|
สตรีนกขมิ้น : ภัยพิบัติช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
1. คนงานในโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ National Shell Filling Factory No.6, ที่เมือง Chilwell แคว้น Nottinghamshire ปี 1917. Photo credit: Imperial War Museum
บทบาทสตรีที่ร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเรื่องราวที่รู้จักกันดีและน่าชื่นชม เพราะในขณะที่บุรุษต้องมุ่งสู่แนวหน้าที่ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เพื่อทำการสู้รบกับยันกองทัพปรัสเซีย(เยอรมันนี)
Birmingham University ได้แปรสภาพเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีนางพยาบาลหลายร้อยคนดูแลคนเจ็บมากกว่า 64,000 ราย ตำแหน่งงานต่าง ๆ ภายในโรงงานก็ขาดแคลนกำลังแรงงาน ทำให้สตรีต้องเข้าไปทำงานทดแทน และทำงานในโรงงานอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้โรงงานแต่ละแห่งเต็มไปด้วยสตรี
สตรีทำงานในสายการผลิต สตรีขับรถบรรทุก สตรีเป็นนางพยาบาล สตรีทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันการโจมตีทางอากาศ สตรีทำงานด้านการสื่อสาร สตรีทำหน้าที่ประมวลข่าวกรอง และทำหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายร้อยหน้าที่ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมากในการทำสงคราม
แต่อีกบทบาทหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งของสตรี คือ เพื่อให้แน่ใจว่าทหารในแนวหน้ามีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงพอ
ตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มปะทุขึ้นมา อังกฤษประสบปัญหาอย่างมากในการผลิตอาวุธและกระสุนจำนวนมาก ตามที่กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ต้องการ หลังจากที่ฝ่ายค้านในรัฐสภาได้อภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาล และสื่อมวลชนได้กระจายข่าวเรื่อง Shell crises of 1915 รัฐบาลอังกฤษจึงได้ประกาศพระราชบัญญัติ Munitions of War Act 1915 กระทรวงยุทโธปกรณ์ ที่มีการตั้งขึ้นมาใหม่ David Lloyd George เป็นรัฐมนตรีคนแรก กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์มีผลบังคับใช้ทันที ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลของรัฐบาล และใช้บังคับแทนกฎหมาย/กฎระเบียบของโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากที่สุด
บริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งโรงงานผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ของรัฐถูกตั้งขึ้นมา สตรีถูกเรียกให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าทำงาน แรงงานฝีมือได้รับค่าจ้างอัตราเช่นเดียวกับผู้ชาย เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้ว มีจำนวนสถานประกอบการ ของเอกชน 4,285 แห่งที่ควบคุมโดยรัฐ และของรัฐจัดตั้งเอง 103 แห่ง โรงงานเหล่านี้กระจายไปทั่วทั้งอังกฤษ โดยเฉพาะในลอนดอนเขตตะวันออกและกลาสโกว์ โดยมีสตรีทำงานอยู่ถึงเกือบ 1,000,000 คน
ค่าจ้างแรงงาน ชั่วโมงการทำงาน และเงื่อนไขการทำงาน ได้รับการควบคุมตามกฎหมายฉบับใหม่ทั้งหมด การนัดหยุดงานเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด คนงานทุกคนถูกห้ามไม่ให้ลาออกจากงาน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายจ้าง พระราชบัญญัตินี้ยังบังคับให้ใช้กับโรงงานที่จ้างสตรีด้วย เพราะผลจากการขาดแคลนชายฉกรรจ์ซึ่งส่วนใหญ่ต้องไปทำสงคราม
ในปี 1915 รัฐบาลไม่เพียงแต่สร้างโรงงาน ยังสร้างชุมชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ Gretna และ Eastriggs บัานพักและแฟลตถูกสร้างขึ้นสำหรับพนักงานและคู่สมรส ซึ่งมีมาตรฐานสูงจนใช้งานได้จนถึงทุกวันนี้ ใกล้กับโรงงานมีการสร้างค่ายทหารที่เลียนแบบกระท่อม 85 หลัง เป็นร้านค้าสวัสดิการของสตรีทำงาน เช่น ร้านอาหาร ร้านขนมปัง อาคารสันทนาการ โบสถ์ และรางรถไฟที่สร้างขึ้นใหม่ระยะทางยาว 9 ไมล์
