดินคนเดียว ดีที่มีแก” จำได้ว่าเราอ่านแล้วน้ำตาไหล เราอุ่นใจ และมั่นใจในสิ่งที่ทำมากขึ้น เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเชื่อมาก่อน รู้อยู่แก่ใจในตอนนั้นว่า แม้ทางเส้นนี้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย และต้องเจอกับปัญหา อุปสรรค และความยากลำบากมากมายเพียงไหนก็ตาม แต่เราจะไม่กลัวอีกต่อไป เพราะเรารู้แล้ว่า เราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว มีเพื่นออย่างเธอสู้อยู่ด้วย


ก.ค.2011
หลังจากที่เธอ เรา และน้องเก่ง เสร็จสิ้นการแสดง piece วัดใจที่มาเลเซียแล้ว เราก็เริ่มมั่นใจในกันและกันมากขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับการแสดงนั้น ที่ทำให้เราต้องมานั่งปรับเปลี่ยนท่าเต้นกันในวินาทีสุดท้าย ความไม่แม่น ไม่มั่นใจเกิดขึ้น ทำให้เราต้องอาศัยความเชื่อมั่น และความเชื่อใจในตัวเพื่อนที่เต้นกับเราเท่านั้น มันคือการวัดใจ การอ่านใจ และการรู้ใจกันจริงๆ

หลังจากนั้นเราเริ่มกล้าเรียกเธอว่า “เพื่อนสนิท” ถึงตอนนี้ เพื่อนๆ จะเห็นเราสองคนอยู่กันตลอด เรากลายเป็นบัดดี้ อาจจะเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน เราเลยกลับด้วยกันตลอด ถึงจะเลิกไม่พร้อมกัน แต่เราก็มักจะนั่งรอเพื่อนเราเสมอถ้าเราไม่ได้มีธุระไปที่ไหน บางวันเรามีสอนตอนเย็น เราก็ยังมานั่งร้านกาแฟด้วยกัน ไปเทวาลัยด้วยกันในตอนกลางคืน

แล้วเราก็เริ่มทำอะไรบ้าๆ บอๆ ด้วยกันมากขึ้น จากแค่ไปโหนห้อยยกขาตีลังกาบนรถไฟฟ้าเมื่อเดือนก่อน มาตอนนี้ เราไปขี่เป็ดเล่นกันที่สยามเซ็นเตอร์ ไปเต้น improvise กันที่สะพานลอยสยาม เราไปเที่ยวบ้านเธอที่นครปฐม ไปเต้นด้วยกันที่นั่น คิด project จะแสดงที่ร้านกาแฟที่นครปฐม แล้วเรายังไปใช้พื้นที่หอศิลป์กรุงเทพด้านล่างเป็นสถานที่ซ้อมอย่างไม่อายผู้อายคน

เราคุยกันมากขึ้น คุยกันเรื่องความฝัน เรื่องอนาคต เรื่องการไปใช้ชีวิตอย่างเป็นนักเต้นจริงๆ จังๆ ที่ต่างประเทศ ที่ที่คนเขาจะมองเราอย่างให้เกียรติ และให้การยอมรับในความสามารถ ที่ที่เราจะสามารถมีตัวตนและเรียกตัวเองว่านักเต้นได้อย่างภูมิใจ เดือนนี้เองที่เรากับเธอตัดสินใจเข้าไปคุยกับเซนเซ และกลับออกมาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เหมือนตกจากที่สูง ไม่เจ็บ แต่จุกไปด้วยความผิดหวังบางอย่าง แต่กระนั้น เราก็ยังยืนหยัดที่จะเชื่อในสิ่งที่เรารัก

เรารอคอยการมาถึงของพี่ปิ๊กและ Nath นักเต้นจากเนเธอร์แลนด์ เรามีความสุขกับการเต้นใน piece ของพวกเขา เราได้คุยกับพวกเขา มองไปถึงเส้นทางข้างหน้าในอนาคต เขาถามเธอ “Why audition for school? Your standard is in the company level.” เราบอกเธอว่ายินดีด้วยนะ ได้เวลาเติบโตแล้วสินะ ไปเมืองนอกได้แล้ว เธอถามเราว่า แล้วเราล่ะ ไม่ไปเหรอ เราบอกเธอไป ไม่รู้สิ เราอาจจะยังเก่งไม่พอ อาจจะยังไปไม่ได้ ประโยคนั้นเราจำได้แม่นที่เธอบอกเรา “ได้ที่ไหน ก็ไปด้วยกันนี่แหละ มากันซะขนาดนี้แล้ว” แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ได้เจอกับ audition call ของ arts fission คณะเต้นที่สิงคโปร์โดยบังเอิญ

