ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2561
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 สิงหาคม 2561
 
All Blogs
 
ต้นแอปเปิ้ลของ Sir Issac Newton






ต้นแอปเปิ้ลที่มีชื่อเสียงมากว่า ลูกแอปเปิ้ลหล่นใส่ศีรษะของท่าน
ที่ Woolsthorpe Manor ใน Woolsthorpe-by-Colsterworth
ใน Lincolnshire England. Photo credit: Dun.can/Flickr




ตำนานเรื่องราวของ Sir Isaac Newton
คือ เกร็ดประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังมาก
ที่ในช่วงวัยรุ่น Isaac Newton กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลต้นหนึ่งที่สวนหลังบ้าน
แล้วผลแอปเปิ้ลลูกหนึ่งได้หล่นใส่ศีรษะของท่าน
และแล้วในบัดดลได้จุดประกายความคิดที่แสนชาญฉลาดของท่าน
ทำให้ท่านค้นพบทฤษฏีแรงโน้มถ่วง
ตำนานเรื่องราวนี้มักจะบอกเล่าสืบต่อกันมา
แต่อย่างน้อยก็มีข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

มีการจดบันทึกครั้งแรกเกี่ยวกับเหตุการณ์เรื่องนี้
ในปี ค.ศ. 1726 ซึ่งเป็นปีที่ Sir Issac Newton ถึงแก่กรรม
ลูกแอปเปิ้ลหล่นใส่ มีในบันทึกส่วนตัวของ John Conduitt
ที่เคยทำงานเป็นผู้ช่วย Sir Issac Newton ที่ Royal Mint
และท่านยังได้สมรสกับ Catherine Barton หลานสาวของ Sir Issac Newton
หลานสาวที่ดูแล Sir Issac Newton ตั้งแต่วัยหนุ่มจนตราบวาระสุดท้ายของชีวิต

John Conduitt ได้บันทึกว่า
" ท่านคิดเกี่ยวกับระบบของแรงโน้มถ่วงโดยเหตุบังเอิญ
ตอนที่ท่านสังเกตเห็นผลแอปเปิ้ลลูกหนึ่งหล่นจากต้นแอปเปิ้ล "








ในปีค.ศ. 1666 Sir Issac Newton ต้องพักการเรียนที่มหาวิทยาลัย Cambridge
เพราะในช่วงนั้นเกิดกาฬโรคระบาดครั้งรุนแรงในอังกฤษ
ท่านกลับมาพักอาศัยอยู่กับแม่ที่ Lincolnshire
ขณะที่ท่านกำลังเดินเลี้ยวลดภายในสวน
ทำให้ท่านคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติของแรงโน้มถ่วง
ที่ดึงผลแอปเปิ้ลหล่นจากต้นลงสู่พื้นดิน
ซึ่งคงไม่ได้จำกัดเพียงแค่ระยะทางภายในโลกเท่านั้น
แต่แรงดังกล่าวน่าจะไปไกลกว่าที่คนเราเคยคิดไว้เช่นกัน
ทำไมไม่ไปไกลถึงดวงจันทร์ ตามที่ท่านพูดกับตนเอง
ซึ่งควรจะต้องมีอิทธิพลกับการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์
และบางทีอาจจะช่วยรักษาวงโคจรของดวงจันทร์ไว้ด้วย
ทำให้ท่านต้องคิดคำนวณเกี่ยวกับผลลัพธ์
ของสมมุติฐานดังกล่าวที่ท่านได้จินตนาการไว้








ดูเหมือนว่า Sir Issac Newton ประทับใจเกี่ยวกับต้นแอปเปิ้ลมาก
เพราะท่านมักจะพูดเรื่องการค้นพบของท่านกับต้นแอปเปิ้ล
ให้เพื่อนผองน้องพี่ของท่านหลายคนได้ฟัง เช่น
Voltaire (นักปรัชญาและนักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศส)
John Conduitt (ผู้ช่วยของท่านที่ Royal Mint) Catherine Barton (หลานสาว)
William Stewkeley (เพื่อนและนักสะสมของเก่า)
Christopher Dawson (นักศึกษาที่ Cambridge)


ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตของ Sir Issac Newton
ที่เขียนขึ้นโดย William Stukeley ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1752
ได้เขียนเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ Sir Issac Newton ว่า
" เราเดินเข้าไปในสวน นั่งดื่มน้ำชากันใต้ร่มเงาหมู่ต้นแอปเปิ้ล
ซึ่งมีพวกเราเพียงสองคนเท่านั้น
ระหว่างการสนทนา ท่านได้บอกกับผมว่า
ท่านเคยอยู่ภายใต้สถานะการณ์แบบเดียวกัน
ตอนที่เหตุการณ์ครั้งแรก
ที่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง
ปรากฎขึ้นในใจของท่านว่า
" ทำไมลูกแอปเปิ้ลจึงหล่นลงตั้งฉากกับพื้นดิน "
ท่านคิดกับตนเองถึงสาเหตุที่ลูกแอปเปิ้ลหล่นลงมา
ตอนที่ท่านนั่งลงแล้วอยู่ในอารมณ์ครุ่นคิดและวิเคราะห์

ทำไมมันไม่หล่นไปด้านข้าง หรือบินขึ้นไปข้างบน
ทำไมถึงหล่นตรงดิ่งลงบนพื้นดิน
แน่นอนแล้ว เหตุผลคือ โลกดึงมันลงมา
มันจะต้องมีแรงดึงดูดที่สำคัญในเรื่องนี้
และบทสรุปของแรงดึงดูดคือความสำคัญของโลก
จะต้องมาจากใจกลางของโลก
ไม่ใช่ที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก

ดังนั้น ลูกแอปเปิ้ลจึงหล่นตรงลงมาในแนวดิ่ง
หรือตรงเข้าใจกลางของโลก
ถ้าเรื่องสำคัญคือแรงดึงดูดหลัก
มันจะต้องเป็นสัดส่วนที่สมมาตรซึ่งกันและกัน
ลูกแอปเปิ้ลดึงดูดโลก เช่นเดียวกับ โลกดึงดูดลูกแอปเปิ้ล "


ในปี ค.ศ. 1666 ที่ท่านค้นพบเรื่องนี้
ท่านกำลังพักอยู่ที่ Woolsthorpe Manor ใกล้กับ Grantham ใน Lincolnshire
Woolsthorpe Manor คือ สถานที่เกิดและเป็นบ้านแม่ของครอบครัว Sir Isaac Newton
ณ ที่แห่งนี้ ท่านได้ค้นพบหลักการวิทยาศาสตร์ที่สร้างชื่อเสียงอย่างมาก
ในเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับแสงและสายตาของมนุษย์




แท่งแก้วฐานสามเหลี่ยมที่ใช้ทดสอบ Spcetum ของแสง



แม้ว่า Issac Newton จะไม่ได้ระบุสถานที่ลูกแอปเปิ้ลหล่นลงมา
แต่ก็ยังมีต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งยังเติบโตอยู่ในสวน Woolsthorpe Manor
ซึ่งสันนิษฐานว่า นี่คือต้นแอปเปิ้ลที่มาของตำนานเรื่องราวครั้งสำคัญ


ตั้งแต่ปีค.ศ. 1750 แอปเปิ้ลต้นนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
โดยเจ้าของบ้าน Woolsthorpe Manor


ในปีค.ศ. 1816 พายุได้พัดจนต้นแอปเปิ้ลโค่นลงมา
แต่ลำต้นหลักและรากยังไม่เสียหายมากนัก จึงฟื้นตัวและเติบโตได้อีกครั้ง
แอปเปิ้ลต้นนี้ตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ National Trust


มีการตอนกิ่งต้นแอปเปิ้ล Newton
เพื่อแจกจ่ายไปปลูกกันหลายแห่ง/หลายประเทศ
เช่น ที่สวน Physics Department ใน University of York
ด้านนอกประตูใหญ่ของ Trinity College มหาวิทยาลัย Cambridge
ด้านล่างห้องพักที่ Issac Newton เคยพักตอนยังเรียนอยู่ที่นั่น
ที่ Massachusetts Institute of Technology สหรัฐอเมริกา
ที่ Bariloche Institute ใน Bariloche อาร์เจนติน่า
ที่ East Malling Research Station, UK
ที่ The Botanical Gardens in Kew, UK
ที่ The gardens of Hatfield House, UK
ที่ Hertfordshire, UK (21 miles north of London)
ที่ The Cambridge Botanical Gardens, UK
ที่ The Fellow’s Garden at Queen’s College, Cambridge, UK
ที่ The National Physical Laboratory, Teddington, UK
ที่ National Institute of Standards and Technology, Washington DC, USA
ที่ The Dominion Physical Laboratory, New Zealand




