YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
นู่น นี่ นั่น ชีวิต ณ แห่งนี้

1.
..ฝัน..

มันไม่สามารถเดินในอัตราที่เร็วกว่า 3 ก้าวต่อ 2 วินาทีได้เลย
กว่าจะมาถึงสุดสัปดาห์ มันหมดแรงแบบหมดไปเลยจริงๆ

แต่ถามว่ามีความสุขไหม เอาเป็นว่า … ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรดีกว่า
มีล้า มีท้อ แต่ไม่ได้ทุกข์ ยิ่งกดดันยิ่งท้าทาย
เหนื่อยไหม ก็เหนื่อยมาก แต่ยิ่งเหนื่อยยิ่งอยากทำ
ตราบใดที่ความเหนื่อยยังอยู่แค่กาย ไม่ใช่ใจ
ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่นอนให้อิ่ม ตื่นมาก็หายเหนื่อย
เป็นความเหนื่อยที่เราเป็นสุขที่จะอยู่กับมัน
เพราะมันทำให้ชีวิตเรามีความหมาย

แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ กว่าจะมายืนตรงนี้
ยังจำได้ … เลือดตาแทบกระเด็น
กว่าจะรู้ว่าเราชอบอะไร กว่าจะกล้ายืนยันในสิ่งที่ตัวเองรัก
และกว่าจะกล้า “เชื่อ” ในหนทางของตัวเอง
ใช้เวลาและความบ้าบิ่นไม่น้อยเลยจริงๆ

ความไม่เชื่อ ทำให้คิดว่า มันไม่ใช่
ไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ เราจึงไม่ปล่อยให้มันเป็นไป
และพยายามไปเดินบนเส้นทางของคนอื่นที่มันเป็นไปได้สำหรับเขา
แล้วเราก็คิดว่ามันเป็นไปได้สำหรับเราเหมือนกัน
ใส่แว่นของคนอื่นมองชีวิตของเรา ชีวิตจึงบิดเบี้ยวไปอยู่หลายปี

แล้วสุดท้ายก็กลับมาที่เก่า กลับมาที่ตัวเราเอง
หลังจากพยายามเดินบนถนนแห่งความคาดหวังของผู้คนอยู่นาน
จนถึงวันที่แรงเร้าภายในระเบิดออก จึงเลิกปฏิเสธตัวเอง
เลิกกลัวที่จะเชื่อเสียงเรียกร้องข้างใน
และเสี่ยงที่เชื่อ .. เชื่ออย่างจริงจังสักครั้ง
เชื่อว่า .. มันเป็นไปได้จริงๆ

เกิดมาชีวิตหนึ่ง หากไม่เสี่ยง .. ชีวิตคงไม่ไปไหนสักที
แล้วความเสี่ยงนั้น มันก็พาชีวิตเราก้าวมาถึงตรงนี้

ชีวิตนี้มาไกลเกินฝันมากทีเดียว
แต่ตอนนี้เราต้องฝันให้ไกลกว่าจุดนี้
เพราะเมื่อความเป็นจริงไล่ทันความฝัน
มีทางเดียว คือต้องฝันให้ไกลกว่าเดิม


2.
..คร่าวๆ..

ใช่, ไม่เร็วไปกว่าอัตรา 3 ก้าวต่อ 2 วินาทีจริงๆ
จำได้ว่าก่อนจะรับงานนี้ ไปดูไพ่ทาโร่ต์มา
น้องคนที่ดูให้ถามว่าเราทำงานอะไร ทำไมไพ่ออกมาดูเป็นงานหนักหนามาก
เหมือนพวกใช้แรงงานแบกหาม งานก่อสร้างประมาณนั้นเลย
เราหัวเราะบอกเขาไปว่า .. ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง

ชีวิตของเราที่นี่เริ่มต้นราวๆ 8.00 แต่งตัว กินอะไรนิดหน่อย
แล้วออกจากบ้าน เพื่อไปทำงานให้ทัน 10.15
นั่งMRT ไป ซึ่งยงใยยุ่บยั่บกว่าน้อง BTS เยอะ
มาแรกๆ ก็งงๆ สายสีม่วงสีแดงสีเขียวสีเหลืองอะไรก็ไม่รู้
ลงจาก MRT ก็เดินชมนกชมไม้ขึ้นเนินเขาเพื่อไปที่สตูดิโอ
ชมนกชมไม้จริงๆ นะ เพราะไม่ต้องระวังขี้หมา ไม่ต้องกลัวตกหลุม
แล้วต้นไม้ที่นี่ก็สวยมาก ต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น ดูแล้วมีการวางผังเมืองมาอย่างดี
เฟิร์นสวยๆ ขึ้นอยู่ตามรายทางสวยจริงๆ สาวกเฟิร์นอย่างเราเพลินไปเลย

