* = * * = * * = * การถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติ ตอนที่ 3 * = * * = * * = *
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้อัพเรื่องการถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ญาติโยมควรปฏิบัติไปแล้วคือ
1. กาลิก 4 อย่าง (คลิกเพื่ออ่าน)
2. การถวายของจำนวนมากๆ การประเคนของและการถวายอาหารแด่ภิกษุอาพาธ (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้จะมาพูดถึงการถวายผักและผลไม้กันบ้างค่ะ
การถวายผักและผลไม้ที่ญาติโยมควรกล่าวคำ "กัปปิ" (แปลว่า ทำลาย ตัดหรือฟัน) ก่อนจึงจะประเคนให้พระภิกษุ ได้แก่ ผักชนิดต่าง ที่ใช้หัวปลูกต่อไปได้ เช่น กระเทียม หอมใหญ่ หอมแดง ขิง ข่า ตะไคร้ แครอท หัวแรดิช หัวไชเท้า หัวเผือก หัวมันชนิดต่างๆ เช่น มันแกว มันฝรั่ง มันเทศ ผักมีรากต่างๆ ที่ยังไม่ได้ตัดรากออก ได้แก่ ผักบุ้ง ผักคับทอง ผักกระเฉด ผักแว่น ผักสะระแหน่ ผักกระถิน ฝักกระถินลูกแก่ ใบบัวบก คึ่นช่าย ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง ผักกาด ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักแพว มะเขือชนิดต่างๆ เช่น มะอึก มะเขือพวง มะเขือเปราะ มะเขือเทศ ฯลฯ และผลไม้ต่างๆ ที่ยังไม่ได้แกะเมล็ดออก ได้แก่ แตงโม สาลี่ แอปเปิ้ล องุ่น ส้มเช้ง ส้มเขียวหวาน ลูกเม่า ลูกหว้า ลูกแพร์ ลูกพีช ลิ้นจี่ ลำไย ลางสาด ลองกอง มังคุด เงาะ น้อยหน่า ทับทิม เสาวรส กระท้อน แก้วมังกร กีวี ละมุด มะปราง มะขาม ฯลฯ
ภาพจาก //www.oknation.net/blog/Nammchelsea/2008/08/28/entry-2
ดังนั้นขั้นตอนที่ญาติโยมควรจะปฏิบัติในการถวายผักผลไม้ต่างๆ ที่จะต้องกล่าวคำ "กัปปิ" ก่อน คือ พระภิกษุจะถามญาติโยมที่จะประเคนผักผลไม้ก่อนว่า "กัปปิยังกะโรหิ" (แปลว่า "ทำลายแล้วหรือยัง") และญาติโยมจะต้องตอบรับคำที่พระภิกษุถามว่า "กัปปิยะภันเต" (แปลว่า "ทำลายแล้วพระเจ้าข้า") พร้อมทั้งใช้มีด ช้อนส้อม เล็บมือ สิ่งมีคม หรือของแหลมที่พอจะหาได้และตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของผักหรือผลไม้ต่างๆ ให้ขาดแยกออกจากกัน
แต่ในกรณีที่มีผักผลไม้จำนวนมากที่จะต้อง "กัปปิ" ให้นำภาชนะที่ใส่ผักผลไม้ต่างๆ นั้นมาวางชิดติดกัน และกล่าวคำวา "กัปปิ" ในคราวเดียว ก็จะประเคนได้ เช่น เมื่อญาติโยมจะถวายผลไม้ ผักสด ผักลวก ฯลฯ ในคราวเดียวกัน ให้ญาติโยมปฏิบัติดังนี้
1. นำภาชนะที่ใส่ผักผลไม้ทั้งหมดที่จะต้องกล่าวคำ "กัปปิ" มาวางชิดติดกัน
2. พระภิกษุที่จะรับประเคนถามยาติโยมว่า "กัปปิยังกะโรหิ"
3. ให้โยมผู้ที่จะทำการประเคนใช้มีดตัดเปลือกผลไม้เพียงเล็กน้อยให้ขาดออกจากผล หรือถ้าเป็นผักที่สามารถใช้มือเด็ดยอดผักเพียงเล็กน้อยให้ขาดออกจากต้น พร้อมกับกล่าวตอบพระภิกษุว่า "กัปปิยะภันเต"
หมายเหตุ
- การใช้มีดตัดเปลือกไม้หรือใช้มือเด็ดยอดผักนั้น ให้ทำเพียงชิ้นเดียว ไม่ต้องทำทั้งหมด แต่เวลาตัดหรือเด็ดต้องไม่ยกผักหรือผลไม้ขึ้นมาจากภาชนะ ให้วางติดกับผักหรือผลไม้อื่นๆ ที่อยู่ในภาชนะ
