+ + = = = + + การถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติ ตอนที่ 5 + + = = = + +
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้อัพเรื่องการถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติไปแล้วคือ
1. กาลิก 4 อย่าง (คลิกเพื่ออ่าน)
2. การถวายของจำนวนมากๆ การประเคนของและการถวายอาหารแด่ภิกษุอาพาธ (คลิกเพื่ออ่าน)
3. การถวายผักผลไม้ และการกัปปิยะ (คลิกเพื่ออ่าน)
4. ปะระมัตถะทาน การทำบุญในพระวินัย การทำบุญในพระสูตร (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้จะมาพูดถึงข้อควรระวัง หากเรานิมนต์พระมาฉันที่บ้านกันบ้างค่ะ
บัดนี้จะกลับมาพูดถึง สิ่งที่ประเคนแล้วเป็นอนุโลมจากพุทธฎีกาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ถ้าหากญาติโยมจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันที่บ้านของตน หรือตามสถานที่ต่างๆ นั้น ห้ามออกชื่อโภชนะทั้งห้า (โภชนะทั้งหาได้แก่ อาหารชนิดต่างๆ เช่น เผือก มัน ข้าว ข้าวสาลี ขนมต้ม ขนม เนื้อสัตว์ หรือผักผลไม้ต่างๆ) เช่น โยมพูดกับพระภิกษุไว้ก่อนว่าจะทำอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ถวาย เช่น จะทำข้าวต้ม ขนม จะทอดกล้วยแขก จะทำก๋วยเตี๋ยวถวาย ฯลฯ อย่างนี้ ถ้าโยมออกชื่อโภชนะทั้งห้าแล้ว พระภิกษุก็จะฉันไม่ได้เลย เพราะถ้าพระภิกษุฉัน ก็จะต้องอาบัติ ผิดศีลทุกคำกลืน การนิมนต์พระภิกษุไปฉันแล้วกล่าวไว้เช่นนี้ ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
เหตุที่ไม่ควรออกชื่อโภชนะทั้งห้า ยกตัวอย่างเช่น ถ้านิมนต์พระภิกษุมาฉันที่บ้าน และได้ออกชื่อโภชนะไว้แล้ว อย่างบอกพระภิกษุไว้ว่าจะซ์อกล้วยไข่กำแพงเพชรมาถวาย หรือจะนำกล้วยไข่จากกำแพงเพชรมาทำขนมแบบนั้นแบบนี้ ทำอาหารชนิดต่างๆ ถวายท่าน ครั้งเมื่อถึงเวลาไปซื้อของ แล้วไม่มีกล้วยไข่กำแพงเพชรขาย จะไปหาซื้อที่ไหนก็ไม่มี ก็ทำให้โยมเกิดความลำบากยากเย็น เกิดความทุกข์ขึ้น เพราะเสียสัจจะที่ตนเองได้พูด ได้สัญญากับพระภิกษุไว้แล้ว โยมจะเกิดความลำบากอย่างนี้เองและโยมก็จะไม่ได้บุญเต็มที่ ทำให้มีทุกข์เกิดขึ้นแก่ตน เพราะโยมไปแสวงหาสิ่งที่ตนเองสัญญาเอาไว้ไม่ได้ เป็นเรื่องอย่างนี้
ภาพจาก //recgoodness.blogspot.com/2011/04/blog-post_17.html
ถ้าเราไม่ได้บอกชื่อโภชนะทั้งห้าไว้ เราจะซื้อกล้วย ซื้อผลไม้ หรือซื้ออาหาร จากที่ไหนก็แล้วแต่ที่พอหาซื้อได้ เราก็ซื้อมาถวายท่านได้สบาย ผุ้มีศรัทธาก็ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องเกิดทุกข์ พระภิกษุก็ไม่ผิดศีล ดังนั้นเมื่อเรานิมนต์พระภิกษุไปฉันที่บ้าน หรือตามสถานที่ต่างๆ ให้ถูกต้องตามพระพุทธศาสนา ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ควรออกชื่อโภชนะทั้งห้า เพราะจะเรียกว่าเป็ฯ "มังสะอุทิศ" หมายถึง เป็นของอุทิศต่อพระภิกษุ หรือ เป็นอาหารที่ญาติโยมพูดไว้ว่าจะทำเพื่อถวายให้พระภิกษุ เมื่อพระภิกษุได้ยินเสียงพูด และได้เห็น ก็จะรังเกียจอหารที่ทำมาเพื่อถวายเฉพาะตน ทำให้ผู้อื่นต้องเกิดทุกข์กับตน เพราะพระภิกษุไม่ควรให้ญาติโยมมาทุกข์กับตน
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าให้พระภิกษุปฏิบัติตนเป็นโสวะจะสัตตาคือ เป็นเป็ว่าง่ายสอนง่าย เป็นสุภะรัตตา คือ เป็นผู้เลี้ยงง่าย พระภิกษุต้องไม่เป็นผู้เลี้ยงยาก ถ้าโยมไปคิดให้ตนเองเกิดทุกข์ยากกับการเลี้ยงอาหารพระ หรือพระภิกษุจะไปบอกญาติโยมว่าอยากฉันอาหารอย่างโน้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ ผิดศีลอีก ญาติโยมถวายสิ่งใดมาก็ให้ฉันสิ่งนั้น ถ้าฉันไม่ได้ก็ไม่ต้องฉัน ถ้าฉันแล้วปวดท้อง ฉันแล้วไม่ค่อยสบาย เป็นของแสลง เราก็ไม่จำเป็นต้องฉัน แต่เรารับประเคนได้ พระภิกษุควรเลือกแนสิ่งที่ฉันแล้วถูกกับธาตุขันธ์ ถูกกับร่างกายของเราก็ให้ฉันได้ ถ้าพระภิกษุจะแนอาหารมังสวิรัติก็ให้เลือกฉันเอาเอง ไม่ต้องพูดบอกโยมให้ถวายแต่อาหารมังสวิรัติ ถ้าโยมถวายเนื้อสัตว์มาก็รับประเคนไว้แล้วเลือกแนสิ่งที่ถูกกับร่างกายของเราเท่านั้นก็ได้ ยกเว้นมังสะ 10 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้รับประเคนและห้ามไม่ให้พระภิกษุฉัน ได้แก่
1. เนื้อมนุษย์ 2. เนื้อช้าง 3. เนื้อม้า 4. เนื้อเสือเหลือง 5. เนื้อเสือโคร่ง 6. เนื้อเสือดาว 7. เนื้อหมี 8. เนื้อราชสีห์ 9. เนื้อสุนัข 10. เนื้องู
ภาพจาก //atcloud.com/stories/85697
ภาพจาก ลิงก์นี้
เนื้อทั้งหมดนี้พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้รับทั้งสุกหรือดิบ เพราะทุกอย่างมีเหตุ ดังนี้
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ เพราะมีเรื่องดังนี้คือ นางสุปปิยาอุบาสิกา ไปเที่ยวชมวัดดูพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายและไปพบพระภิกษุอาพาธองค์หนึ่ง ก็เลยถามพระภิกษุองค์นั้นว่า "ท่านฉันภัตตาหารอะไรจึงจะสบาย" พระภิกษุองค์นั้นตอบว่า"อาตมาฉันแกงเนื้อจึงจะสบาย" ดังนั้นนางสุปปิยาอุบาสิกาก็เลยปวารณาพระภิกษุไว้ว่า "ข้าพเจ้าจะทำแกงเนื้อมาให้ท่านฉันในวันพรุ่งนี้"
เมื่อนางสุปปิยาอุบาสิกากลับบ้านไป ก็สั่งให้บริวารไปหาซื้อเนื้อในหมู่บ้าน บังเอิญวันนั้นเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ ซึ่งในสมัยครั้งพุทธกาลจะฆ่าสัตว์เฉพาะวันขึ้น 2 ค่ำถึงขึ้น 13 ค่ำเท่านั้น และจะไม่ฆ่าสัตว์ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ ดังนั้นใน 3 วันนี้จะหาซื้อเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย เมื่อนางสุปปิยาอุบาสิกาไม่ได้เนื้อมาก็กลัวจะเสียสัจจะที่ได้ปวารณากับพระภิกษุไว้แล้ว และเหตุที่นางสุปปิยาอุบาสิกา เป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นผู้ที่มีหิริโอตตัปปะและเป็นผู้ที่รักษาสัจจะ จึงตัดสินใจใช้มีดหั่นเนื้อที่ต้นขาของตนเองเพื่อนำมาให้บริวารแกง แล้วก็นำไปถวายพระภิกษุที่อาพาธองค์นั้น
เมื่อพระภิกษุฉันแกงที่นำมาถวายก็เกิดความเหนื่อยและอ่อนเพลียมากจนทำให้นอนไม่อยากลุก เมื่อเพื่อนพระภิกษุทั้งหลายมาเยี่ยม พระภิกษุอาพาธองคืนั้นก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า วันนี้ได้ฉันแกงเนื้อแล้วรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากลุกเลย
วันต่อมา เศรษฐีผุ้เป็นสามีอยากเลี้ยงภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ จึงได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อมทั้งพระภิกษุทั้งหลายมาฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เมื่อพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปบนบ้านเศรษฐีและทรงทอดพระเนตรไม่เห็นนางสุปปิยาอุบาสิกาออกมาต้อนรับ มีแต่เศรษฐีสามีมาต้อนรับ พระพุทธองค์จึงตรัสถามถึงนางสุปปิยาอุบาสิกาว่าไปที่ใด ไม่เห็นมาต้อนรับอาตมาภาพ เศรษฐีผู้เป็นสามีจึงตอบพระพุทธองค์ว่าภรรยาไม่ค่อยสบายนอนอยู่ในห้องนอนพระเจ้าค่ะ พระพุทธองค์จึงให้บริวารไปประคองนางสุปปิยาอุบาสิกาออกจากห้องมาพบพระพุทธเจ้า พอได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยืนอยู่ที่บ้านของตนก็เกิดความสุขใจมากที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จนลืมความเจ็บปวดที่แผลของตน แล้วก็นั่งลงกราบนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเรียบร้อย
เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จไปประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้สำหรับพระพุทธองค์ เศรษฐีและภรรยาก็จัดภัตตาหารเพื่อน้อมนำไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่ได้นิมนต์มาฉันภัตตาหารที่บ้าน เมื่อได้ประเคนสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ก็ฉันภัตตาหาร นางสุปปิยาอุบาสิกาก็กราบนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปิดดูแผลที่เอาผ้าพันไว้นั้น เนื้อที่ต้นขาก็งอกขึ้นมาเต็มอย่างเดิมเหมือนไม่มีบาดแผลและไม่มีความเจ็บปวด รู้สึกสบายเป็นปกติ จึงกลับออกมานั่งอยู่ห่างๆ ดูพระผู้มีพระภาคเจ้าฉันภัตตาหารจนเสร็จแล้วพระพุทธองค์ก็กระทำอนุโมนทาให้แก่สามีภรรยา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับวัดพร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย และในตอนค่ำวันนั้น เมื่อพระพุทธองค์เทศนาอบรมพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจบแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีญาณหยั่งรู้ดีว่า พระภิกษุที่อาพาธองค์นั้นฉันเนื้อมนุษย์ พระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายได้ฟังว่า พระภิกษุอาพาธองค์นั้นฉันเนื้อมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะฉัน พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ และไม่ให้รับประเคนทั้งสุกและทั้งดิบ" ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นต้นเหตุพุทธฎีกาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างนี้
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อช้าง เพราะเมื่อพระภิกษุไปเจริญสมณธรรมในป่าในเขา และถ้าพระภิกษุองคืใดเคยกินเนื้อช้างมาก่อนตั้งแต่เป็นฆราวาสนั้น หากช้างได้กลิ่นตัวของพระภิกษุที่เคยฉันเนื้อช้างมาก่อน ช้างก็จะเข้าไปทำร้ายพระภิกษุนั้นให้มรณภาพไป แต่ถ้าองค์ไหนไม่ได้ฉันก็ไม่เป็นไร ไม่ถูกช้างทำร้าย พระภิกษุทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมากราบนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่า "พระภิกษุเพื่อนของพวกเธอหายไปไหน" พระภิกษุเหล่านั้นตอบว่า "ถูกช้างทำร้ายจนมรณภาพไปพระเจ้าค่ะ" พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่าห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อช้าง และไม่ให้รับประเคนเนื้อช้างทั้งสุกและทั้งดิบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุอย่างนี้
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อม้า เพราะถ้าพระภิกษุเคยกินเนื้อม้ามาก่อนตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส เมื่อมาบวชเป็นพระภิกษุ เวลาเดินเข้าไปบิณฑบาตในบ้านในเมืองและม้าได้กลิ่นตัวพระภิกษุ ม้าก็จะใช้สองขาหลังดีดตัวพระภิกษุล้มลงจนบาตรหลุดมือไปทำให้พระภิกษุเจ็บตัว ดังนี้เป็นต้นเหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อม้า และไม่ให้รับประเคนเนื้อม้าทั้งสุกและทั้งดิบ
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อเสือเหลือง เสือโคร่ง เสือดาว เนื้อราชสีห์ เนื้อหมี เพราะถ้าพระภิกษุเคยกินเนื้อต่างๆ ดังกล่าว ตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส เมื่อมาบวชเป็นพระภิกษุแล้วไปเจริญภาวนาในป่าในเขาและสัตว์ต่างๆ เดินมาได้กลิ่น ก็จะมาตะครุบกัดพระภิกษุให้มรณภาพไป แต่ถ้าพระภิกษุองค์ไหนไม่เคยฉันเนื้อสัตว์ต่างๆ ก็ปลอดภัย พระภิกษุทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมานมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่า "เพื่อนของพวกเธอหายไปไหน" พระภิกษุเหล่านั้นตอบว่า "ถูกสัตว์ต่างๆ ทำร้ายจนมรณภาพไป" ดังนี้จึงเป็นต้นเหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อเสือเหลือง เสือโคร่ง เสือดาว ราชสีห์ หมี และไม่ให้รับประเคนเนื้อสัตว์ต่างๆ ดังกล่าว ทั้งสุกและทั้งดิบ
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อสุนัข เพราะถ้าพระภิกษุเคยกินเนื้อสุนัชมาก่อนตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาส เมื่อเวลาพระภิกษุไปบิณฑบาต หรือไปไหนก็ดี สุนัขก็จะเห่า จะกัดพระภิกษุองค์นั้น แต่องคืไหนไม่เคยกินเนื้อสุนัขมาก่อน สุนัขก็ไม่เห่าและไม่กัด ดังนี้จึงเป็นเหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อสุนัข และไม่ให้รับประเคนเนื้อสุนัขทั้งสุกและทั้งดิบ
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้องู เพราะพญานาคเข้ามากราบนมัสการพระพุทธเจ้า บอกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้องูทุกชนิด เพราะงูเป็นตระกูลเดียวกับพญานาค ถ้าพระภิกษุองค์ไหนฉันเนื้องู แล้วลงไปสรงน้ำในแม่น้ำต่างๆ พวกพญานาคก็อาจจะโกรธและมาทำร้าย มาฆ่าพระภิกษุที่ไปสรงน้ำให้มรณภาพไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้องูทุกชนิด และไม่ให้รับประเคนเนื้องูทั้งสุกและดิบ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
นอกจากเนื้อสัตว์ทั้ง 10 อย่างดังที่ได้กล่าวมานั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามให้ฉัน แต่ต้องทำให้สุกดี ถ้าหากพระภิกษุองค์ไหนฉันเนื้อสัตว์แล้วไม่สบายก็ไม่ควรฉัน ให้ฉันผักผลไม้ชนิดต่างๆ หรือสิ่งที่ไม่แสลงต่อร่างกาย
ดังนั้น ไม่ว่าพระภิกษุองค์ใดจะฉันมังสวิรัติ หรือญาติโยมจะกินมังสวิรัติก็ดี ไม่ว่าพระภิกษุองค์ใดจะฉันเนื้อที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาต หรือญาติโยมกินเนื้อที่กินได้ก็ดี เวลาฉันแล้ว กินแล้ว ที่สำคัญคือเพื่อให้ตนเองอยู่สบาย เวลาปฏิบัติธรรมก็ทำให้ตนเองสบายใจ หากมีสติปัญญาก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากพระภิกษุหรือญาติโยมก็ดีไม่มีสติปัญญาแล้วก็ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้
ตอนหน้าจะเป็นเรื่องของอินทรีย์ 5 และเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้ (จากหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ)
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาบล็อกเราค่ะ
1,159,285+20874=1,180,159/6973/654
Create Date : 18 มกราคม 2555 |
Last Update : 18 มกราคม 2555 8:17:15 น. |
|
33 comments
|
Counter : 4970 Pageviews. |
|
|
|
สิ่งละอันพันละน้อยที่คุณเต้ยนำมาลงในบล็อก
เป็นประโยชน์กับพุทธบริษัทจริงๆครับ