พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙วัดบวรนิเวศวิหารชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยกจะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิดชีวิตนี้จักสวัสดี และชีวิตข้างหน้าก็จักสวัสดีได้ ถ้ามือแห่งกรรมร้าย ไม่มาถึงเสียก่อนมือแห่งกรรมร้ายใดฯ ก็จะเอื้อมมาถึงไม่ได้ ถ้าชีวิตนี้ วิ่งหนีได้เร็วกว่า และการจะวิ่งหนีให้เร็วกว่ามือแห่งกรรมนั้นจะต้องอาศัยกำลังบุญกุศล คุณงามควาดีเป็นอันมาก และสม่ำเสมอ กำลังความสามารถในการวิ่งหนีมือแห่งกรรมชั่วกรรมร้าย คือ การทำความดี พร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ทุกเวลาผู้จะมีสติระวัง ไม่ทำความไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ยิ่งกว่าผู้อื่น คือ เป็นผู้มีกตัญญูกตเวที อันเป็นธรรมสำคัญธรรรมที่จะทำคนให้เป็นคนดี มีความห่วงใย ปรารถนาจะระวังรักษาผู้มีพระคุณ ไม่ให้ต้องเสียชื่อเสียง และไม่ต้องเสียทั้งน้ำใจผู้มีกตัญญูกตเวที จึงเป็นผู้มีธรรมเครื่องคุ้มครองให้สวัสดี เครื่องคุ้มครองให้สวัสดี ก็คือ คุ้มครองไม่ให้ทำความไม่ดีคุ้มครองให้ทำแต่ความดี ทั้งกาย วาจา ใจ ทุกเวลาชีวิตนี้น้อยนัก พึงใช้ชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ให้เป็นทางไปสู่ชีวิตหน้าที่ยืนนาน ให้เป็นสุคติที่ไม่มีกาลเวลา หาขอบเขตมิได้โดยยึดหลักสำคัญ คือ ความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา และต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มั่นคงทุกลมหายใจเข้าออกเถิด-----------------------
เพียรฝึกตนใฝ่รู้ หลักธรรม
จิตเพ่งคิดจดจำ บ่มไว้
หมายเพียรมุ่งตัดกรรม วัฏฏะ
หวังสละจิตสุดท้าย ดิ่งเข้านิพพาน..
ขอโมทนาด้วยนะครับ
ประการแรก มีศีล
เมื่อมีศีล ภัยอันตราย ทั้งปวงก็จักทำอะไรเราไม่ได้
ประการที่สอง มีสมาธิ
เมื่อมีสมาธิ ทำให้จิตสงบ ทำให้พ้น อำนาจของราคะ
ประการที่สาม มีปัญญา
เพราะปัญญา สามารถทำลายอวิชชาลงไปได้
******
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะ
ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้ วิปัสสนาที่อบรมแล้วย่อมเสวย
ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร
ย่อมละอวิชชาได้ ฯ
****
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้
จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติ ฯ
ที่มา พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต