เมื่อถึงเวลา
เมื่อมันมาถึงเวลา ชีวิตก็ต้องการการเปลี่ยนแปลง ถึงวันนี้หยุดเล่น facebook แล้ว เหตุผล คือ ไม่อยากเห็นอะไรๆ ในนั้น คือจะไม่ดูก็ได้ แต่ถ้ายังใช้อยู่ มันก็อยากดู ซึ่งมันก็ดีนะ เพิ่งรู้ตัวว่าเราสร้างนิสัย facebook คือ คิดอะไรอยู่ในหัวก็อัพเดทสเตตัสเดี๋ยวนั้น เจออะไรมาก็ .. เริ่มแต่งประโยค เดี๋ยวจะอัพอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้แรงดันที่มันเคยมี เคยสะสมมาอัพบล็อกมันก็เลยหายไป เพราะมันรั่วหายไปในเฟสบุ๊คซะหมด พอหมดวันมันก็ไม่เหลืออะไรจะเขียนลง blog ละ แถมยังคาดหวังอีกนะ หวังว่าเดี๋ยวคนนั้นคนนี้จะต้องมากด like พอไม่เป็นอย่างหวังก็ไปงอนเขาอีก ไม่สนใจกันเลยใช่ไหม หรือว่า hide เราไปแล้ว คงรำคาญเรามากสินะ แอบไปคิดมากคิดมาย จนชีวิตปั่นป่วนไปหมด ทำใจอยู่นานเหมือนกันนะ เรื่อง facebook เนี่ย กลัวว่าหยุดเล่นแล้วจะเหงา จะไม่มีอะไรทำ (ซึ่งก็จริงในบางแว่บ) แต่พอหยุดเข้าจริงๆ แล้ว โอโห.. ชีวิตมันเบาขึ้นเยอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องงี่เง่า ชวนให้คิดมากหลายเรื่อง และเพิ่งจะรู้สึกว่า เราทิ้งสิ่งที่ควรทำไปหลายอย่างเลย หนึ่งในนั้นก็คือ bloggang นี่แหละ
จริงๆ ที่หายไปมันก็มีเหตุผลหลายอย่างนะ เหตุผลอย่างหนึ่งคือ blog นี้เคยได้ลงในนิตยสารเล่มหนึ่ง ว่าเป็น blog เกี่ยวกับโยคะ และประสบการณ์ในอินเดีย ก็เลยทำให้ไม่ค่อยกล้าจะเขียนอะไรอย่างที่เคยเขียนสักเท่าไหร่ แต่มันก็ผ่านมาสักระยะแล้วล่ะ คงไม่ค่อยมีใครเข้ามาแล้วมั้ง ขอพื้นที่ (เหมือนจะ) ส่วนตัวตรงนี้คืนมาแล้วกัน บอกตรงๆ ว่าคิดถึง
มาก
เมื่อกี้พูดถึงเรื่องอะไรอยู่นะ .. อ๋อ การเปลี่ยนแปลง เอาล่ะ เปลี่ยนเรื่องแรก เรื่อง facebook เรื่องที่สอง คงจะเป็นเรื่องความรู้สึกของเราเองนี่แหละ มันเริ่มมาจากความสมเพชตัวเองสินะ น่าสมเพชเวทนาที่สุด อีกแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เราเอาความพิเศษของเราไปฝากไว้ที่คนอื่น ชีวิตที่ฝากไว้ที่คนอื่นมากจนเกินไป ด้วยรักจึงหลงยึดติด จนลืมตัวของตัวเองไป
ไม่ใช่อกหัก แค่ผิดหวังนิดหน่อย ไม่สิ, มากๆ เลย ไม่ได้เกิดจากคนรัก แต่เกิดจากความรัก
รักมาก ทุ่มเทมาก จนลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้าจะรู้จักกันนั้นเราเคยมีชีวิตอยู่ยังไง เราเคยทำอะไรมาก่อน เราเคยอยู่กับใคร สนิทกับใคร หลังๆ มานี้เราอยู่ใกล้เขา เห็นเขาสำคัญ หลงคิดไปเองว่าเราเองก็สำคัญกับเขาเช่นกัน เรายอมทิ้งทุกอย่าง เพราะเห็นว่าเขาคือทุกอย่างของเราจริงๆ
แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกสมเพชตัวเอง เมื่อนั้นก็เป็นสัญญาณบอกแล้วว่า มันถึงเวลาที่ความรู้สึกจะต้องกลับบ้านสักที กลับมาหาตัวเอง กลับมาดูว่าตัวเองคือใคร เคยเป็นใคร เคยทำอะไร เคยเห็นสิ่งใดสำคัญ
พอแล้ว จะไม่คิดมาก จะรู้สึกให้น้อย จะไม่มีความคาดหวังใดๆ จะไม่มีการโหยหาถึงวันเวลาเก่าๆ อีกต่อไป เพราะเมื่อมันถึงเวลา ชีวิตมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง
ความรักอาจทำให้ผืนใจกระด้างชุ่มชื้นอ่อนนุ่มลง แต่ถ้ามากไปก็เละเลอะกลายเป็นโคลนตม รอ ... รอจนน้ำระเหยหาย ความเละเหลวจะจางไป ผืนดินจะกลับเข้มแข็ง และเราจะเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
มันน่าเศร้าที่ต้องรักให้น้อยลง แต่ก็แค่ทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนแปลง
..เมื่อถึงเวลา..
