+ + = = = + + การถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติ ตอนที่ 6 (จบ) + + = = = + +
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้อัพเรื่องการถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติไปแล้วคือ
1. กาลิก 4 อย่าง (คลิกเพื่ออ่าน)
2. การถวายของจำนวนมากๆ การประเคนของและการถวายอาหารแด่ภิกษุอาพาธ (คลิกเพื่ออ่าน)
3. การถวายผักผลไม้ และการกัปปิยะ (คลิกเพื่ออ่าน)
4. ปะระมัตถะทาน การทำบุญในพระวินัย การทำบุญในพระสูตร (คลิกเพื่ออ่าน)
5.ห้ามเอ่ยปากว่าจะทำอาหารอะไร และเนื้อสัตว์ที่ห้ามฉัน 10 อย่าง (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้จะเป็นตอนจบแล้วนะคะ (มหากาพย์มากมาย เอิ๊กซ์)
...ทุกคนที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ย่อมมีอุปนิสัยต่างๆ กัน มีธาตุขันธ์ต่างๆ กัน เกิดมาในตระกูลที่ต่างกัน ฉะนั้นสติปัญญาของคนเราก็เหลื่อมล้ำต่ำสูงไม่สม่ำเสมอกัน แล้วแต่ว่าใครจะมีสติปัญญาดีกว่ากันเท่านั้น ในพระพุทธศาสนาการละกิเลสมันต้องอาศัยสติปัญญาของตนเองเท่านั้นเอง การที่คนเราจะมีทรัพย์สมบัติเงินทองมากมายเท่าไหร่ก็ตาม จะไปหาซื้อปัญญาที่ไหนก็ไม่ได้ ต้องอาศัยตนเองทั้งนั้น โดยเฉพาะที่รับรู้เหตุผลว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยตนเองเท่านั้น เช่น ร้อน หนาว ทุกข์ สุข นีเ่ป็นเรื่องของตนเอง เรื่องเหตุเรื่องผล ตนเองเป็นคนตัดสิน รู้แล้วก็ตัดสินด้วยตนเองไม่ให้คนอื่นมาละกิเลสให้เรา สมาิธิปัญญานี้จะเอาเงินหลายแสนล้านมาซื้อ มาจ้างก็ไม่มีใครขายให้ได้ ฉะนั้น ตนเองต้องปฏิบัติเองก่อนจึงจะทำให้สติปัญญาเกิดขึ้นแก่ตนเองได้ ตรงนี้แหละเป็นหลักเหตุผลที่ยืนยันในพระพุทธศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสเอาไว้
เหตุฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องฝึกฝนอบรมสติปัญญาของเราให้แก่กล้า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเวลาไปเจริญภาวนมา 1เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือนก็ดี แล้วมานมัสการกราบไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ทั้ง 5 ของพวกเธอแก่กล้าหรือยัง" พระภิกษุองค์ไหนที่ได้บรรลุธรรมก็นั่งอยู่เฉยๆ ยังไม่ตอบ แต่องค์ไหนยังไม่บรรลุธรรมก็ตอบพระพุทธองค์ว่า "ภันเตพระเจ้าข้า อินทรีย์ 5 ของข้าพระพุทธเจ้านั้นยังไม่แก่กล้าแข็งพระเจ้าข้า" พระพุทธองค์ตอบว่า "ก็เป็นหน้าที่ของพวกเธอจะถามเราตถาคต เพราะพวกเธอยังไม่รู้ใช่ไหม" พระภิกษุผู้ที่รู้จักอินทรีย์ 5 ดีนั้นมีดังนี้
ข้อหนึ่ง สัทธินทรีย์ มีศรัทธาเต็มเปี่ยมไหม ที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส
ข้อสอง วิริยินทรีย์ มีความเพียรแก่กล้าไหม ที่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิฝึกฝนอบรมจิตใจทุกนาที ทุกชั่วโมงและเว้นจากเวลานอนหลับ
ข้อสาม สะตินทรีย์ มีสติรอบคอบไหม ในขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอน หรือในทุกอิริยาบถ