ไอแซก นิวตัน




เรียบเรียง/ที่มา


https://bit.ly/2vRJ84z
https://goo.gl/tVB9C8
https://goo.gl/6Ynevu
https://goo.gl/Qtq5Wb






Woolsthorpe Manor Photo credit: Mike Fay/Flickr



สายพันธุ์ต้นแอปเปิ้ล Newton ที่ Trinity College Cambridge Photo credit: Sam Rae/Flickr



ป้ายสายพันธุ์ต้นแอปเปิ้ล Newton ที่ Massachusetts Institute of Technology USA Photo credit: Mathieu Thouvenin/Flickr



สายพันธุ์ต้นแอปเปิ้ล Newton ที่ Goobang New South Wales Australia Photo credit: Corrie Barklimore/Flickr



Photo credit: Andrew Fogg/Flickr



สายพันธุ์ต้นแอปเปิ้ล Newton ที่ Teddington London England Photo credit: John Blower/Flickr



สายพันธุ์ต้นแอปเปิ้ล Newton ที่ Bariloche Institute ใน Bariloche Argentina









Charles Turnor เป็นเจ้าของ Woolsthorpe Manor
และได้บริจาคภาพสะสม Collectanea Newtoniana (compiled 1837-) ให้กับชุมชน Society
เป็นภาพสเก็ตการหักโค่นลงของต้นแอปเปิ้ลโดย Thomas Howison
คาดว่าเขียนขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1820
ซึ่งเจ้าของบ้านในตอนนั้นคือ George Rowe (1796-1864)
สังเกตจะเห็นว่ามีต้นแอปเปิ้ลอยู่ที่ข้างบ้าน
และภาพต้นแอปเปิ้ลที่หักโค่นลง
แต่ฟื้นตัวและเติบโตขึ้นในเวลาต่อมาที่ใช้เวลาร่วม 20 ปี











ต้นแอปเปิ้ลที่สวน Botanic Gardens ใน Cambridge ตอนกิ่งมาจากต้นแอปเปิ้ล
ในสวนของ Isaac Newton ที่ Woolsthorpe Manor
คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นสายพันธุ์แอปเปิ้ลแดง


Flower of Kent คือ แอปเปิ้ลเขียวลูกเล็กเนื้อแน่น
ที่มีตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับ Sir Isaac Newton
ได้เห็นลูกแอปเปิ้ลหล่นลงจากต้นนี้
สร้างแรงบันดาลใจให้ท่านสร้างทฤษฏีแรงโน้มถ่วง
แอปเปิ้ลพันธุ์นี้ผลคล้าย ลูกแพร์ มีนวลแป้ง และเปรี้ยว
รสชาติและคุณภาพจัดว่าไม่เป็นที่ต้องการของตลาดในทุกวันนี้
คาดว่ามีต้นกำเนิดจาก Kent England

มีการพัฒนาสายพันธุ์จนปลูกกันเป็นเชิงพาณิชย์
แต่ไม่ใช่มาจากต้นตอแอปเปิ้ล Newton
ขยายสายพันธุ์จากต้นตอ East Malling ใน Kent เพียงต้นเดียว
ยังมีต้นพันธุ์แอปเปิ้ลนี้ปลูกอยู่ที่ President's Garden ใน MIT
ซึ่งมีคนนิยมปลูกและขายกันมากที่
Antique Apple Orchard Inc ใน Sweet Home รัฐ Oregon สหรัฐอเมริกา















เรื่องเล่าไร้สาระ





Credit : สมาชิกหมายเลข 1382666




Sir Issac Newton เคยติดดอย/เจ๊งกับหุ้น จนมีวาทกรรมว่า
ผมคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้
แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์ได้


โดยความผิดพลาดในครั้งนั้นเกิดขึ้น
เมื่อท่านเข้าสู่ตลาดหุ้น ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1720
แต่บางคนว่า ท่านน่าจะเล่นฟิวเจอรส์ Futures มากกว่าหุ้น
เพราะเป็นการถือสัญญา เรือที่ไปค้าขาย/ขนเครื่องเทศจากตะวันออกมาขาย
ต้องรอกันนานกว่าจะเรือเข้าฝั่ง ทำให้บางคนขายใบสัญญาล่วงหน้า
และยังมีการปั่นหุ้นด้วยในช่วงนั้น แถมยังมีการปั่นราคาดอกทิวลิป
ซึ่งแทบไม่ต่างกับการปั่นหุ้น จนทำให้จากเศรษฐีกลายเป็นคนเคยรวย
จากยาจกกลายเป็นเศรษฐี เพราะทิ้งของทัน