Charity Performance for Japan ก็เกิดขึ้นในเดือนนี้ด้วย การซ้อมเป็นไปหนักมาก จนร่างกายเธอทนไม่ไหว ภาพที่เธอเป็นตะคริวไปทั้งตัวยังติดตาเราอยู่ เราเองก็ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน หามเธอออกไปข้างนอกห้องกับพี่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทุลักทุเลพอสมควรเพราะความตกใจ เธอชัก หายใจไม่ออก เป็นตะคริว ร้องไห้ ปากก็บอกว่าขอโทษๆ (ขอโทษอะไรก็ไม่รู้) พวกเราห้าหกคนช่วยกันแก้ไขอาการของเธอ ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ บอกให้เธอหายใจ เช็ดน้ำตาให้เธอ เอามือวางไว้บนหน้าอกเธอเพื่อจูนอัตราการเต้นหัวใจของเธอกับชีพจรในฝ่ามือ ช่วยกันนวดแขนขาเธอที่เป็นตะคริวอยู่ให้ผ่อนคลายลง มันมาเป็นระลอกๆ มันมาที เธอก็บิดไปทั้งตัวที จากถี่ๆ ก็ค่อยๆ ห่างไป อาการเธอค่อยๆ ดีขึ้น ราวๆ ครึ่งชั่วโมงเธอก็หลับไป เราอยู่ตรงนั้น ข้างๆ เธอตลอด เป็นห่วงมากๆ เป็นห่วงเธอมากๆ จริงๆ คืนนั้นเราไม่กลับบ้าน แต่ไปนอนบ้านเพื่อนแถวๆ นั้น ภาพเธอยังติดตา ได้แต่ภาวนาขอให้ร่างกายเธอฟื้นตัวให้เร็วที่สุด

ส.ค.2011
เดือนสำคัญของเธอ เธอคว้ารางวัลจากญี่ปุ่นมาได้ คุ้มความเหนื่อยจริงๆ เรายินดีกับเธอจนน้ำตาไหลไปสามวัน ปนกับความรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ เพราะรางวัลนี้คงจะดึงเธอให้ก้าวไปข้างหน้า เราคงตามเธอไม่ทัน มันคงเหงาน่าดู แต่นั่นมันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เราหยุดไม่ได้ เราหยุดไม่ได้จริงๆ ต้องวิ่งต่อไป เพราะเราไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วในที่สุด เราก็อัด VDO Solo 2 นาทีเพื่อส่งออดิชั่นเสร็จ แล้วก็ส่งลิงค์นั้นมาให้ที่ arts fission ที่สิงคโปร์ ขอบคุณเธอจริงๆ สำหรับความช่วยเหลือ สำหรับแรงผลักดัน สำหรับเวลาที่เธออุตส่าห์มาช่วยอัดวิดีโอให้เรา และสำหรับคำแนะนำทุกๆ อย่างที่มีค่ามากๆ

เดือนนี้ project ร้านกาแฟเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เริ่มขยายเป็น project ที่ใหญ่ขึ้น น่าสนใจและมีเนื้อหาแน่นขึ้น แม้ว่าที่สุดแล้ว project นี้จะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำท่วม หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็ดีใจมากๆ ที่เธอไว้ใจเลือกเรามาร่วมงานกับเธอ และได้มีโอกาสเต้นกับเธอ

ก.ย.2011
ในที่สุดเราก็ออดิชั่นผ่าน เราได้งานทำแล้วที่สิงคโปร์ ที่คณะ arts fission เป็นนักเต้นอย่างที่เราไม่เคยกล้าฝันมาก่อนเลยก่อนหน้าที่จะเจอกับเธอ เราตื่นเต้นจนต้องโรมมิ่งต่อเน็ตมาบอกเธอในวินาทีนั้น แล้วทั้งเดือนนั้นเราก็สวดมนต์ขอพรทุกวัน (เราไปเทวาลัยทุกวัน) อธิษฐานต่อทวยเทพ ขอให้เธอได้มาด้วยกัน ทั้งที่ในใจก็เชื่ออยู่แล้วว่าเธอต้องออดิชั่นผ่านแน่ๆ แต่เราก็ยังภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องอะไรผิดพลาดเลย เราลุ้นยิ่งกว่าตอนตัวเองสอบเอ็นทรานซ์เสียอีก และแล้วในที่สุดก็ได้ มันเป็นปาฏิหาริย์ที่เรากับเธอได้มาด้วยกัน ได้เต้นด้วยกัน ได้ทำงานที่เดียวกัน มันเหมือนฝันมากๆ