คนงานสตรีชาวไอริชมากกว่า 30,000 คนที่นำเข้ามา ส่วนใหญ่ทำงานก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 1916 ซึ่งเป็นผลงงานที่น่าทึ่งมากในการก่อสร้าง โดยรัฐบาลใช้จ่ายไป 5 ล้านปอนด์
ในปี 1917 โรงงาน HM Factory ที่ Gretna ผลิตชนวนระเบิดได้ 800 ตัน/สัปดาห์ มากกว่าทุกโรงงานที่ผลิตชนวนระเบิดรวมกัน
ในขณะที่สตรีทำงานในสายการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างต้องแบกรับกับความกล้าหาญในการทำงาน เพราะมีภยันตรายที่คอยคุกคามอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ มักจะตกเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีทางอากาศของศัตรู ด้วยการใช้เครื่องบินทำการทิ้งระเบิดเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการระเบิดขึ้นเองภายในโรงงาน
Nancy Evans รำลึกถึงตอนทำงานที่โรงงาน Rotherwas ใน Herefordshire " เราต่างเหมือนนกขมิ้น เราต่างมีสีเหลืองตามผิวหนัง ผมก็เปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์ ยกเว้นตรงกลางที่ผมยังเป็นสีเดิม "
Dr Helen McCartney ที่ King's College London ระบุว่า คนงานสตรีบางคนคลอดบุตรสีเหลืองสดใส
Gladys Sangster ซึ่งแม่เธอทำงานที่โรงงาน National Filling Factory Number 9 ใกล้ Banbury, Oxford คือ หนึ่งในนั้น ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า " ฉันเกิดตอนช่วงมีสงคราม และผิวของฉันเป็นสีเหลือง นั่นทำให้พวกเขาเรียกพวกเราว่า ทารกนกขมิ้น Canary Babies ทารกเกือบทุกคนที่เกิดมามีสีเหลือง แต่ตอนโตขึ้นก็จางหายไป แม่ฉันบอกว่าเธอได้รับมันมาเป็นของขวัญ มันเคยเกิดขึ้นและนั่นคือเรื่องราวคราก่อน."
Amy Dale นักวิจัยให้สัมภาษณ์กับ BBC " ในโรงงานเหล่านี้ พวกเธอจะได้รับปลอกกระสุน/ปลอกลูกระเบิด แล้วเติมผงเคมีที่จุดฉชนวน/ผงระเบิดลงไป พร้อมกับปิดปลอกระเบิดด้านบน ด้วยการเคาะมันลงไป ถ้าเคาะแรงเกินไป เกิดผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะเกิดการระเบิดขึ้นมาทันที
เรื่องแบบนี้ มันเคยเกิดขึ้นกับสตรีคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ในเวลานั้น และทำให้เธอต้องตาบอดและสูญเสียมือทั้งสองข้าง "
2. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ 2 รายกำลังยืนทำงานข้างปลอกลูกระเบิด ที่ National Shell Filling Factory No.6 เมือง Chillwell แคว้น Nottinghamshire ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 Photo credit: Imperial War Museum
ทั้งนี้ ยังมีคำสั่งห้ามใช้ผ้าไหม เนื่องจากวัสดุเหล่านี้จะสร้างไฟฟ้าสถิตย์ สามารถสร้างประกายไฟที่อาจทำให้เกิดการระเบิดได้ สตรีทุกคนจะถูกตรวจค้นและคัดกรองก่อนเข้าทำงานทุกวัน ทุกคนจะต้องฝากเสื้อผ้าต้องห้าม ข้าวของเครื่องใช้ที่มีโลหะไว้ก่อนเข้าทำงาน รวมทั้งยกทรงที่มีเข็มกลัดเป็นโลหะและปิ่นปักผมโลหะ ถ้าเกิดตรวจพบจะถูกปรับเงิน 6 เพนนี
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการระเบิดกลายเป็นเรื่องปกติ ทำให้คนงานสตรีตายหรือบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง มีการระเบิดเกิดขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงนี้ ทำให้มีคนตายมากกว่า 300 คนและบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ทั้งนี้ อันตรายในการทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ ยังมีอีกอย่างคือ การได้รับสารเคมีที่เป็นพิษอย่างต่อเนื่อง
สตรีหลายคนต้องทำงานอยู่กับ Trinitrotoluene (TNT) ซึ่งใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดและชนวนระเบิด เพื่อใช้ในการทำลูกกระสุนปืนและลูกระเบิด เมื่อชนวนถูกจุดให้ลุกไหม้ขึ้นมา ก็จะปลดปล่อยก๊าซที่ขยายตัว ทำหน้าที่ขับเคลื่อนหัวกระสุนปืน หรือทำให้ปลอกหุ้มระเบิดฉีกขาดออกจากกัน