แน่นอนทุกคนคาดหวังว่าอัจฉริยะอย่าง Sir Issac Newton
จะต้องสามารถคำนวณทุกความผันผวน อ่านเกมขาด และโกยเงินได้มหาศาล
ขอเพียงหุ้นทะยานขึ้นไม่หยุด รับรองยังไงก็รวยเละแน่
วิธีจะรวยเร็วเท่านี้แทบไม่มีอีกแล้ว
ซึ่งตอนนั้นท่านได้เข้าไปถือหุ้นของ South Sea Company
ซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติ กองเรือพาณิชย์นำเข้าส่งออกสินค้า
ที่ถือว่าเป็นหุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในประเทศอังกฤษในเวลานั้น


แต่แล้วตลาดก็ผันผวนหนัก และท่านก็ต้องสูญเงินไปกว่า 7,000 ปอนด์
ถือเป็นเงินมหาศาลในสมัยนั้น แต่แทนที่จะเข็ดหลาบ
Sir Issac Newton ก็โดนความโลภ อยากรวยทางลัด เล่นงานอีกครั้ง
พร้อมกับเทหน้าตักเป็นเงินกว่า 20,000 ปอนด์
ลงในตลาดหุ้นเพื่อช้อนซื้อหุ้นเฉลี่ยต้นทุนจนช้อนหัก


แน่นอนว่า ท่านเจ๊งไม่เป็นท่า
ซึ่งถ้าเทียบเป็นค่าเงินในยุคปี 2002-2003
เงิน 20,000 ปอนด์จะมีมูลค่าราว ๆ 108,063,000 บาท
คนในอดีต การที่จะมีเงินเยอะขนาดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
และต้องเป็นบุคคลระดับสูงและมีรายได้จำนวนมาก






Sir Issac Newton น่าจะมีรายได้จากการเป็นราชบัณฑิต/อาจารย์
และการตีพิมพ์หนังสือขายในยุคนั้น
ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่นิยมกันมากในยุโรป
หนังสือทุกเล่มท่านเขียนเป็นภาษาละติน
เพราะยุคนั้นคนรู้หนังสือในยุโรปจะต้องรู้ภาษาละติน
ทั้ง ๆ ที่การตีพิมพ์หนังสือภาษาอังกฤษขายก็เริ่มมีมากแล้ว
กับมีนัยว่า ท่านไม่ได้เขียนให้คนโง่อ่าน
เพราะหนังสือของท่าน คนอ่านต้องมีความรู้ด้านคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์
รวมทั้งหนังสือของท่านหักล้างความเชื่อดั้งเดิมหลายอย่าง
ที่ขัดกับการสอนศาสนาคริสต์ของพวกบาทหลวงในยุคนั้น


กอปรกับในยุคนั้นศาสนจักรของพระสันตปาปา
ยังทรงอำนาจและอิทธิพลในยุโรป
อาจจะเป็นข้ออ้างในการคว่ำบาตรท่าน
โดยกลุ่มบาทหลวงคาทอลิคสุดโต่ง
ที่มักจะอ้างว่าเป็นหนังสือต้องห้าม
แบบเดียวกับหนังสือของ Galileo Galilei กับอีกหลายท่าน
เพิ่งจะมีคำขอโทษ Galileo จากสำนักวาติกันและยกเลิกคำสั่งนี้แล้ว


ในไทยเคยมีตำนานพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
เคยทักท้วง ศาสตราจารย์ รตท.มหาแสง มนวิฑูร ว่า
" หนังสือของท่านมหาอ่านยากจัง "
ท่านมหาแสงเลยศอกกลับว่า
" ผมไม่ได้เขียนให้คนโง่อ่าน "
เล่นเอาท่านเคืองไปนานหลายวันทีเดียว
ก่อนที่จะกลับมาคืนดีกันแบบปราชญ์ย่อมรู้ใจปราชญ์


ซึ่งหลังจากผ่านความโลภที่แสนเจ็บช้ำน้ำใจ
Sir Issac Newton ได้โกรธจัดถึงขั้นสั่งห้ามเด็ดขาดว่า
ใครที่จะมาคุยกับท่าน ห้ามพูดคำว่า South Sea
ให้ได้ยินเป็นอันขาดตราบที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ซึ่งความเจ็บปวดครั้งนั้นได้ทำให้สร้างวาทกรรมข้างต้น


