https://bit.ly/2Lm95Pdhttps://bit.ly/2Mr0AYChttps://bit.ly/2wjE0Xehttps://bit.ly/2BRXJDt
A trench at Lone Pine after the battle, showing Australian and Turkish dead on the parapet.
1st Battalion troops having taken 80 yards of a Turkish trench, waiting near Jacob's Trench
for relief by the 7th Battalion. Photo credit: Australian War Memorial
Photo credit: ArchivesACT/Flickr
Lone Pine at the Australian War Memorial in Canberra. Photo credit: Bidgee/Wikimedia
Lone Pine at Wattle Park, Melbourne. Photo credit: Melburnian/Wikimedia
เรื่องเล่าไร้สาระมีรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ที่ระบุว่า ต้นตาลโตนด มีสายพันธู์มาจากอินเดีย
โดยพ่อค้า นักเดินเรือ นักบวช นำมาปลูกหรือทิ้งให้งอกในพื้นที่
ต่อมา มีการนำไปปลูกขยายพันธุ์มากแถวสุโขทัย เพชรบุรี เขมร
ที่เขมรจะนิยมปลูกต้นตาลโตนดเป็นแนวรั้ว/แนวเขตเมือง
จนมีคำพูดกันเล่นว่า จะดูว่าเป็นเขตเขมรหรือญวน ให้ดูที่ต้นตาล
แต่สายพันธุ์ต้นตาลโตนด ยังไม่มีการนำไปตรวจ DNA อย่างจริงจัง
ที่สงขลา มีอำเภอชื่อ ระโนฎ
ระโนฎ สะกดตามพงศาวดารเมืองสงขลา
โดย พระยาวิเชียรคิรี(ชม) เจ้าเมืองสงขลา
สอบถาม แปฏง มหา บุญเรือง คัชมาย์
ท่านว่ามาจากคำ ตะโนด ตะโหนด
ภาษาเขมรคือ ต้นตาลโตนด
มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ
ในจำนวนนี้มีอยู่ 573 คำ ที่ตรงกับคำยืมเขมรในภาษาไทยมาตรฐาน
และมีอยู่ 394 คำ ที่เป็นคำยืมเขมรที่ปรากฎเฉพาะในภาษาไทยถิ่นใต้
ที่มา
เปรมินทร์ คาระวีสมัยก่อนที่คาบสมุทรจะทิ้งพระ
แถวอำเภอจะทิ้งพระ อำเภอระโนฏ
จะมีการปลูกต้นตาลโตนดจำนวนมาก
นัยว่าเป็นแนวเขตที่ดินของแต่ละคน
ทั้งยังช่วยชักน้ำจากดิน ดูดความชื้นจากอากาศ เป็นร่มเงา
เป็นที่ล่ามวัว ทั้งนำมาใช้สารพัดประโยชน์
และที่นิยมมากที่สุดคือ น้ำตาลเมา หรือ หวาก
ต้องใส่เศษต้นเคี่ยมเล็กน้อย
เพื่อกันบูดและให้มีรสชมแบบ Hop ที่ใส่ในเบียร์
จนมีตำนานเวลาสู่ขอลูกสาว
ระหว่างคนจะทิ้งพระกับคนระโนฎ
ต่างฝ่ายต่างต้องถ่อมตน/ไว้เล่ห์(เหลี่ยม)โดยบอกว่า
ต้นตาลแถวบ้านตนน้อยกว่าบ้านเติน ต้นเดียว
แบบกลัวไม่ได้แต่งงานหรือได้ลูกสาวอีกฝ่ายมาเป็นภริยา
เติน เป็นคำเรียกอีกฝ่าย มี 2 นัยแบบคำไทยโบราณ สู คิง แก มึง เอ็ง
ที่ใช้แบบกันเอง หรือใช้เหยียด(หยาม)อีกฝ่าย)
ยังมีตำนาน สมเด็จวัดพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
ตอนที่ท่านยังเป็นทารก พ่อแม่ต้องไปทำนา
แม่ท่านได้วางท่านนอนหลบแดดที่ใต้ต้นตาล
แล้วขอฝากพระแม่ธรณีและสิ่งศักดิสิทธิ์คุ้มครองท่าน
พอพ่อแม่ท่านไถนาเสร็จกลับไปดูท่าน
ก็เจอทวดงูบ้องหลา(จงอาง) แผ่แม่เบี้ยป้องแดดเหนือศีรษะของท่าน
(ทวด คือ ตัวใหญ่มาก อายุมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก)
พ่อแม่จึงสวดอ้อนวอนขอชีวิตท่าน
ทวดงูจึงคายลูกแก้วดวงหนึ่งไว้ที่พื้นก่อนเลื้อยหายไป
ทุกวันนี้ ลูกแก้วในตำนานยังอยู่ที่วัดพะโคะ
แต่ถูกผู้ชายบ้าคนหนึ่งลักขโมยไปทุบแตก
จนต้องรวบรวมขึ้นเป็นลูกแก้วแล้วเก็บรักษาไว้
ต่อมาถึงยุคกุ้งกินโหนด
คือ การเลี้ยงกุ้งกุลาดำแล้วขาดทุน
จนต้องขายที่ขายทาง
โฉนดที่ดินถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
ที่ระโนฏก็มีการรื้อที่นาเพื่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำกันมาก
จนที่นาต้นตาลโตนดที่ใกล้กับนากุ้งกุดาดำ
ค่อย ๆ ทะยอยตายซากเพราะน้ำเค็ม
ยิ่งตอนที่มีนายทุนใหญ่อังกฤษไปร่วมลงทุน
สร้าง Jetty คลองชักน้ำจากทะเลรวม 10 ตัว
เพื่อนำน้ำทะเลเข้าไปเลี้ยงกุ้งกุดาดำ
ยิ่งมีการขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำ
ผลของการขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำ
มีเครือข่ายและเกษตรกรร่วมวงศ์ไพบูลย์หลายพันนาย
ที่นาเดิมกลายเป็นนากุ้งกุลาดำหลายพันไร่
จนต่อมามีมหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นจนเป็นตำนาน
ผมยังเคยไปดูตัว Jetty และรับฟังตำนานคราวนั้น
ผลของการเลี้ยงกุ้งกุลาดำจำนวนมากครานั้น
ทำให้ต้นตาลโตนดตายไปเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งที่นาใกล้เคียงเสียหาย
ที่ดินเลี้ยงกุ้งกุลาดำเสียหาย/ฟื้นฟูยากมาก
แม้ว่าจะมีการปลูกปาล์มน้ำมันในที่ดินที่เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
แต่ต้องยกร่องและปรับปรุงคุณภาพดินมาก เพราะดินเค็ม
ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/2BGNpxJ