ข้อสี่ สะมาธินทรีย์ มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงเป็นสมาธิเหนียวแน่น ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนมั้ย
ข้อห้า ปัญญินทรีย์ มีปัญญาพลังรอบรู้ในกองสังขารทั้งปวงไหม อันนี้ทางบรรลุธรรมเพื่อพ้นทุกข์อยู่ตรงนี้เอง
ภาพจาก //www.oknation.net/blog/sarattatham/page7
พระภิกษุองค์ไหนที่ได้บรรลุธรรมเบื้องต้นได้เป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นพระสกิทางคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์ก็รู้ว่าที่เขาไม่ถามเพราะเขารู้แล้ว แต่ถ้าพระภิกษุองค์ไหนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจก็ต้องถาม เหตุฉะนั้นพระพุทธองค์จะทรงทราบว่า พระภิกษุองค์ไหนบรรลุอรหันต์ หรือปฏิบัติอยู่ขั้นไหน เพราะพระพุทธองค์สามารถหยั่งรู้วาระจิตได้
บัดนี้เรื่องการทำความดีมีพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "เย ตัตถะ อนุโมทันติ เวยยาวัจจัง กะโรติ วา นะ เตนะ ทักขิณา โอนา เตปิ ปุญญัสสะ ภาคิโน" ชนทั้งหลายเหล่าใดอนุโมทนา หรือช่วยทำการขวนขวายในทานนั้น ทักษิณาทานของเขามิได้บกพร่องไปด้วยเหตุน้น ชนทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย
บุญทั้งหลายสำเร็จด้วยการขวนขวายในทาน คือ ได้ขวนขวายไปบอกคนอื่นให้ทำบุญแม้ว่าตนเองไม่ทำก็ตาม ถือว่าการขวนขวายให้บุญของเขาสำเร็จ เราก็ได้บุญเพราะเราชวนเขาทำความดี แต่ก็ได้บุญตามที่เราขวนขวายเท่านั้น เพราะเราไม่ได้บริจาควัตถุด้วย
ถ้าเราจะทำบุญถวายสิ่งของหรือบริจาควัตถุ แล้วไปชวนคนอื่นร่วมด้วย เขาจะร่วมถวายปัจจัย 10 บาท 20 บาทก็แล้วแต่ เขาก็ได้บุญ หรือเมื่อเราชวนคนอื่นไปทำบุญแต่เขาไปไม่ได้ ขอฝากปัจจัยไปร่วมทำบุญด้วย 10 บาท 20 บาท เขาก็ได้บุญ แต่เขาต้องอาศัยเราให้เรานำของเขามาทำบุญให้สำเร็จ เขาเรียกว่าบุญสำเร็จด้วยการขวนขวาย
บุญทั้งหลายสำเร็จด้วยการกระทำอนุโมทนา คือ เมื่อเห็ฯคนอื่นเขาทำบุญทำกุศลก็กล่าวคำว่า "สาธุ ขอให้บุญกุศลนั้นจงสำเร็จ ขออนุโมทนาด้วย" เราก็ได้บุญ เพราะบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา คือเรามีความสุขกับการทำบุญของคนอื่น เราก็ได้บุญ ได้ความสุขใจของเราด้วย เพราะการอนุโมทนา สรรเสริญ ยกย่องว่าคนอื่นได้ทำความดี ใจของเราก็เลยมีความสุข เพราะเราไม่ไปคัดค้าน ไม่ไปตัดรอน เขาก็เลยได้บุญได้ความสุข
ภาพจาก //www.dhammathai.org/kaveedhamma/dbview.php?No=135
ถ้าต้องการเรียนรู้การทำบุญแบบอื่นๆ (บุญกิริยา 10) เชิญ คลิกที่นี่ค่ะ
"ตัสมา ทะเท อัปปะติวานะจิตโต ยัตถะ ทินนัง มะหัปผะลัง" เป็นคนควรเป็ฯผู้มีจิตไม่ท้อถอย "ให้ในที่ใดได้ผลมากควรให้ในที่นั้น" คือ ให้เลือกสถานที่ในการทำบุญ เปรียบเสมือนเวลาเราจะปลูกพืชผัก ผลไม้ ข้าวกล้า ฯลฯ อะไรต่างๆ ต้องเลือกพื้นที่ที่มีดินดี เพื่อจะให้ผลผลิตงอกงาม เป็นเนื้อนาบุญ
"ปุญญานิ ปะระโลกัสสะมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินันติ" บุญย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้าได้ฉะนั้นแล