ต.ค.2011
น้ำเริ่มท่วม เธอหายไปจากสตูดิโอเนื่องจากเข้าออกกรุงเทพฯ ลำบาก วันนั้นเราไปนั่งเย็บเสื้อชูชีพอยู่แถวๆ รถไฟฟ้าอารีย์ แล้วก็คุยกับเธอทาง LINE ไปด้วย คุยกันถึงเรื่องมาอยู่สิงคโปร์ คุยเล่นๆ ว่าใครจะเบื่อใครก่อน เจอหน้ากันทุกวันอย่างนี้ เธอบอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจเธอ มีปัญหาอะไรขอให้บอก เพราะอยู่ใกล้กันมาก ทะเลาะกันได้ง่ายๆ เราก็รับปากเธอ เพราะสิ่งที่เรากลัวที่สุดในชีวิตก็คือ ต้องทะเลาะกับเธอและอาจจะต้องเสียเพื่อนที่ดีมากๆ อย่างเธอไป

เดือนนี้เราฉวยโอกาสตอนรัฐบาลประกาศหยุดหนีไปเที่ยวทะเลกัน มีเรา เธอ กับเพื่อนอีกสี่คน (รวมถึงแฟนเธอด้วยสินะ) เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ที่ชีวิตนี้ เราไม่มีวันลืมเลย และคืนนั้นที่ชายหาด ที่เธอปลีกตัวจากแฟนเธอมานั่งคุยกับเรา เธอบอกว่าเธอกลัวเราน้อยใจที่เธออยู่กับน้องเขา ที่เธออยากมาทะเลก็เป็นเพราะอยากมากับเพื่อน อยากมากับเรา เธอรู้จักเรา และดูเราออกว่าเราแอบน้อยใจ เธอยังย้ำคำเดิม มีอะไรขอให้คุย ให้บอกเธอ ด่าเธอได้ อย่าเก็บไว้ เธอบอกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดใน trip นี้ สำหรับเธอแล้ว มันก็คือช่วงเวลาที่ทุกคนหลับ แล้วเรากับเธอต่างนั่งทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ ที่โต๊ะอาหารแล้วเปิดเพลงฟัง ไม่ได้คุยอะไรกัน ตามสไตล์ของเรา สิ่งที่เราไม่เคยบอกเธอก็คือ ช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น ก็เป็นช่วงเวลาที่เราชอบที่สุดเช่นกัน

พ.ย.2011
ใกล้เดินทางเต็มที เธออยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดครอบครัวก่อนจะเดินทาง และเธอเองก็คงจะเร่งจัดการกับ space ส่วนตัวของเธอเอง เธอจึง what's app คุยกับเราเสียยาวเหยียด เธอบอกว่าเธอเหนื่อย เธอกำลังรู้สึกถึงชีวิตของตัวเองอยู่ เหมือนที่เรากำลังรู้สึกเหมือนกัน เธอบอกว่าอาจจะเป็นเธอเองที่ทำให้ชีวิตเรามันวุ่นวาย พูดง่ายๆ ว่าเราติดเธอนั่นเอง ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกตัวว่า เราคงใกล้เธอมากจนเกินไปแล้ว จนเธออึดอัดและอยากได้พื้นที่ของตัวเองคืน เราเข้าใจเธอเพราะเราก็เป็นคนที่มี personal space เช่นกัน เพียงแต่กับเธอแล้ว เราเปิดให้เธอเข้ามา share พื้นที่ใน personal space ของเราอย่างเต็มใจ เราไม่อยากให้เธออึดอัดที่จะอยู่กับเรา เราก็เลยพยายามที่จะจัดปรับที่ทางของตัวเองในชีวิตเธอเสียใหม่ พยายามปรับตัว และจัดการกับตัวเอง

ก่อนเดินทาง เซนเซพาเรากับเธอไปเลี้ยง เป็นครั้งแรกที่เราเจอหน้าเธอหลังจากที่เธอหายตัวกลับบ้านไปสองสามอาทิตย์ เราสารภาพว่าเรามองหน้าเธอไม่ติด จนมาถึงวันเดินทาง เราก็ยังจัดการกับ space ของตัวเองไม่ถูก แต่เราไม่กล้าบอกเธอ กลัวเธอหาว่าเราบ้า