พอ 10.30 ก็เริ่มทำคลาสเพื่อพัฒนาฝีมือ จนถึงเที่ยงๆ
เวลาแบบเดียวกับที่เราเข้าคลาสบัลเล่ต์ที่เมืองไทยเป๊ะเลย
หลังพักเที่ยงก็ซ้อมการแสดงต่อจนถึงห้าโมงกว่าๆ
แล้วก็เลิกงาน สลบ กลับบ้าน อ๋อยยย!
ช่างแสนเหนื่อย แต่เป็นความเหนื่อยที่รู้้สึกว่าทำให้ชีวิตคุ้มค่าจริงๆ
เดือนกุมภาพันธ์ต้องเริ่มสอน creative dance ให้เด็กๆ ด้วย
ตอนนี้ยังไม่เริ่มก็เหนื่อยแทบจะดิ้นไม่ไหวแล้ว
the worse yet to come พี่สาวคนหนึ่งบอกไว้
ไม่เป็นไร พร้อมรับมืออยู่แล้วน่า อะไรก็มาเถอะ รับไหว


3.
..หัวเราะ คือ โรคติดต่อที่อาจถึงแก่ชีวิตได้..

เมื่อวันที่ 23 ที่คอมพานีพาไปเลี้ยงคริสต์มาส
เป็นวันที่เราเกิดความเชื่อขึ้นมาว่า คนเราสามารถหัวเราะจนตายได้จริงๆ
คือเรากับเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ .. มันเป็นโต๊ะยาวๆ ที่ทำให้เราหลุดวงได้ง่ายๆ
มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทั้งโต๊ะหัวเราะกันแล้วเราไม่รู้เรื่อง ก็เลยมองหน้ากัน
เราถามขึ้นมาว่า เขาคุยอะไรกันอยู่น่ะ
เธอก็พยายามเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หันมาบอกเรา
อ๋อ .. เขากำลังคุยกันเรื่องบางสิ่งบางอย่างอยู่นะ
(Ah, I know, they are talking about something.)
เราก็ขำ เพราะเออ .. กูรู้แล้วว่าเขาคุยกันเรื่อง something อยู่น่ะแหละ
ไอ้ทั้งโต๊ะก็นั่งคุยกันนั่งหัวเราะกันต่อ แล้วเราก็ผสมโรงหัวเราะไปด้วย
โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องสักนิดว่าเขาขำอะไรกัน เธอก็นั่งขำตัวเองพอๆ กัน
แล้วคนในโต๊ะก็หันมาหัวเราะกะเรา สบตาเราสองคนทำนองว่าใช่มั้ยๆ
ใช่มั้ยเรื่องอะไรวะเนี่ย กูไม่รู้เรื่อง แต่กูขำ ขำเพราะไม่รู้เรื่องเนี่ยแหละ
แล้วทั้งโต๊ะก็เข้าใจว่าเราสองคนขำเรื่องเดียวกัน
การหัวเราะเป็นโรคติดต่อจริงๆ นะ ตอนนั้น
ด้วยเบียร์ที่กินไป กับบรรยากาศตอนนั้น เราหยุดไม่ได้จริงๆ
หัวเราะจนปวดกล้ามพุง เพราะเพิ่ง sit up ไปเป็นร้อย
หัวเราะจนทรมาน หายใจไม่ออก น้ำตาจะไหล ปวดพุงก็ปวด
ลองนึกถึงบรรยากาศตอนนั้นยังนั่งขำอยู่เลยเนี่ย
เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน แล้วเราก็ขำตัวเองที่นั่งหัวเราะ
โดยที่ไม่รู้ว่าหัวเราะเรื่องอะไร เออ มันเหมือนคนบ้าวุ้ย
พอทั้งโต๊ะหัวเราะเสร็จ เรากับเพื่อนคนนี้ยังหยุดตัวเองไม่ได้เลย
ถ้าคนในโต๊ะเขาหันมาถามว่าขำอะไร เพราะเขาขำกันเสร็จหมดแล้ว
เราคงได้แต่ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าขำเรื่องอะไร
แล้วก็เลยนั่งขำตัวเองอยู่เนี่ย ที่ไม่รู้นั่งขำบ้าอะไรอยู่
อ่านแล้วไม่รู้เรื่องใช่่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร
สงสัยกรูจามาววว
เอิ้ก!!!


4.
..duet..