ดังนั้น บุญที่ตนเองสร้างไว้นั้น ถ้าเรายังมาเกิดอีก เราก็ต้องได้รับผลบุญนั่น แต่ถ้าเราทำอยู่ในชาตินี้เราก็ได้อยู่ในชาตินี้อยู๋แล้ว พอทำเสร็จมันก็มีความสุขในชาตินี้ นี่แหละเหตุมันเกิดขึ้นมาแล้วเป็นอย่างนั้น อันนี้การมาปฏิบัติมันก็เป็นเหตุ ปฏิบัติตนมาดีก็ได้ตำแหน่งสูงขึ้นๆ ก็เป็นตามการปฏิบัติของตนเท่านั้นแหละที่เขาเรียกว่าเหตุทำให้มีความดีเกิดขึ้น เหตุดี ผลดี ก็มีความสุข เหตุดี คนก็ดี เหตุไม่ดี คนก็ไม่ดี ถ้าเชื่อมั่นอย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้งอตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว นี่เขาเรียกว่าคนเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสเอาไว้ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้วเราจะทำมากทำน้อยตามกำลังของตนเอง ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนครอบครัว ไม่ทำให้ตนเองมีความทุกข์ ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ผลที่ออกมาก็คือมีความสุข เรียกว่า สัมมาทิฐิ ถ้าเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลที่ออกมาเป็นความทุกข์ เรียกว่า มิจฉาทิฐิ จึงเป็นหน้าที่ของเราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่จะศึกษาทำความเข้าใจเรื่องสัมมาทิฐิในชีวิตของคน เพราะธรรมมันต้องเกิดจากเหตุและดับเพราะเหตุทั้งนั้น
เหตุฉะนั้น การทำบุญก็ดี ต้องไม่ให้เกิดทุกข์และไม่ให้คนอื่นทุกข์ด้วย การทำความดี ถ้าทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและคนอื่นเขา พูดคุยกันก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและบุคคลอื่น คิดอะไรก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและคนอื่น คือ "ทำ" ไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น "พูด" ไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น นั่นเอง คนอื่นไม่เดือดร้อน เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราทำถูก พูดถูก คิดถูก เราคิดไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็ไม่เดือดร้อนเหมือนกัน เขาเรียกผลสะท้อนย้อนมาให้ไม่มีความเดือดร้อน จึงเรียกว่าการงานปราศจากโทษ ทำด้วยกาย พูดด้วยวาจา คิดด้วยใจ การงานไม่มีโทษ เราทุกคนก็ควรพากันปฏิบัติิตนเองเพื่อความสุข
สำหรับการถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติของพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ก็คงจะจบลงที่บล็อกนี้เป็นบล็อกสุดท้ายแล้วนะคะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงบล็อกนี้ค่า
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,159,285+41429=1,200,714/7002/657
Create Date : 30 มกราคม 2555 |
Last Update : 30 มกราคม 2555 8:07:47 น. |
|
30 comments
|
Counter : 2813 Pageviews. |
|
|
|
ยังอ่านไม่ครบทุกบล็อกเลยค่ะ
เดี๋ยวไล่ๆอ่านค่ะ
จะว่าไป .. การทำให้เกิดบุญไม่ใช่เรื่องยากเลยนะคะ
อย่างน้อยที่สุด ..
ตั้งจิตเพื่อคิดสิ่งดี .. ก็เริ่มต้นได้แล้ว