การผลิตทั้ง TNT และ ชนวนจุดระเบิด ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับสารกัดกร่อน เช่น กรดซัลฟิวริก sulfuric และกรดไนตริก nitric ควันจากกรดเหล่านี้ มีผลทำให้ผิวหนังและผม ของสตรีหลาย ๆ คน กลายเป็นสีเหลือง ทำให้พวกเธอได้ชื่อเล่นว่า สตรีนกขมิ้น Canary Girls
3. กรรมกรสตรีทำงานที่ห้อง Finishing Room, No. 14 National Filling Factory Hereford. Photo credit: Imperial War Museum
ที่โรงงาน HM Factory ในเมือง Gretna ทางตอนใต้ของสกอตแลนด์ เป็นโรงงานผลิตชนวนระเบิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น มีการจ้างตรีทำงานแบบนี้มากกว่า 12,000 ราย ทำให้พวกเธอมีชื่อเล่นว่า Female munitionettes สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ พวกเธอมีหน้าที่กวนสารเคมีด้วยมือเปล่าในถังขนาดใหญ่ การทำงานที่เสี่ยงตายอย่างยิ่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า ข้าวโอ้ตปีศาจ Devil's Porridge โดย Sir Arthur Conan Doyle ผู้เขียนนวนิยายชุด Sherlock Holmes ท่านที่มีชื่อเสียงแล้วตอนที่ได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 ท่านรู้สึกประทับใจในการทำงานของพวกสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง " ที่นี่อาจเป็นสถานที่โดดเด่นที่สุดในโลก เพราะกองทัพไม่เพียงแต่ให้อุปกรณ์ดำรงชีพที่จำเป็นเท่านั้น ภายในชุมชนยังมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีโรงหนังและสถานที่เต้นรำ
บรรดาสาว ๆ สวมชุดสุกากี ต่างยิ้มแย้ม ขณะที่กวนสารเคมีด้วยมือของพวกเธอ โดยไม่สำนึกถึงความจริงที่ว่า พวกเธออาจจะถูกระเบิดกลายเป็นจุลได้ในทันที หากมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นมา "
Rebecca West นักเขียนนวนิยายได้เขียนว่า " ชีวิตข้างในไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน บรรดาสาวสวยต่างต้องอยู่ภายในค่ายทหาร ที่อยู่กันเหมือนอยู่ในรวงผึ้งและมีทหารยามลาดตระเวน ความเพลิดเพลินและสิ่งอำนวยความสะดวกของชุมชนก็ถูกจำกัด ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน บางครั้งก็ต้องทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน
วันว่างของพวกเธอ คือ วันอาทิตย์เท่านั้น และการเดินทางสาธารณะก็ถูกจำกัด รถไฟที่จะไปยัง Carlisle ก็ถูกยกเลิก เพราะมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นั่น แม้การเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวก็ยังเป็นปัญหา
พวกเธอต่างพักอาศัยอยู่ภายในกระท่อม ที่มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเฉพาะสร้างจากไม้ ส่วนมากมักจะนั่งและนอนอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่มีผ้าม่าน แต่ไม่มีประตู มีเสียงบ่นถึงความหนาวเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูหนาวที่หนาวจัดในปี 1917
รายได้ของพวกเธออยู่ระหว่าง 30 ชิลลิงและ 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (20 ชิลลิงเป็น 1 ปอนด์ ถ้าของไทย 4.-บาทเป็น 1 ตำลึง 20.-ตำลึงเป็น 1 ชั่ง) แน่นอนว่าสูงกว่าค่าจ้างเดิมที่พวกเธอเคยรับมาก่อน แต่ก็มีการหักค่าใช้จ่ายรายการสำคัญเป็นค่าที่พักและอาหาร "
อันที่จริง ยังมีอันตรายต่อสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งในการทำงานในโรงงาน TNT สีเหลืองที่ดูเหมือนว่าเป็นอันตรายเพียงเล็กน้อย และอาการสีเหลืองที่เกิดขึ้นก็จะจางหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์ บางครั้งคนงานสตรีก็นอนหลับภายในโรงงาน และตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่ TNT มีผลเป็นพิษต่อตับ และการได้รับสารนี้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางและโรคดีซ่าน ซึ่งทำให้ร่างกายมีสีเหลืองแตกต่างกัน มีคนไข้ที่เป็นโรคกระเพาะจำนวนราว 400 ราย มีการบันทึกไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีผู้เสียชีวิต 100 ราย คนงานบางรายมีรายงานทางการแพทย์ว่า เกิดอาการสลายตัวของกระดูกในร่างกายในภายหลัง ในขณะที่คนอื่น ๆ มีปัญหาทางช่องคอ และโรคผิวหนังที่เกิดจากการย้อมสีของ TNT สตรีบางรายยังให้กำเนิดทารกสีเหลืองสดใส ทารกเหล่านี้เรียกว่า เด็กนกขมิ้น Canary Babies
