|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิธีสร้างบุญบารมี ๙
พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ วัดบวรนิเวศวิหาร
(๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา)
เมื่อจิตของผู้บำเพ็ญตั้งมั่นในสมาธิ จนมีกำลังดีแล้ว เช่น อยู่ในระดับฌานต่างๆ ซึ่งจะเป็นฌานระดับใดก็ได้ แม้แต่จะอยู่แค่เพียงอุปจารสมาธิ จิตของผู้บำเพ็ญเพียรก็ย่อมมีกำลัง และอยู่ในสภาพที่นิ่มนวล ควรแก่การเจริญวิปัสสนาต่อไปได้
อารมณ์ของวิปัสสนานั้น แตกต่างไปจากอารมณ์ของสมาธิ เพราะสมาธินั้น มุ่งให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่เพียงอารมณ์เดียว โดยแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่นึกไม่คิดอะไร ๆ
แต่ วิปัสสนา ไม่ใช่การให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่เป็นจิตที่คิดใคร่ครวญ หาเหตุและผล ในสภาวธรรมทั้งหลาย และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น มีแต่เพียงอย่างเดียวก็คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า รูป นาม โดยรูป มี ๑ ส่วน นามนั้นมี ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ขันธ์ ๕ ดังกล่าว เป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เพราะแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงสังขารธรรม ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง แต่เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันสภาวธรรม จึงทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ด้วยอำนาจอุปาทานว่า เป็นตัวเป็นตนและของตน การเจริญวิปัสสนา ก็โดยมีจิตพิจารณา จนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สภาวธรรมทั้งหลาย อันได้แก่ขันธ์ ๕ นั้น ล้วนมีอาการเป็นพระไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา โดย...
(๑) อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สมบัติ เพชร หิน ดิน ทราย และรูปกายของเรา ล้วนแต่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ก็มาประชุมรวมกัน เป็นรูปร่างของคนและสัตว์ขึ้น ซึ่งหน่วยชีวิตเล็กๆ เหล่านั้นก็มีการเจริญเติบโต และแตกสลายไป แล้วก็เกิดของใหม่ขึ้นแทนที่อยู่ตลอดเวลา ล้วนแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน
(๒) ทุกขัง ได้แก่ สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ทุกขัง ในที่นี้มิได้หมายความแต่เพียงว่า เป็นความทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น แต่การทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เป็นลักษณะส่วนหนึ่งของ ทุกขัง ในที่นี้ สรรพสิ่งทั้งหลายอันเป็นสังขารธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจที่จะทรงตัวตั้งมั่นทนทานอยู่ในสภาพนั้นๆ ได้ตลอดไป แต่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นเด็ก จะให้ทรงสภาพเป็นเด็กๆ เช่นนั้นตลอดไปหาได้ไม่ จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนุ่มและสาว แล้วก็เฒ่าแก่ จนในที่สุดก็ต้องตายไป แม้แต่ขันธ์ที่เป็นนามธรรม อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ไม่มีสภาพทรงตัว เช่น ขันธ์ที่เรียกว่า เมื่อมีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวเกิดขึ้น แล้วจะให้ทรงอารมณ์เช่นนั้นตลอดไปย่อมเป็นไปไม่ได้ นานไป อารมณ์เช่นนั้น หรือเวทนาเช่นนั้น ก็ค่อยๆ จางไป แล้วเกิดอารมณ์ใหม่ชนิดอื่นขึ้นมาแทน
(๓) อนัตตา ได้แก่ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งของ โดยสรรพสิ่งทั้งหลาย อันเนื่องมาจากการปรุงแต่งไม่ว่าจะเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่น รูปขันธ์ ย่อมประกอบขึ้นด้วยแร่ธาตุต่างๆ มาประชุมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นหน่วยชีวิตเล็กๆ ขึ้นก่อน เรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า เซลล์ แล้วเซลล์เหล่านั้นก็ประชุมรวมกันเป็นรูปใหม่ขึ้น จนเป็นรูปกายของคนและสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระท่านรวมเรียกหยาบๆ ว่า เป็นธาตุ ๔ มาประชุมรวมกัน โดยส่วนที่เป็นของแข็ง มีความหนักแน่น เช่น เนื้อ กระดูก ฯลฯ เรียกว่า ธาตุดิน ส่วนที่เป็นของเหลว เช่น น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำดี น้ำปัสสาวะ น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำลาย ฯลฯ รวมเรียกว่า ธาตุน้ำ ส่วนสิ่งที่ให้พลังงาน และอุณหภูมิในร่างกาย เช่น ความร้อน ความเย็น เรียกว่า ธาตุไฟ
ส่วนธรรมชาติที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว ความตั้งมั่น ความเคร่ง ความตึง และบรรดาสิ่งเคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย เรียกว่า ธาตุลม (โดยธาตุ ๔ ดังกล่าวนี้ มิได้มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ธาตุ อันหมายถึงแร่ธาตุในทางวิทยาศาสตร์) ธาตุ ๔ หยาบๆ เหล่านี้ ได้มาประชุมรวมกันขึ้น เป็นรูปกายของคน สัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อนานไปก็ย่อมเปลี่ยนแปลง แล้วแตกสลาย กลับคืนไปสู่สภาพเดิม โดยส่วนที่เป็นดิน ก็กลับไปสู่ดิน ส่วนที่เป็นน้ำ ก็กลับไปสู่น้ำ ส่วนที่เป็นไฟ ก็กลับไปสู่ไป ส่วนที่เป็นลม ก็กลับไปสู่ความเป็นลม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของคนและสัตว์ที่ไหนแต่อย่างใด จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นรูปกายนี้ว่า เป็นตัวเราของเรา ให้เป็นที่พึ่งอันถาวรได้