บทเรียนเล็กๆ นี้แสดงให้เห็นว่า Sir Issac Newton ก็ไม่ใช่นักลงทุนที่ฉลาด
เพราะท่านปล่อยให้อารมณ์นำและถูกชักนำด้วยความไม่มีเหตุผลของฝูงชน


หรืออย่างที่ Benjamin Graham เคยกล่าวไว้ว่า
จริง ๆ แล้วปัญหาใหญ่ของนักลงทุน
และศัตรูที่ร้ายกาจคือตัวของนักลงทุนเอง


Benjamin Graham คือ อาจารย์และนักลงทุนที่สอน
Warren Buffett ในการเล่นหุ้นแบบ VI (Value Investor)


Credit : ยิ้มแล้วโลกสดใด




Credit : endophine










ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กเกรียนไทยโพสต์ข้อความว่า
ทำไมลูกทุเรียนจึงไม่หล่นใส่หัวไอแซก นิวตัน
ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งเรียน/ปวดหัวกับวิชาแคลคูลัส
แล้วมีคนมาดัดแปลงเป็นการ์ตูนล้อเลียน








เมืองไทยก็มีการขยายพันธุ์ต้นไม้จากต้นตอเดิมเพียงต้นเดียวคือ
ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่มีตำนานว่า ขยายพันธ์จาก
หน่อต้นโพธิ์ที่พระบรมศาสดาทรงนั่งประทับตรัสรู้
ซึ่งมีอีกหลายชาติที่นับถือศาสนาพุทธต่างกล่าวอ้างตำนาน/ที่มา
เคยมีนักวิทยาศาสตร์ขอตรวจสอบ DNA แต่ชาวบ้านต่างคัดค้าน
เพราะเกรงว่าผลพิสูจน์ถ้าไม่ใช่ จะหักล้างตำนาน/ทำลายความเชื่อลง




Credit : รอยยิ้มคนดี ความคิดเห็นที่ 76





เงาะโรงเรียน ที่มีการปลูกขยายพันธุ์กันมากในไทย
ตามตำนานเล่าว่า นายเค หว่อง ชาวมาเลย์
ที่มาทำเหมืองแร่ดีบุกที่บ้านเหมืองแกะ อำเภอนาสารในปีพ.ศ. 2468
(แกะ ในภาษาใต้มีอีกนัยหนึ่ง คือ ที่เกี่ยวข้าวด้วยการตัดที่คอรวงข้าว)
ท่านได้นำต้นเงาะจากปีนังมาปลูกรวม 4 ต้น
แต่ต้นที่ 2 มีรสชาติที่แปลกและไม่เหมือนใคร
รวมทั้งสายพันธุ์เงาะชนิดนี้ที่ปีนังไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว


ที่มาเลย์ยังมีเงาะป่า/พื้นเมือง Rambutan-kafri (negro's rambutan)
หรือ rambutan paroh ใน Malacca เรียกว่า pening-pening-ramboetan มีวางขายในท้องตลาด
ผมเคยไปซื้อแล้วเดินกินเล่นที่ตลาด Night Plaza ในปีนัง
เปลือกสีแดงเข้ม ขนสีแดง รสชาติอร่อยดี ลูกเล็ก เมล็ดติดกับเนื้อเยื่อ
ในไทยเรียกว่า เงาะขนสั้น








ที่มา https://goo.gl/ZH8ira



https://goo.gl/w3LPoN



อีกตำนานหนึ่ง ท่านได้กินเงาะแล้วทิ้งไปพร้อมเปลือก
และที่ดินนาสารบริเวณแถวนั้นดินดีมาก
ปรากฎว่าเมล็ดเงาะที่ทิ้งไว้ งอกขึ้นจำนวน 3 ต้น
แต่มีต้นหนึ่งมีลักษณะต่างไปจากเงาะต้นอื่น ๆ คือ มีเนื้อกรอบ หวาน
เปลือกบางและมีรูปร่างค่อนข้างกลม ทั้งยังมีกลิ่นหอมน่าทาน
เมล็ดเงาะจะร่อนไม่ติดแน่นกับเนื้อเหมือนเงาะสายพันธุ์อื่น
เปลือกจะมีขนสีเขียวแซมขึ้นมาบนเปลือกสีแดง
ต่อมาจึงได้มีการรู้จักและปลูกกันอย่างแพร่หลาย