ทุกวันนี้ มีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใกล้ Gretna เพื่อสำรวจประวัติความเป็นมาของ HM Factory และเน้นบทบาทผู้หญิงที่มีส่วนร่วมในสงคราม ที่เรียกว่า The Devils Porridge Museum
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2OdDTUf https://bit.ly/2OI5del https://bbc.in/2LSdGOq
4. การกวนข้าวโอ๊ตปีศาจ Devils Porridge ที่ HM Factory Gretna. Photo credit: the Devils Porridge Museum, Gretna.
5. สตรีกำลังเตรียมสาร Nitre ที่โรงงานผลิตอาวุธ Gretna Photo credit: Science & Society Picture Librar/SSPL
6. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ทำงานเกี่ยวกับการผลิตลูกระเบิด แผนกหนึ่งขอโรงงาน Vickers Limited พฤษภาคม 1917. Photo credit: Imperial War Museum
7. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังปรับแต่งลูกระเบิดขนาด 4.5 นิ้วที่โรงงานในเขต Birmingham มีนาคม 1918. Photo credit: Imperial War Museum
8. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังเจาะรูลูกระเบิดขว้างในโรงงานแห่งหนึ่ง Photo credit: Imperial War Museum
9. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังตรวจสอบลูกระเบิดขว้างในโรงงานแห่งหนึ่ง Photo credit: Imperial War Museum
10. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์ทำงานในโรงงานที่ปิดลับ Photo credit: Imperial War Museum
11. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังระบายสีลูกระเบิดในโรงงานที่ปิดลับ Photo credit: Imperial War Museum
12. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังช่วยกันขนลูกระเบิดที่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ทางการแล้ว มิถุนายน 1918. Photo credit: Imperial War Museum
13. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังระบายสีลูกระเบิดในโรงงาน มิถุนายน 1918. Photo credit: Imperial War Museum
14. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังคัดแยกอุปกรณ์ระเบิดในโรงงานปิดลับ ช่วงเดือนมีนาคม 1918 Photo credit: Imperial War Museum
15. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังขนถ่ายจัดเรียงปลอกระเบิด Howitzer ขนาด 6 นิ้ว ที่โรงงานอาวุทธยุทธภัณฑ์ Chilwell ใน Nottinghamshire, UK. กรกฎาคม 1917 Photo credit: Imperial War Museum
16. สตรีอาวุธยุทโธปกรณ์รวมตัวกันที่ Recreation Room ทึ่โรงงานอาวุธยุทภัณฑ์ Cubitts มีนาคม 1918 Photo credit: Imperial War Museum
Turra Coo แม่วัวที่ทำให้ทั้งเมืองจลาจล
David Lloyd George เป็นชาว Welsh Leeks คือ สัญลักษณ์ประจำชาติ Welsh ท่านคือผู้ที่เสนอออกกฎหมายประกันสังคมแห่งชาติ ทำให้เกิดการจราจลเพราะแม่วัวชื่อ Coo ตัวเดียว มีการประท้วงด้วยคำว่า จากฟาร์ม Lendrum to the Leeks ด้วยการเขียนที่ลำตัวแม่วัว Coo ก่อนที่จะเกิดจลาจลในเวลาต่อมา จนคำว่า Turra Coo คือ การประท้วงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล
Create Date : 06 สิงหาคม 2561 |
Last Update : 7 สิงหาคม 2561 21:40:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1642 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สงขลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]
|
เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา
เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง
ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้
ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน
|
|
|
|
|
|
|
|