สมาธิ ย่อมมีกรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ ซึ่งผู้บำเพ็ญอาจจะใช้กรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ตามแต่ที่ถูกจริตนิสัยของตน ก็ย่อมได้
ส่วนวิปัสสนานั้น มีแต่เพียงอย่างเดียว คือ มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เรียกสั้นๆ ว่า มีแต่รูปกับนามเท่านั้น ขันธ์ ๕ นั้นได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสภาวธรรม หรือสังขารธรรม อันเกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นไม่ได้ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแต่อย่างใด อารมณ์ของวิปัสสนานั้น เป็นอารมณ์จิตที่ใคร่ครวญหาเหตุและผล ในสังขารธรรมทั้งหลาย จนรู้แจ้ง เห็นจริงว่า เป็นพระไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา และเมื่อใดที่จิตยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เรียกว่าจิตเข้าสู่กระแสธรรม ตัดกิเลสได้
ปัญญาที่จะเห็นสภาพความเป็นจริงดังกล่าว ไม่ใช่แต่เพียงปัญญาที่นึกคิดและคาดหมายเอาเท่านั้น แต่ย่อมมีตาวิเศษ หรือตาในอย่างที่พระท่านเรียกว่า ญาณทัสสนะ เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ซึ่งจิตที่ได้ผ่านการอบรมสมาธิมา จนมีกำลังดีแล้ว ย่อมมีพลังให้เกิดญาณทัสสนะ หรือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงดังกล่าวได้ เรียกกันว่า สมาธิอบรมปัญญา คือ สมาธิ ทำให้เกิดวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น และเมื่อวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมถ่ายถอนกิเลสให้เบาบางลง จิตย่อมจะเบาและใสสะอาด บางจากกิเลสทั้งหลายไปตามลำดับ สมาธิจิตก็จะยิ่งก้าวหน้าและตั้งมั่นมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เรียกว่าเป็น ปัญญาอบรมสมาธิ
ฉะนั้น ทั้งสมาธิและวิปัสสนา จึงเป็นทั้งเหตุและผลของกันและกัน และอุปการะซึ่งกันและกัน จะมีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้น โดยขาดกำลังสมาธิสนับสนุนมิได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องใช้กำลังของขณิกสมาธิเป็นบาทฐานในระยะแรกเริ่ม สมาธิจึงเปรียบเหมือนกับหินลับมีด ส่วนวิปัสสนานั้น เหมือนกับมืดได้ลับกับหินคมดีแล้ว ย่อมมีอำนาจถากถางตัดฟัน บรรดากิเลสทั้งหลาย ให้ขาดและพังลงได้
อันสังขารธรรมทั้งหลายนั้น ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวเราของเราแต่อย่างใด ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วเป็นแค่ ดิน น้ำ ลม และไฟ มาประชุมรวมกันชั่วคราว ตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น ในเมื่อจิตได้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว จิตก็จะคลายจากอุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น โดยคลายกำหนัดในลาภยศ สรรเสริญ สุขทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ และความหลง ก็จะเบาบางลงไปตามลำดับปัญญาญาณ จนหมดสิ้นจากกิเลสทั้งมวล บรรลุซึ่งพระอรหัตผล
ฉะนั้น การที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามทำสมาธิให้ได้เสียก่อน หากทำสมาธิยังไม่ได้ (อย่างน้อยที่สุดจะต้องได้ขณิกสมาธิ) ก็ไม่มีทางที่จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น สมาธิจึงเป็นเพียงบันไดขั้นต้น ที่จะก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า
ผู้ใดแม้จะทำสมาธิ จนจิตเป็นฌานได้นานถึง ๑๐๐ ปี และไม่เสื่อม ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่มีดวงตามองเห็นความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม
ดังนี้จะเห็นได้ว่า วิปัสสนาภาวนา นั้นเป็นสุดยอดของการสร้างบุญบารมีโดยแท้จริง และการกระทำก็ไม่ได้เหนื่อยยากลำบาก ไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องลงทุนหรือเสียทรัพย์แต่อย่างใด แต่ก็ได้กำไรมากที่สุด เมื่อเปรียบการให้ทานเช่นกับกรวดและทราย ก็เปรียบวิปัสสนาได้กับเพชรน้ำเอก ซึ่งทาน ย่อมไม่มีทางที่จะเทียบศีล ศีล ก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับสมาธิ และสมาธิ ก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับวิปัสสนา
แต่ตราบใดที่เราท่านทั้งหลาย ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุกๆ ทาง เพื่อความไม่ประมาท โดยทำทั้งทาน ศีล และภาวนา สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ จะถือว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้นลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้กำไรมากที่สุด ก็เลยทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงทุนทำบุญให้ทานใดๆ ไว้เลย เมื่อเกิดชาติหน้า เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีจะกินจะใช้ ก็เห็นจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งพระนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน
