Julius Neubronne มีความหลงใหลในการถ่ายภาพ
และเป็นช่างสร้างกล้องถ่ายรูปมือสมัครเล่นด้วย
จึงทำให้ Julius Neubronner สร้างกล้องถ่ายภาพขนาดเล็ก
ที่มีส่วนประกอบส่วนใหญ่ทำด้วยอลูมีเนียมน้ำหนักเบา
ขนาดที่พอเหมาะกับการรัดไว้ที่หน้าอกของนกพิราบ
ระบบนิวเมติกในกล้องจะเปิดชัตเตอร์ตามช่วงจังหวะที่กำหนดไว้
และม้วนฟิล์มซึ่งเคลื่อนที่ไปพร้อมกับชัตเตอร์
ทำให้ถ่ายภาพได้มากถึง 30 ครั้งในการบินเพียงเที่ยวเดียว
อุปกรณ์ทั้งหมดมีน้ำหนักไม่เกิน 75 กรัม
ซึ่งเป็นน้ำหนักสูงสุดที่นกพิราบได้รับการฝึกอบรม
นำติดตัวขึ้นไปถ่ายภาพกลางอากาศ
ภาพที่นกพิราบถ่ายออกมาดีมาก
จนทำให้ Julius Neubronner คิดวิธีถ่ายภาพในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ด้วยการสร้างระบบที่มีเลนส์ 2 ข้าง ที่ชี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ซึ่งต่อมามีคนนำหลักการนี่มาพัฒนาเป็นกล้องถ่ายภาพสามมิติ
โดยภาพถ่ายที่นำมาซ้อนกันบางส่วนจะดูเสมือนเป็นภาพถ่ายสามมิติ
ซึ่งต้องใช้กล้องชนิดหนึ่งส่องดูภาพจึงเห็นเป็นภาพสามมิติ
ในที่สุด Julius Neubronner ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตร
แต่สำนักงานสิทธิบัตรได้ปฏิเสธคำร้องดังกล่าวในครั้งแรก
อ้างว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นไปไม่ได้
เพราะไม่เชื่อว่านกพิราบจะสามารถรับน้ำหนักของกล้องได้
แต่เมื่อ Julius Neubronner ได้นำเสนอภาพถ่ายโดยนกพิราบ
พร้อมการสาธิตให้ดูเป็นคัวอย่าง
ทำให้ Julius Neubronner ได้รับสิทธิบัตรในปี 1908
Aerial photograph of Frankfurt.
Aerial photograph of Schlosshotel Kronberg.
Julius Neubronner ได้จัดแสดงภาพถ่ายของตน
ในนิทรรศการการถ่ายภาพนานาชาติหลายแห่งที่ได้รับรางวัล
ครั้งหนึ่ีง ในงานนิทรรศภาพถ่ายที่ Dresden
ขณะที่ผู้ชมกำลังเฝ้าดูนกพิราบที่กำลังถ่ายภาพทางอากาศ
เมื่อนกพิราบบินลงมาแล้วพร้อมกับฟิล์มภาพถ่าย
ก็มีบริการล้างอัดภาพถ่ายให้เป็นภาพโปสการ์ด
ที่ผู้สนใจภาพถ่ายสามารถซื้อหาได้ทันที
ทำให้เทคโนโลยีนี้ถูกปรับให้เข้ากับ
การนำไปใช้งานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
เพราะถ้าใช้เครื่องบินถ่ายภาพแล้ว
พวกข้าศึกจะระมัดระวังและสังเกตเห็นได้
แต่ถ้าใช้นกพิราบจะไม่สร้างความสนใจให้กับฝ่ายศัตรู
จึงสามารถถ่ายภาพสถานที่ของข้าศึก
จากพื้นที่ต่ำกว่าได้และเห็นได้ชัดกว่า
รวมทั้งนกพิราบไม่แยแสกับพื้นที่รบกันในสนามรบ
เทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยนกพิราบของ Julius Neubronner
ก็ยังมีการใช้งานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
กองทัพนาซีเยอรมันได้พัฒนากล้องถ่ายรูปด้วยนกพิราบ
ที่สามารถถ่ายภาพต่อได้ถึง 200 ภาพต่อเที่ยว
เช่นเดียวกับกองทัพโซเวียตรัสเซีย
ก็ยังใช้กล้องถ่ายภาพด้วยนกพิราบกับฐานที่มั่นนาซีเยอรมันนี
แม้แต่ กองทัพฝรั่งเศสก็ยังอ้างว่า
พวกตนก็ยังมีกล้องถ่ายภาพด้วยนกพิราบ
และวิธีการในการปรับใช้งานจากแนวหลังของพวกศัตรู
ด้วยการใช้สุนัขที่ผ่านการฝึกอบรมในการถ่ายภาพด้วย
ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ Christian Adrian Michel
ผู้สร้างนาฬิกานาฬิกาสัญชาติสวิสก็ยังได้สร้าง
กล้องถ่ายรูปพาโนรามาและกลไกตั้งเวลาในการกดชัตเตอร์
การถ่ายภาพด้วยนกพิราบมีการใช้งานถึงปลายยุค 70
และ CIA ได้พัฒนากล้องถ่ายภาพโดยนกพิราบ
โดยยังคงหลักการและวิธีการตามแนวคิดแรกเริ่ม
รวมทั้งมีการใช้กล้องถ่ายภาพประเภทนี้ผูกติดกับหมากับแมวด้วย
ในพื้นที่สู้รบที่ต้องการจะถ่ายภาพด้วยนกพิราบ
จะมีการฝึกนกพิราบถ่ายภาพให้เคยชินกับรังใหม่
ด้วยการเดินทางไปพร้อมกับรังเคลื่อนที่
แล้วฝึกให้นกพิราบบินกลับมาเข้ายังรังเคลื่อนที่
อาจจะใช้การแบกขนด้วยสุนัข(ให้เคยชินกับกลิ่น)
หรือด้วยรถบรรทุกที่ออกแบบไว้โดยเฉพาะ
ทุกวันนี้ การถ่ายภาพทางอากาศถูกแทนที่โดยเครื่องบิน ดาวเทียม
และเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยโดรนที่ราคาไม่แพงมากนัก
แต่แนวคิดการถ่ายภาพด้วยนกพิราบของ Julius Neubronner
ที่วางรากฐานไว้ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
Aerial photographs of Dresden
ความจริงที่เปิดเผยในภายหลัง
อะไรเกิดขึ้นกับนกพิราบของ Julius Neubronner
ที่ไม่กลับมาหาเจ้าของเป็นเวลาหนึ่งเดือน
แล้วกลับมาพร้อมสภาพอ้วนพีเต็มที่
ความจริงก็คือ มันบินหลงไปที่ Wiesbaden
ที่ห่างจากรังเดิมราว 20 กิโลเมตร
และมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจาก
หัวหน้าพ่อครัวร้านอาหารแห่งหนึ่ง
กล้องถ่ายภาพ 2 เลนส์ของนกพิราบ
กล้องถ่ายภาพ 3 มิติ
อุปกรณ์ดูภาพ 3 มิติ
กล้องถ่ายภาพของ CIA
เรียบเรียง/ที่มาhttps://bit.ly/2r6oQlshttps://bit.ly/2HZFain