Create Date : 23 ธันวาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 23 ธันวาคม 2554 5:52:17 น. |
Counter : 1299 Pageviews. |
|
|
|
เพราะเฟซบุ๊คเอาไว้ลงรูปซะเป็นส่วนใหญ่
ชอบตรงลงรูปง่ายดีครับน้องเสี้ยว
ไม่ต้องย่อรูป ย่อไฟล์ แชร์รูปกันก็ง่ายดี
แต่ที่สุดแล้ว
ถ้าเขียนเรื่องราวจริงจัง
พูดคุยแบบออกรสออกชาติกับเพื่อนๆ
ก็ต้องบล็อกเท่านั้นครับ
พี่ก๋าเคยเขียนสเตตัสทุกเช้าเลยครับ
ประมาณว่ามีคำคมมาแบ่งปัน
แต่เขียนได้สักพักชักไม่สนุก
อะไรจะมาคมได้ทุกเช้า
ที่สุดก็ค่อยๆหยุดๆเขียนไปครับ 555
แปลกดีครับ
วันก่อนพี่ก๋าเพิ่งค้นรูปจากทริปอินเดียมานั่งดูอีกรอบ
เลือกบางภาพมานั่งทำ
หลายภาพก็เป็นภาพขอทานนั่นล่ะครับ
นึกได้ว่าตอนไปอินเดีย
มีหลายครั้งทีเ่ห็นภาพชีวิตตรงหน้า
แต่ไม่ไ่ด้นึกสมเพชเวทนา หรือสงสารชีวิตเขาเลย
กลับชื่นชมขอทานเหล่านั้นด้วยซ้ำว่า
ขนาดชีวิตเขาเป็นแบบนี้เขายังสู้ ไม่คิดท้อหรือฆ่าตัวตายเลย
ตอนที่พี่ก๋าพูดในรถบัสกับคณะเพื่อนร่วมทางว่า
"ผมคิดว่าขอทานเหล่านั้นเป็นครูสอนผม
สอนให้ผมรู้ว่าเรามีมากเกินไป และไม่ไ่ด้ขาดแคลนอะไรเลย"
พี่ก๋าแอบเห็นบางท่านในคณะน้ำตาซึม
เพราะท่านที่มีตำแหน่งใหญ่โตในคณะทัวร์ชุดนี้
กำลังเพิ่งผิดหวังกับบางสิ่งที่ตัวเองไม่ไ่ด้รับ
พอพี่ก๋ายกตัวอย่างเรื่องขอทานขึ้นมา
เหมือนเขาเลยนึกขึ้นได้ว่าที่เขามีอยู่
มันมากมายกว่าชีวิตอีกหลายชีวิตบนโลกนี้เหลือเกิน
พี่ก๋าจึงมักเชยร์เสมอ
หากใครคิดอยากไปอินเดีย
ว่าไปเถอะ ไปดูชีวิตคนที่นั่นบ้าง
แล้วเราจะรู้ว่าตัวเราน่ะ
เป็นสิ่งพิเศษที่เกิดมาบนโลกนี้
เรามีความน่ารัก เรามีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
เพียงแต่บางขณะเราไม่ค่อยได้ทันมองเห็น "ตัวเอง" อย่างที่เป็นจริงๆเท่านั้นเอง