มีบางท่านสันนิษฐานว่าเป็นการกลายพันธุ์จากเมล็ดเดิม
ซึ่งน่าจะมีคนนำ DNA ไปตรวจสอบว่า
มาจากสายพันธุ์พื้นเมืองไทยหรือมาเลย์
จะได้ล้างตาให้หายสงสัยกับตำนานเรื่องนี้
ว่าเงาะโรงเรียนกลายพันธ์มาจากเงาะพื้นบ้านหรือเงาะขนสั้น


หลังจากที่ชาวมาเลย์ได้เลิกทำเหมืองแร่ดีบุกไปแล้ว
พื้นที่ดังกล่าวจึงกลายเป็นที่ตั้งโรงเรียนนาสาร
ทำให้ได้ชื่อว่า เงาะสาร(นาสาร) เงาะเรียน(เงาะโรงเรียน)
เพราะมีการตอนกิ่ง แซมกิ่ง(เสียบยอด/ต่อตา)
และนำเมล็ดต้นนี้ไปปลูกกันมาก


ในช่วงแรกเงาะโรงเรียนนิยมขายสองข้างทาง
แถวสถานีรถไฟในจังหวัดสุราษฏร์ธานีและในตลาดหาดใหญ่
แต่ราคาค่อนข้างแพงมักจะให้เป็นของฝาก
เพราะยุคนั้นการคมนาคมลำบาก
มักจะเป็นของฝากกับพ่วงมากับรถขนส่งไทยรัฐ
เงาะถ้าไว้หลายวันเปลือกมักจะดำคล้ำดูแล้วไม่น่ากิน
แต่จริง ๆ กินได้ ถ้าเงาะไม่เน่า ไม่มีหนอนชอนไช


ต่อมาเงาะโรงเรียนมีราคาถูกลงมาก
เพราะเงาะเรียนมีการกระจายพันธุ์ไปปลูกกันหลายแห่งมาก
มีการปลูกเงาะสารกันมากในตราด/จันทบุรีในยุคหนึ่ง
เพราะมีนายทุนจากภาคใต้ไปบุกเบิก/บุกรุกป่ากันมาก
จนเคยมีบางหมู่บ้านตั้งชื่อกันเองว่า บ้านหาดใหญ่
ซึ่งเรื่องนี้รุ่นพี่ที่ไปร่วมวงบุกรุกป่าในสมัยนั้นเล่าให้ฟัง
และท่านมีที่ทางอยู่แถวจันทบุรีช่วงหนึ่งก่อนขายไป


ในปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ได้เสด็จไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี
นายชัช อุตตมางกูร ก็ได้ทูลเกล้าถวายผลเงาะโรงเรียน
และขอพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงได้มีพระราชดำรัสว่า ชื่อเงาะโรงเรียนก็ดีอยู่แล้ว
เงาะสายพันธุ์นี้จึงมีชื่อว่า เงาะโรงเรียน อย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และยังมีการจัดงานวันเงาะโรงเรียนขึ้นในทุกปี
เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์จังหวัดสุราษฏร์ธานี




https://goo.gl/w3LPoN



https://goo.gl/ZtbKpp



แต่อย่างที่ทราบกันว่า ราคาพืชผลเกษตรเอาแน่เอานอนไม่ได้
ปีไหนที่ Supply มากกว่า Demand ราคาก็จะถูกมาก
จนบางครั้งเงาะโรงเรียนต้องทิ้งให้เน่าคาต้นไปเลย
เคยมีครั้งหนึ่ง ราคารับซื้อเงาะที่สวนกิโลกรัมละบาทเศษ
ปีนั้น หลายพื้นที่โค่นต้นเงาะทื้งแล้วหันไปปลูกยางแทน
พร้อมกับวาทกรรมทางการที่สวยหรูมากกว่าปฎิบัติการ
ต้องเป็นไปตามกลไกลตลาด
ต้องพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร
ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ต้องเน้นการส่งออกไปยังต่างประเทศ




Credit : นิรนาม




มาจากวรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง
ที่นางรจนาเลือกพระสังข์ทองที่ปลอมร่างเป็นเงาะป่า
จนสุดท้ายเงาะป่าจึงได้ยอมถอดรูปปลอมออก
ให้ชาวบ้านได้ยลโฉมงามอร่ามแท้อย่างแท้จริง



Create Date : 10 สิงหาคม 2561
Last Update : 11 สิงหาคม 2561 22:01:05 น. 1 comments
Counter : 1931 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณSweet_pills


 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลความรู้ค่ะคุณ ravio


โดย: Sweet_pills วันที่: 12 สิงหาคม 2561 เวลา:0:17:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.