- ผลไม้ที่มีเมล็ดอ่อนไม่สามารถนำไปปลูกต่อได้ หรือผักชนิดต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ถ้าทำให้สุกด้วยไฟดีแล้วก็ไม่ต้องกล่าวคำว่า "กัปปิ" อีก สามารถประเคนให้พระภิกษุได้เลย
สำหรับวิธีการนั่งเพื่อประเคนสิ่งของต่างๆ แด่พระภิกษุให้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ที่ศรัทธาญาติโยมควรศึกษา คือ
ผู้ชาย ควรนั่งคุกเข่าโดยให้หัวเข่าห่างจากพระภิกษุประมาณศอกหนึน่งกับคืบหนึ่ง ไม่ให้เข้าใกล้จนเกินไป และเวลาประเคนสิ่งของที่ถูกต้องจริงๆ ให้ยกของขึ้นสูงประมาณแมวสามารถเดินลอดได้และน้อมตัวเข้าไปถวาย ส่วนพระภิกษุก็น้อมรับของที่ญาติโยมถวายให้ถ้วยความเคารพ ศรัทธาญาติโยมก็ต้องเคารพกองบุญของตนเองและพระภิกาก็ต้องเคารพกองบุญของศรัทธาญาติโยมเหมือนกัน ถ้าญาติโยมใช้สองมือยกสิ่งของประเคนให้พระภิกษุ พระภิกษุก็ต้องใช้สองมือรับประเคนสิ่งของจากญาติโยมด้วยเช่นกัน
ภาพจาก //www.kalyanamitra.org/culture/index31.html
ส่วนญาติโยมผู้หญิง ให้นั่งอยู่ในระยะห่างพอสมควร และพระภิกษุต้องใช้ผ้ารับประเคน ไม่ให้สัมผัสต้องตัวกัน เพราะผู้หญิงนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระภิกษุนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นที่น่ารังเกียจอะไร แม้ว่าผู้หญิงจะชอบทำบุญตักบาตร ทำบุญกุศลเก่ง สนใจในพระธรรม แต่ว่าผู้หญิงนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระภิกษุ เหตุฉะนั้นพระภิกษุจึงจำเป็นต้องหาข้อหลีกเลี่ยง เมื่อโยมผู้หญิงจะถวายประเคนสิ่งของต่างๆ ให้กับพระภิกษุ พระภิกษุจึงใช้ผ้ารับประเคน จึงจะเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมและสวยงามด้วย
บัดนี้ ถ้าหากว่าญาติโยมจะถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "การประเคนสิ่งของในระดับที่ต่ำกว่าแมวลอดได้นั้นจะทำได้ไหมพระพุทธเจ้าค่ะ?" พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า "ได้ ก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด แต่คนอื่นดูแล้วไม่สวยงาม"
ถ้าญาติโยมถามต่อไปอีก่วา "ในการประเคนสิ่งของหลายๆ อย่าง ถ้าหากยกสิ่งของต่างๆ มาติดกันแล้วประเคนพร้อมกัน จะทำได้ไหมพระพุทธเจ้าค่ะ?" พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า "ได้ แต่ดูแล้วไม่เรียบร้อย ไม่สวยงาม"
ฯลฯ
ส่วนการประเคนอาหารหม้อใหญ่ที่ญาติโยมไม่สามารถยกประเคนคนเดียวได้ ควรแบ่งออกใส่ภาชนะที่สามารถยกคนเดียวประเคนได้ ไม่ให้สองคนช่วยกันยกประเคน เพราะถ้าหม้อหนักหรือใหญ่จนเกินไป พระภิกษุก็ไม่สามารถยกและรับประเคนรูปเดียวได้เช่นกัน เพราะหม้อนั้นหนักจนเกินไป จะเลื่อนและส่งต่อไปให้แก่พระภิกษุรูปอื่นก็ลำบาก เพราะฉะนั้น ถ้าหม้ออาหารใหญ่มากจึงควรแบ่งอาหารออกใส่ภาชนะอื่นที่พระภิกษุจะสามารถรับประเคนรูปเดียวได้เป็นการดี
