การเขียน content สู่การสร้างสรรค์อำนาจของวรรณกรรม
22 กุมภาพันธ์ 2561
ผมมีโอกาสไปอบรมที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ การเขียน Content สู่การสร้างสรรค์อำนาจของวรรณกรรม เมื่อวันที่ 27-28 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ผมจึงขอจับประเด็นสำคัญที่ได้รับจากการอบรมในครั้งนี้มาเขียนนำเสนอให้ท่านที่สนใจ เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านด้วย (รายละเอียดจากการอบรมในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ) สำหรับหัวข้อในตอนนี้ชื่อว่า การเขียน content สู่การสร้างสรรค์อำนาจของวรรณกรรม บรรยายโดย รศ.ดร. คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ (ว.วินิจฉัยกุล , แก้วเก้า) ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ.2537 -ถ้าพูดถึง content writing ก็คือการเขียนเนื้อหานั้นเอง ถ้าเป็นนิยายเนื้อเรื่องคืออย่างแรกที่ผู้เขียนจะนึกถึง คือต้องคิดว่าจะเขียนอะไรดี? -เราต้องหา content ที่จะเขียนก่อน content อยู่รอบๆ ตัวเรา อยุ่ทุกหนทุกแห่ง ขึ้นอยู่กับความไวของนักเขียน ว่าจะจับจุดตรงไหนมาเขียนอย่างไร? -ยกตัวอย่างเช่น เราอ่านข่าวดารา 2 คนที่รักกัน ทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าจะแต่งงานกัน แต่ก็ไปไม่รอด เตียงหักเสียก่อน จากข่าวนี้ content คือ 1. มองตามที่ข่าวบอกว่า คือเห็นอย่างที่นักข่าวเห็น , 2. คิดเห็นอย่างฝ่ายชาย คือในมุมมองของฝ่ายชาย , 3. มองในมุมมองของฝ่ายหญิงบ้าง ทั้ง 3 มุมมองนี้จะให้คอนเทนต์ที่แตกต่างกันออกไป -ใครสามารถมองในมุมมองที่คนอื่นไม่เห็นหรือคนอื่นไม่รู้สึกได้ คนนั้นเป็นนักเขียน -เพราะถ้าเห็นมุมมองเดียวกับผู้อ่านมันก็ธรรมดาเกินไป ต้องหามุมมองที่คนอ่านยังมองไม่เห็น -สิ่งที่เห็นแตกต่างจากคนอื่นคือความคิดสร้างสรรค์ -การเขียนคือการสื่อสาร ดังนั้นงานที่เราเขียนต้องตอบโจทย์อะไรบางอย่างให้กับชีวิตของคนอ่านได้ เช่น เมื่อคนอ่านงานเขียนของเราแล้วเขาเข้าใจมุมมองของชีวิตมากขึ้น หรือเห็นว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้หล่ะ -คนอยากจะเขียนมีเยอะมาก แต่คนที่รอดไปเป็นนักเขียนได้มีไม่มากนัก -การเขียนต้องเขียนให้คนอื่นอ่านได้ด้วย ไม่ใช่แค่เขียนให้ตัวเองอ่าน การเขียนไม่ใช่แค่เขียนไดอารี่ ต้องเขียนเพื่อสื่อสารไปยังคนอ่าน ต้องเขียนในสิ่งที่เขาอยากอ่านด้วย ต้องให้คนอ่านได้อะไรบางอย่างจากงานเขียนของเราด้วย -การเขียนไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะรสนิยมของคนอ่านจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามกาลเวลา และตามบริบททางสังคม -ดังนั้นการเขียนของเราต้อง 1. ต้องรู้ให้ได้ว่าเขียนให้ใครอ่าน ต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน ต้องรู้ว่าคนอ่านคือใคร? ลูกค้าของเราคือใคร? -ต้องรู้ให้ได้ว่า Content ของเราสนองความต้องการของคนอ่านกลุ่มไหน? คนในเมืองคนทำงานก็อ่านอย่างหนึ่ง พ่อค้าแม่ค้าก็อ่านอีกอย่างหนึ่ง อย่างเช่น การแสดงละครเวที กลุ่มเป้าหมายคือคนเมืองกลุ่มเล็กๆ ที่พอมีความรู้ มีกำลังทรัพย์ที่จะซื้อบัตรเข้าชม 2. ต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็น