ธ.ค.2011
เราเก็บความไม่สบายใจเอาไว้เรื่อยจนมันมาระเบิดเอาวันที่เราตัดสินใจเข้าไปคุยกับเธอในห้องนั่นแหละ เราบอกเธอว่าเราคิดถึงเธอ เรารู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไป โลกส่วนตัวของเธอมันสูงเสียจนเราไม่กล้าเข้าใกล้ เราคุยกันไม่นานเพื่อนร่วมบ้านก็กลับเข้ามา เราก็กลับเข้าห้องของตัวเอง “ขอโทษที่เราเป็นเพื่อนอย่างที่เธอต้องการไม่ได้” คือข้อความที่เธอส่งมาใน what's app ที่ทำเราเจ็บไปเป็นอาทิตย์เพราะมันหมายความว่า เราเองก็เป็นเพื่อนอย่างที่เธอต้องการไม่ได้เช่นกัน เราไม่รู้ว่าในวันนั้นเราได้ทำมิตรภาพของเราแตกหักเสียหายไปรึเปล่า เราเสียดายที่เธอเคยบอกเราว่า อยู่กับเราแล้วสบายใจ เราไม่อยากให้เธอเสียความรู้สึกนั้นไป เราเสียดายมากๆ จริงๆ

เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในปีที่กำลังจะกลายเป็นปีเก่านั้น ก็คือการได้คุย ได้ทำความรู้จัก และได้มีเธอเป็นเพื่อน สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอช่วยถีบให้เรากล้าในสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำ ถ้าเธอไม่โหนห้อยเป็นลิงไต่ BTS ในคืนนั้น เราก็คงจะไม่กล้าไปเต้นบนสะพานลอยที่สยามหรอก

เรายังอยากยิ้ม อยากนั่งด้วย อยากหัวเราะกับเธอได้อย่างสบายอกสบายใจเหมือนอย่างที่เคย แม้เธอจะบอกว่าเรามาทำงานนะ จะมาเล่นสนุกกันเหมือนแต่ก่อนไม่ได้หรอก เรารู้ว่าเรากำลังโดยเธอด่า แต่เราเชื่อว่ามิตรภาพมีหนทางและรูปแบบของมัน ต้องค่อยๆ ปรับให้มันลงตัว มาทำงาน ใช่ว่าจะต้องเลิกเป็นเพื่อนกัน เราแค่ยังหาจุดที่ลงตัวไม่ได้ หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างเราคงทำพลาดไป เพราะเราอาจจะสนิทกันเร็วไป เราอาจจะยังรู้จักกันไม่มากพอ เราไม่แน่ใจว่า จากวันนี้ เธอจะยังเปิดโอกาสให้มิตรภาพของเรามันเยียวยาตัวมันเองหรือเปล่า ถ้าเราเปิดปากพูดกับเธอ เธอก็คงบอกว่าเราคิดมากอีก แต่เราเชื่อว่าในฐานะที่เราเป็นผู้หญิง (จริงๆ) เราคงจะละเอียดอ่อนและรู้สึกถึงมันได้เร็วกว่าและได้มากกว่าเธอ เราไม่อยากให้ทุกอย่างสายเกินแก้ ข้อความจาก What's app ที่เธอส่งบอกเราตั้งแต่เมื่อแรกเริ่มรู้จักว่า “I feel the good friendship between us na” มันยังมีความหมายกับเรามากนะ เรายังอยากเห็นมันเติบโตต่อไป และก็หวังว่าเธอก็ยังอยากเห็นมันเติบโตต่อไปด้วยกันกัน

แต่ยังไง ก็ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดปีนะ

จากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งรักเธอมาก




Create Date : 29 ธันวาคม 2554
Last Update : 29 ธันวาคม 2554 5:48:04 น. 4 comments
Counter : 1358 Pageviews.

 
สวัสดีครับน้องเสี้ยว

ช่วงนี้พี่ก๋าชอบฟังเพลงหนึ่งมากๆเลย
ตอนแรกก็ไม่รู้ควาหมมายของเพลงหรอกนะครับ
แบบว่าภาษาอังกฤษพี่ก๋าย่ำแย่มากเลยครับ 555

แต่พอลองเสิร์ชหาคำแปล
แล้วนั่งอ่าน ---
เช้านั้นพี่ก๋าได้คิดอะไรเยอะเลย
เพลงนั้นคือเพลง Don't Look Back in Anger

ลิ้งค์นี้น่ะครับ พี่ก๋าฟังซะหลายรอบเลยในช่วงนี้


//www.youtube.com/watch?v=sEnP_rjlEvY


อ่านบล็อกน้องเสี้ยวจบ
พี่ก๋าก็นึกถึงเพลงนี้เลยครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:7:24:17 น.  

 
ปล. หนังสือของน้องเสี้ยว
พี่ก๋าจะเอามาอ่านแล้วล่ะครับ

จะลัดคิวเล่มอื่นที่รออ่านอยู่เลยครับ 555






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:7:28:39 น.  

 


โดย: ลุงแว่น วันที่: 30 ธันวาคม 2554 เวลา:9:12:23 น.  

 


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มกราคม 2555 เวลา:6:25:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.