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็ดี พระภิกษุก็ดี ตรงไหนที่ดูแล้วสวยงาม อ่อนน้อม ตรงไหนที่ดูแล้วเรียบร้อยดีที่สุด ที่จะเป็นบุญกุศลด้วยความเคารพในคุณงามความดีของตน ทั้งผู้รับและผู้ให้สิ่งของต่างๆ ผู้ให้ก็มีเจนาที่จะให้ ผู้รับก็ต้องมีความเคารพอ่อนน้อมต่อกองบุญกุศลของผู้ที่จะให้ ตรงนั้นแหละดี ดูสวยงามที่สุด ควรที่จะพากันปฏิบัติอย่างนั้น ทั้งพระภิกษุก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ควรจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะนั้นๆ ให้ดีที่สุด
ดังนั้น สรุปได้ว่า การประเคนสิ่งของแด่พระภิกษุ พระพุทธองค์ทรงให้ญาติโยม อุบาสกอุบาสิกาอยู่ห่างจากพระภิกษุประมาณศอกคืบ และให้น้อมตัวเข้ไปยกสิ่งของประเคน พระภิกษุก็ต้องน้อมรับประเคน เมื่อบุคคลเขามองเห็นแล้ว เขาก็มีความเลื่อมใสด้วยว่าดูสวยงามเรียบร้อยดี
ภาพจาก //www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13910
เมื่อกล่าวถึงเรื่องการทำบุญทำกุศล เรื่องการประเคนสิ่งของ รวมทั้งเรื่องการประเคนกาลิกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กาลิกระคนกัน ยาวะกาลิก ยามะกาลิก สัตตาหะกาลิก หรือยาวะชีวิกก็ตาม ควรต้องประเคนทุกอย่าง ตามหลักของพระพุทธศาสนา แม้ของที่นำมาทำบุญจะมากจะน้อยก็ดีนั้น ต้องอยู่ที่เจตนา พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนาหัง ภิกขะเว ปุญญัง วะทามิ" หมายถึง เจตนาเป็นตัวบุญ ไม่ว่าเราจะทำบุญอะไร การเตรียมของมาทำบุญต้องอยู่ที่ใจก่อน บุพเจตนาเบื้องต้นว่าตั้งใจจะนำสิ่งของนี้ไปทำบุญทำกุศล นั่นคือหลักพระศาสนาที่แท้จริง
บัดนี้ เรื่องที่ญาติโยมเตรียมสิ่งของทั้งหลายมาทำบุญทำกุศล เมื่อเราแสงหาของที่จะนำมาทำบุญทำกุศลได้แล้ว และได้นำมาถวาย ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "มุญจะนะเจตนา" คือถวายให้ด้วยความเคารพ ต่อมาเมื่อถวายไปและได้รับพรไปแล้ว เรียกว่า "อัปปะราปะระเจนา" คือ การน้อมระลึกว่าเราได้ถวายอะไรไปแล้วในวัันนี้หรือในอดีตที่ผ่านมาเราได้ทำบุญอะไรบ้าง ได้ทำความดีอะไรบ้างก็ทำให้ใจมีความสุข ถือว่าได้บุญ เพราะบุญก็คือความสุขใจว่าตนเองได้ทำความดี ระลึกถึงเมื่อไหร่ก็มีความสุขอยู่ทุกเมื่อ แ้ม้ว่าเราได้ทำบุญไปนานแล้ว 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีก็ตาม ถ้าเราระลึกถึงความดีของตนขึ้นมาเราก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลา นี้แหละที่เรียกว่า บุญคือความสุขใจ เหตุฉะนั้นการทำบุญเพื่อจะให้ได้บุญอย่างเต็มเปี่ยมก็ต้องอยู่ที่เจตนาของผู้ให้เช่นกัน เราเรียกว่า ตัวจิตใจควบคุมดูแลจิตใจ คือ ตัวจิตใจมีศรัทธาอยากบริจาคจำแนกแจกทาน
สำหรับเอนทรี่นี้ก็เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเอนทรี่หน้าจะมาต่อเนื้อหาในส่วนของปะระมัตถะทานค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,129,285+9146=1,138,431/6887/643
Create Date : 13 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 13 ธันวาคม 2554 6:54:56 น. |
|
29 comments
|
Counter : 31599 Pageviews. |
|
|
|