อนึ่ง พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า ผู้ใดมีปัญญา พิจารณาจนจิตเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คน สัตว์ แม้จะนานเพียงชั่วช้างยกหูขึ้นกระดิก ก็ยังดีเสียกว่า ผู้ที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่มีปัญญาเห็นความเป็นจริงดังกล่าว กล่าวคือ แม้ว่าอายุของผู้นั้นจะยืนยาวมานานเพียงใด ก็ย่อมโมฆะเสียเปล่าไปอีกชาติหนึ่ง จัดว่าเป็น โมฆะบุรุษ คือ บุรุษผู้สูญเปล่า
-----------------------------
ครั้งหน้า จขบ.จะพาไปรู้จักกับ การเจริญสมถและวิปัสสนา อย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน กันค่ะ ท่านใดสนใจ อย่าลืม..!! ติดตามกันนะคะ
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
|
65 comments |
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 19:34:35 น. |
Counter : 1789 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 8 มิถุนายน 2552 19:27:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน 8 มิถุนายน 2552 19:36:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: cenyou 8 มิถุนายน 2552 20:15:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปุ้ย IP: 58.11.74.70 8 มิถุนายน 2552 20:44:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) 8 มิถุนายน 2552 21:33:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV IP: 125.26.111.241 8 มิถุนายน 2552 22:57:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: นกโก๊ก 9 มิถุนายน 2552 0:09:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน 9 มิถุนายน 2552 5:37:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 9 มิถุนายน 2552 7:13:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 9 มิถุนายน 2552 7:52:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 9 มิถุนายน 2552 8:34:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 9 มิถุนายน 2552 9:26:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 9 มิถุนายน 2552 11:25:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 9 มิถุนายน 2552 13:43:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 9 มิถุนายน 2552 14:32:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: sawkitty 9 มิถุนายน 2552 15:49:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 9 มิถุนายน 2552 17:28:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 9 มิถุนายน 2552 19:00:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแอ๊ด 9 มิถุนายน 2552 20:03:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่นาคตัวปลอม (Opey ) 9 มิถุนายน 2552 21:31:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: นุ๋ดีค่ะ (kun_isara ) 9 มิถุนายน 2552 21:32:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 10 มิถุนายน 2552 8:19:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 10 มิถุนายน 2552 9:11:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: I_sabai 10 มิถุนายน 2552 9:15:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 10 มิถุนายน 2552 10:24:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: อิ่ม_Aim 10 มิถุนายน 2552 10:25:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 10 มิถุนายน 2552 12:01:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน 10 มิถุนายน 2552 13:33:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 10 มิถุนายน 2552 14:06:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 11 มิถุนายน 2552 8:23:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 11 มิถุนายน 2552 8:27:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 11 มิถุนายน 2552 9:38:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 11 มิถุนายน 2552 12:02:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV IP: 125.26.107.14 11 มิถุนายน 2552 17:47:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 11 มิถุนายน 2552 19:51:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้วนforest IP: 222.123.168.87 11 มิถุนายน 2552 20:48:04 น. |
|
|
|
|
|
|
เพียรฝึกตนใฝ่รู้ หลักธรรม
จิตเพ่งคิดจดจำ บ่มไว้
หมายเพียรมุ่งตัดกรรม วัฏฏะ
หวังสละจิตสุดท้าย ดิ่งเข้านิพพาน..
|
|
|
|
|
|
|
ขอโมทนาในบุญกุศลด้วยนะครับ
ต้องขอเข้ามาอ่านบ่อยๆ นะครับ
จะลองพิจารณาดูนะครับ รูป-นาม ขันธ์5
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วันนี้ ที่บล๊อกก็อัพเรื่อง ทางสายพระนิพพาน ตอนที่ 1 ด้วยนะครับ
ว่างๆ ขอเรียนเชิญเข้าไปอ่านได้นะครับ
..ขอให้พ่อระนาดแววไว มีความสุขเยอะๆนะครับ..