* = * * = * * = * การถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติ ตอนที่ 4 * = * * = * * = *
สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นเลย บล็อกนี้ก็คงเป็นบล็อกสุดท้ายของปีนี้แล้วนะคะ ก็ถือโอกาสนี้อวยพรให้กับทุกๆ ท่านเลยค่ะ
ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่เจอสิ่งดีๆ ยิ่งกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา หากต้องเผชิญกับทุกข์หรืออุปสรรคใดๆ ก็ขอให้มีสติปัญญาและความเข้มแข็งที่จะเอาชนะมันไปได้นะคะ
มีความสุขกายและสบายใจตลอดทั้งปี มีสัมมาทิฐิ ทิฐิที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตและตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตค่ะ
หลังจากที่ได้อัพเรื่องการถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติไปแล้วคือ
1. กาลิก 4 อย่าง (คลิกเพื่ออ่าน)
2. การถวายของจำนวนมากๆ การประเคนของและการถวายอาหารแด่ภิกษุอาพาธ (คลิกเพื่ออ่าน)
3. การถวายผักผลไม้ และการกัปปิยะ (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้มาต่อกันในเรื่องของการบริจาคทาน ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเรื่องการบริจาคทานเอาไว้ว่ามี 6 อย่างนั้น เรียกว่า "ปะระมัตถะทาน" ได้แก่
1. ตา คือ เมื่อตาเราได้เห็นรูป เห็นสิ่งของต่างๆ ที่พระภิกษุควรจะได้ใช้ หรือบริโภคได้ จึงคิดว่าน่าจะเอาไปทำบุญทำกุศล ก็เป็นบุญเป็นกุศล
2. หู คือ เมื่อเราได้ยินคนอื่นชักชวนไปทำบุญทำกุศลทำประโยชน์ เราก็อยากไปทำกับเขา อันนี้เมื่อได้ยินเสียงคนอื่นพูด ก็อยากไปทำบุญ ทำคุณงามความดี
3. จมูก คือ เมื่อจมูกได้กลิ่น เช่น กลิ่นดอกไม้ ของหอม ธูปหอม กลิ่นอาหารการกิน กลิ่นอะไรต่างๆ อย่างนี้ ก็อยากจะนำไปบูชา น่าจะนำไปทำบุญทำกุศล
4. ลิ้น คือ เมื่อเราได้ลิ้มรสสิ่งของที่เป็นอาหารการกินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก หรือยาวชีวิก ก็ตาม เช่น เราดื่มน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล ฯลฯ ที่เราเห็นว่ารสชาติดี น่าจะนำไปถวายพระภิกษุบ้าง แค่นึกอยู่ในใจเท่านั้น ยังไม่ได้นำมาทำบุญก็ได้บุญแล้ว
5. กาย คือ เมื่อกายเราไปสัมผัสถูกต้องเครื่องนุ่งห่มชนิดต่างๆ เช่น ผ้าชนิดนี้เราจะนำไปตัดสบงจีวรถวายพระภิกษุน่าจะดี หรืออาสนะอย่างนี้ เรานำไปปูให้พระภิกษุนั่งน่าจะได้บุญได้กุศล แค่นึกอยู่ในใจเท่านั้น แต่ยังไม่ได้นำมาถวายพระภิกา แค่นึกอยู่ในใจเฉยๆ ก็ได้บุญแล้ว
6. ใจ คือ ทานทั้ง 5 อย่างที่กล่าวมานั้น สรุปรวมแล้วเป็นธรรมารมณ์ที่อยู่ในจิตใจของเรา เมื่อจิตใจมีเจตนาว่าจะนำสิ่งใดไปทำบุญก่อน แล้วเราก็ไปแสวงหาสิ่งของเหล่านั้นเพื่อไปทำบุญ แม้ว่ายังไม่ได้นำมาทำบุญ ก็เรียกว่าได้บุญแล้ว แค่ตัวจิตคิดอยู่ 5 อย่าง แต่ที่เป็น 6 อย่างนั้น เพราะรวมทั้งจิตใจที่คิดด้วย เมื่อใจเจตนาที่จะนำอะไรไปทำบุญก่อน ทำความดีก่อน จึงเรียกว่าตัวเจตนาเป็นปรมัตทาน 6 อย่างดังได้กล่าวมานี้