energy flow ระหว่างคู่เต้นสำคัญมากจริงๆ
การเต้นคอนเทมโพรารี่แดนซ์ หลายครั้งไม่มีจังหวะกำหนด
นักเต้นต้อง feel กันเอง ต้องหายใจพร้อมกัน
ต้องให้ energy flow ไปทางเดียวกัน
ในคอมพานีมีสมาชิกคนหนึ่งมาจากมาเลเซีย เป็นคนแปลกๆ
เราพยายามจะไม่มีอคติกะใครแล้วนะแต่เราไม่ชอบคนคนนี้จริงๆ
ซวยที่เราต้องเต้นคู่กับเขาอยู่ช่วงหนึ่งของการแสดง
แค่จะยืนใกล้ๆ เขาเรายังไม่อยาก ยิ่งต้องเต้นด้วยยิ่งทรมานมากๆ
ก่อนจะเต้นทุกครั้ง เราจะบอกตัวเองให้เปิดใจ เปิดพลังงานของเรา
จะต้องรับส่งพลังงานของเรากับเขาให้ได้
แต่มันยากมากๆ จริงๆ เพราะเขาไม่ส่งกลับเลย
เต้นอยู่คนเดียว “ไม่ฟังคู่เต้น” ของเขาเลย
สองอาทิตย์แรกเราหงุดหงิดมาก ถึงขั้นนอยด์ตัวเอง
ทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่พยายาม feel เขาให้มากกว่านี้
แต่ยิ่งเต้นด้วยกัน ยิ่งไม่ชอบกัน ประมาณนั้นเลย
จนกระทั่งเราได้คุยกับ rehearsal director
เขาบอกว่า เขาเข้าใจและขอโทษ ที่เราต้องเต้นกับคนนี้
เพราะเขาเต้นแบบมั่นใจในตัวเองเกินไป จนไม่ฟังใครเลยจริงๆ

เรื่องการเต้นคู่ทำให้เรานึกถึงเพื่อนของเราที่มาด้วยกัน
ตอนมาแรกๆ เรามีเรื่องไม่เข้าใจเขา จนเราเอ่ยปากถาม
ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่อยากปรับความเข้าใจ
และหลังจากนั้นก็อยู่ในช่วงเวลา ปรับตัว เข้าหากันอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่สนิทกันมากตอนอยู่ที่เมืองไทย แต่พอมาอยู่ที่นี่
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน สภาพชีวิตเปลี่ยน ต้องปรับตัวใหม่
หลังจากนั้น เราได้เต้นคู่กับเขาอยู่หน่อยนึง .. ไม่รู้เขารู้สึกรึเปล่า
อาจจะเป็นเรื่องที่เรารู้สึกไปเอง ว่า energy ของเราสองคนเปลี่ยนไป
มันไม่ feel กันเหมือนเดิม มันมีกำแพงการสื่อสารเกิดขึ้นในขณะที่เราเต้น
เราเสียใจมากที่มันเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
เราหวังว่าการปรับตัวนี้คงใช้เวลาไม่นาน
เมื่ออะไรๆ ลงตัวแล้ว เราคงจะได้เต้น flow ไปด้วยกันอีกครั้ง
และจะเชื่อว่า มิตรภาพที่ดีระหว่างเรา จะเอาชนะทุกๆ อย่างได้
อีกไม่นาน เราคงจะ feel เธอได้อย่างที่เคยเป็นมา
..รักว่ะ..




Create Date : 25 ธันวาคม 2554
Last Update : 25 ธันวาคม 2554 11:11:47 น. 7 comments
Counter : 1063 Pageviews.

 
Merry X'mas

ขอให้พบเจอแต่เรื่องดีๆค่ะ


โดย: เด็กเอลฟ์ วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:11:25:18 น.  

 


เข้ามาทักทายครับ


โดย: ใบไม้เบาหวิว วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:14:09:33 น.  

 
หาชีวิตที่ตัวเองต้องการได้แล้ว ดีจังเลย


โดย: ST.Exsodus วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:16:50:02 น.  

 


โดย: ลุงแว่น วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:20:39:32 น.  

 
ผมคิดว่า 'เด็กหญิงคนนั้น' ได้ลงจากหลังคาแล้ว

เชื่อเหลือเกินว่า สิ่งที่พาเธอลงมา จะนำเธอไปสู่ 'การเดินทาง' ที่มีความหมายและน่าจดจำ

:)





โดย: Amygdala วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:22:40:41 น.  

 
ท่าทางชีวิตช่วงนี้สนุกและเป็นสุขนะคะ
เพราะได้ทำตามฝัน
แล้วก็คงได้เปลี่ยนที่อยู่ด้วย

อ่านแล้วนึกถึงบล็อกที่คุณก๋าเขียนเลยที่เกี่ยวกับสนุกแต่ไม่สบายอะไรทำนองนั้น แต่พอสนุกแล้วก็เป็นสุข ถึงลำบากก็สู้ไหวเนอะ

สุขสันต์วันคริตสมาสค่ะ

ปล. ชอบตอน 4 เพราะเรื่องการเต้นนี่อยู่ห่างไกลจากชีวิตจริงมากเลยค่ะ เหมือนได้เรียนเรื่องใหม่ๆ


โดย: SevenDaffodils วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:6:35:06 น.  

 



.
..
...
นับถอยหลัง
...
..
.

..................

ปีใหม่มา ให้นับน้อย ถอยอีกหนึ่ง

ก่อนชีวาตม์ ขาดผึง ลงร่วงผลอย

เร่งทำดี เติมชีวิต ก่อนปลิดลอย

คิดให้บ่อย ทำให้หนัก ค่อยพักยาว.


โดย: ลุงแว่น วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:10:02:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.