บัดนี้ การบริจาคทานในพระวินัย ได้แก่
1) จีวร เครื่องนุ่งห่ม
2) อาหารการกิน
3) เสนาสนะ ที่อยู่ที่พักพาอาศัย เครื่องใช้สอยของพระภิกษุสงฆ์ กุฏิ ศาลา วิหาร มุ้ง พวกนี้เป็นเจตนาเครื่องใช้
4) ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เวลาที่พระภิกษุเจ็บป่วย
ทั้ง 4 อย่างนี้เรียกว่า ทานในพระวินัย
การบริจาคทานในพระวินัย 4 อย่าง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสอนุญาตไว้ว่า การได้ถวายจีวร เครื่องนุ่งห่ม อาหาร สำรับกับข้าว ได้สร้างกุฏิ วิหารศาลา สร้างกลด ที่มุง ที่บังให้พระภิกษุจำพรรษา แม้ว่าอยู่บนป่าบนเขา โยมก็ยังอยากไปสร้างถวาย ถ้าพระภิกษุอาพาธเจ็บป่วย โยมก็หาหยูกหายามาถวายท่านให้ได้ฉันเพื่อระงับทุกขเวทนาให้หาย ให้ท่านปฏิบัติกิจวัตรของท่านได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นทานในพระวินัย
ภาพจาก //www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16212&sid=66cb6f19a7801de6a977dbe9a4ddd3f8
บัดนี้ ทานในพระสูตรนั้นมี 10 อย่าง คือ
1. อันนัง ปานัง 2. วัตถัง 3. ยานัง 4. มาลา 5. คันธัง 6. วิเลปะนัง 7. เสยยาวะสะถัง 8. ปะทีเปยยัง 9. ทานะวัตถุ 10. อิเม ทะสะ
คือ อาหาร ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ให้นั่งรถ นั่งเรือ นั่งเครื่องบิน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน เสื่ออาสนะ ที่พักอาศัย เครื่องประทีป ธูป เทียน ไฟฟ้า ไฟฉาย เครื่องทำแสงสว่าง
ทานในพระสูตรทั้ง 10 อย่างนี้ อุบาสกและอุบาสิกาควรสร้างสมบุญ สร้างคุณงามความดีเอาไว้เพื่อเป็นที่พึ่งของตนในภายภาคหน้า แล้วแต่ว่าเราจะทำข้อไหนได้ใน 10 อย่าง ใครจะให้อะไรก็แล้วแต่เจตนาของตนที่จะนำอะไรไปทำบุญบริจาคทาน และได้บุญกุศลดังนี้
อันนะโท พะละโท โหติ ผู้ที่ถวายทานข้าว ถวายทานน้ำ จะทำให้มีพละกำลัง มีร่างกายแข็งแรง
วัตถะโท โหติ วัณณะโท ผู้ที่ถวานทานผ้านุ่งห่ม เครื่องตกแต่งร่างกาย จะทำให้มีผิวพรรณวรรณะสวยงาม
ยานะโท สุขะโท โหติ ผุ้ที่ถวานทานยานพาหนะ ให้นั่งรถนั่งเรือ ก็คือให้ความสุขแก่ผู้อื่น ก็จะทำให้ตนเองมีความสุข
ทีปะโท โหติ จักขุโท ผู้ให้ประทีปดวงไฟ ให้ไฟฟ้า ไฟฉาย ให้ธูป ให้เทียน ให้แสงสว่าง ก็คือให้ดวงตา เมื่อเกิดชาติใดภพใด จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่เล็กจนถึงเฒ่าถึงแก่ ไม่ต้องใส่แว่นตา มีสายตาดี บางคนสายตาไม่ดีมาแต่เล็กๆ เพราะเขาไม่ได้สร้างบุญชนิดนี้ไว้ ไม่ได้ถวายธุปถวายเทียน ไฟฟ้า ไฟฉายไว้ เขาจึงมีสายตาไม่ดี
ภาพจาก //www.vcharkarn.com/vcafe/63519
เหตุฉะนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า มะนาปะทายี ละภะเต มะนาปัง อัคคัสสะ ทาตา ละภะเต ปุนัคคัง วะรัสสะ ทาตา วะระลาภิ โหติ เสฏฐันทะโท เสฏฐะมุเปติ ฐานัง คือ ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ผู้ใดให้วัตถุอันเลิศ ย่อมได้วัตถุอันเลศ ผู้ให้ของดีย่อมได้ของดี ผู้ให้ฐานะอันประเสริฐ ย่อเข้าถึงฐานะอันประเสริฐ
ดังนั้น เวลาเราจะถวายสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีความพอใจ จะถวายมากน้อยแค่ไหนก็ต้องมีความพอใจในการทำบุญ สมมุติว่าเราจะบริจาคทาน 10 บาท แต่ถ้ามีคนบอกว่า 10 บาทน้อยไป ต้องถวาย 20 บาทดีกว่า ดังนั้นบุญที่ได้จากการถวาย 10 บาทแรกจะได้บุญเต็มที่ แต่อีก 10 บาทหลังจะไมได้บุญเต็มที่เพราะไม่ได้เต็มใจให้ บุญอยู่ที่ใจ
เหตุฉะนั้น ถ้าเรามีกำลังพอที่จะทำได้เท่าไหร่ก็ทำเท่านั้นแต่ให้มีความพอใจ ให้เต็มใจ ถ้าไม่เต็มใจแล้วอย่าไปทำ เพราะทำแล้วจะไม่มีความสุขใจ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เต็มใจแล้วก็จะไม่มีความสุข แต่ถ้ามีความพอใจทำจึงจะมีความสุข แม้ว่าทำเพียงเล็กน้อยก็มีความสุขใจเพราะเราเต็มใจ การบริจาคทานต้องเป็นอย่างนั้น ต้องให้เหมาะสมกับกำลังของตน แล้วก็ให้ด้วยความเต็มใจ จึงเรียกว่ามีศรัทธา ก็คือมีความเต็มใจ มีความพอใจในการให้นั่นเอง จึงเรียกว่าเป็นปะระมัตถะทาน
เหตุฉะนั้น ถ้าหากเราเข้าใจในเรื่องการทำบุญกุศล ไม่ว่าเราจะไปทำบุญอยู่ที่ไหนๆ เราก็จะฉลาด รู้จักกาลเทศะในการทำบุญกับพระภิกษุ รู้ว่าพระภิกษุนั้นถือศีลอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร และเราควรปฏิบัติอย่างไร ท่านจึงจะไม่ผิดศีลผิดธรรมของท่าน เราผู้ไปทำบุญเราก็จะได้บุญที่ถูกต้องตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระภิกษุเป็นเนื้อนาบุญของโลก เราก็ควรที่จะระวังไม่ให้ภิกษุผิดศีล โยมก็ไม่ทำบุญแบบผิดๆ ได้บุญพร้อมทั้งมีความบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย
บัดนี้ เราได้ทราบแล้วว่า การทำบุญในปะระมัตถะทานมี 6 อย่าง การทำบุญในพระวินัยมี 4 อย่าง และการทำบุญในพระสูตรมี 10 อย่าง ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจเรื่องการทำบุญบริจาคทานสิ่งของทั้งหลาย การถวายทานให้ถูกกาลเทศะแล้ว เราก็ควรนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้บุญได้กุศลอย่างเต็มเปี่ยมตามความปรารถนาของตนทีเจตนาไว้
สำหรับเอนทรี่นี้ ก็พอแต่เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ (มาสั้นๆ ยาวๆ กลัวไม่มีคนอ่าน ฮา )
เอนทรี่หน้าจะมาพูดถึงเรื่องของข้อควรระวังถ้าจะนิมนต์พระภิกษุมาฉันที่บ้านค่ะ
ถ้าพลาด ท่านฉันแล้วผิดศีล ไม่รู้ด้วยนะเอ้า อิอิ (ทำให้อยากรู้เนาะ )
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,158,185+1263=1,159,448/6928/649
Create Date : 30 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 30 ธันวาคม 2554 7:42:15 น. |
|
42 comments
|
Counter : 2252 Pageviews. |
|
|
|