ต้องรู้จักหาข้อมูลจากกูเกิ้ล ต้องใช้อีเมล์ใช้ฮอตเมล์ให้เป็น อีกทั้งควรจะมีความรู้ภาษาอังกฤษที่ดีในระดับหนึ่งด้วย จะได้อ่านเรื่องราวในอินเตอร์เน็ตได้ อย่าเปิดเน็ตเพื่อเล่นเกมอย่างเดียว -นอกจากจะค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้ว นักเขียนต้องรู้ให้ได้ด้วยว่าคนอ่านเขากำลังชอบอ่านแนวไหน? จะทำให้เราวางกรอบคนอ่านของเราได้ 3. คลีเช่ Cliches คือสำนวนที่ใช้เบื่อๆ จนเฝือ ซ้ำซาก ต้องอย่าจำคลีเช่จากคนอื่นมาเขียน สิ่งนี้เป็นอะไรที่ยากมาก นักเขียนทุกคนต้องมีความคิดสร้างสรรค์ให้มาก -การเขียนไม่ใช่แฟชั่น ไม่ต้องไปเขียนตามคนอื่น เราต้องเขียนในแนวที่แหวกจากของคนอื่น แต่แหวกแล้วต้องน่าอ่านด้วย งานเขียนของเราถึงจะโดดเด่นจากคนอื่น -อย่างนิยายวาย เชื่อว่าอีกสักพักก็คงจะเบื่อกัน เพราะว่าตอนนี้มีออกมามากมายเหลือเกิน มันเริ่มซ้ำซากจำเจแล้ว อย่าไปเขียนตามคนอื่นเพราะรสนิยมการอ่านมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 4. ต้องเชื่อมั่นใน content ที่คุณเขียน ต้องประทับใจในเรื่องที่คุณเขียน ถ้าเขียนไปแล้วก็ไม่ชอบคนอ่านก็จะไม่ชอบด้วย เพราะคนอ่านรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้เขียนที่อยู่ระหว่างบรรทัดได้ -ถ้าตอนที่คุณเขียนคุณสนุก คนอ่านก็จะอ่านสนุกตามไปด้วย ถ้าคุณเขียนเรื่องผี คุณต้องกลัวผีที่อยู๋ในเรื่องนั้นคนอ่านถึงจะกลัวตามที่คุณเขียนด้วย -ถ้าคุณไม่อยากจะเขียนเรื่องใด แต่จำเป็นต้องเขียนเรื่องนั้น เรื่องมันจะออกมาอย่างจืดชืดอ่านไม่สนุก ดังนั้นเวลาที่เขียนต้องดึงประเด็นที่ซาบซึ้งออกมาเขียนให้ได้ -ต้องมีความครีเอทีฟ มีความคิดของตัวเองตลอด ไม่ใช่ว่าลอกงานของคนอื่นมาทั้งดุนแล้วเอามาเขียนเป็นของเรา มันยังมีความแตกต่างกันระหว่างแรงบันดาลใจกับก๊อปปี้ -เวลาที่เขียนต้องพยายามใส่อะไรที่เป็นตัวตนของเราลงไปในงานเขียนด้วย การเป็นตัวของตัวเองจะช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้แก่ตัวเองได้ -เป็นนักเขียนต้องขยันเขียน ถ้าไม่เขียนก็ต้องอ่าน ไม่ใช่เอาเวลาไปเล่นเกมอย่างเดียว -ทุกอย่างในชีวิตเราหยิบเอามาเขียนได้หมด แต่เราต้องรู้ให้ได้ว่า บางอย่างหยิบมาเขียนก็ไม่น่าสนใจ บางอย่างหยิบมาเขียนแล้วน่าสนใจ เราต้องหยิบสิ่งที่นักอ่านอ่านแล้วตาลุกวาว , อ่านแล้วร้อง ..เฮ้ย สุดยอด , อ่านแล้วชอบเลย ฯลฯ -ถ้าเขียนให้ตัวเองอ่านเองจะเขียนอย่างไรก็ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนที่สองเข้ามาอ่านด้วย ต้องคำนึงถึงว่ามันคือการสื่อสารแล้ว -อย่าไปแคร์เรื่องที่เราลบทิ้ง เพราะการลบทิ้งคือการที่เราได้เรื่องที่ดีกว่า อย่างที่อาจินต์ ปัญจพรรค์บอกว่า ตระกร้าสร้างนักเขียน ดังนั้นอย่าไปกลัวที่เรื่องต้องถูกลบทิ้ง -นักเขียนต้องเป็นคนที่มีสมาธิดี ดังนั้นควรหมั่นฝึกสมาธิไว้ด้วย ที่ผ่านมาอาจารย์วินิตาเคยเขียนนวนิยายพร้อมกันที่เดียว 5 เรื่อง ดังนั้นต้องมีสมาธิอย่างตั้งใจ ต้องทำพิมพ์เขียวของแต่ละเรื่องไว้ก่อนด้วย -ประสบการณ์ชีวิตช่วยได้ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ แต่อย่างไรก็ตามเราควรจะฝึกคิดฝึกมองให้แตกต่างจากคนอื่นไว้ตลอด เช่นถ้าเข้ากลุ่มไลน์ มีสมาชิกในกลุ่ม 10 คน พอมีใครโพสเรื่องอะไรสักเรื่องมีคนเห็นด้วย 9 คนแล้ว เราต้องเป็นคนที่ 10 ที่เห็นต่างให้ได้ ต้องฝึกให้มองเห็นต่างจากอีก 9 คนให้ได้ -ถ้าเรายังเห็นเรื่องใดเหมือนคนอื่น คือยังไม่แตกต่างจากคนอื่น เราก็ต้องฝึกคิดให้แตกต่าง เราต้องฝึกให้มากขึ้น ของแบบนี้ฝึกกันได้ -ถ้าเขียนงานอยู่แล้วเกิดขี้เกียจขึ้นมา แสดงว่าสมองเราอาจจะล้าก็ได้ ถ้าเกิดสมองล้าให้ลุกไปทำอย่างอื่นก่อน -ตรีม Theme คือแนวของเรื่อง เช่น จะเขียนแนวสุภาษิต ตรีมคือ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ตรีมคือสิ่งที่จะนำเสนอให้แก่คนอ่าน -ส่วน content คือเนื้อเรื่อง ต้องมีหัวมีหางด้วย อย่างเช่น ออกจากบ้านนั่งรถเมล์ แค่นี้ยังไม่ใช่ content ยังไม่เป็นเนื้อเรื่องเพราะขาดหาง แต่ถ้า ออกจากบ้านนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน ไปหาเพื่อน แบบนี้เป็นเริ่มเนื้อเรื่องแล้ว -ส่วนคอนเซ็ป concept คือ คุณมีแนวคิดอะไรอยู่ในเรื่องของคุณ เช่นเขียนเรื่องการเมือง คอนเซ็ป concept คือต้องมีการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงบอกได้ว่าคอนเซ็ป conceptทำให้เรื่องเรามีความชัดเจนขึ้น -ส่วนพล็อตเรื่อง Plot คือการผูกเรื่อง คือมีตัวละครอย่างไร? มีฉากอย่งไร? มีการดำเนินเรื่องอย่างไร? -ส่วนโครงเรื่องคือการวางเรื่องราวไว้อย่างคร่าวๆ -ความน่าอ่านที่อยู่คงทนทุกยุคทุกสมัยคือเรื่องที่มีภาษาไพเราะ มีพรรณาโวหารที่ลึกซึ้ง มีประโยคที่มีความหมายดีๆ มีเนื้อเรื่องที่ดีน่าสนใจ -ภาษาที่น่าอ่านคือภาษาที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ โดยลืมไปเลยว่ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ -ยุคนี้นักเขียนมีโอกาสดีกว่าสมัยก่อนเยอะ ในสมัยก่อนเหมือนต้องร่อนตะแกรงก่อน กว่าจะก้าวมาเป็นนักเขียนได้ ต้องผ่านหลายด่านมาก ทั้งบรรณาธิการ ทั้งนักเขียนดังที่ทางเล่มมีเรื่องลงอยู่ก่อนแล้ว พื้นที่นำเสนองานเขียนมีน้อยมาก -ยุคปัจจุบันในโลกอินเตอร์เน็ต โลกออนไลน์ พื้นที่สำหรับงานเขียนมีเยอะมากมายมหาศาล แต่ไม่ใช่หมายความว่าอาชีพนักเขียนจะง่ายขึ้น คือโอกาสมากขึ้นก็จริง แต่ต้องแข่งขันกันมากขึ้น เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็เป็นนักเขียนได้ คนอยากเขียนมีมากเป็นแสนคน แต่คนอ่านไม่ได้มากตามไปด้วย นักเขียนในยุคสมัยนี้จึงต้องทำงานหนักกว่านักเขียนในยุคก่อนมาก -ปัจจุบันนี้ มือถือหรือสมาร์ทโฟน เป็นตัวกำหนดว่า เราอ่านอะไรไม่ได้มากเกินกว่าหนึ่งฝ่ามือเรา (มือถือปัจจุบันขนาดเท่าฝ่ามือ) เช่นข่าว เดี๋ยวนี้ข่าวที่เสนอในสื่อออนไลน์ต้องสั้น สมัยก่อนเราอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ยาวได้เป็นหน้าๆ อ่านหน้า 1 แล้วไปอ่านต่อหน้า 3 สุดท้ายพลิกไปอ่านต่อหน้า 16 แต่ปัจจุบันนี้คนเริ่มไม่อ่านอะไรที่ยาวๆ แล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่จะทำให้เขาอ่านงานของเรา -ปัจจุบันลูกสาวของอาจารย์วินิตาเป็นอาจารย์สอนอยู่คณะอักษรศาสตร์ จุฬา (ผมน่าจะฟังไม่ผิดนะ แต่ถ้าข้อมูลผิดก็ต้องขออภัยด้วยครับ) เป็นคนเขียนบทละครเรื่อง แม่อายสะอื้น ตอนสมัยที่เขายังเป็นเด็ก อาจารย์วินิตาเล่าเรื่องวรรณคดีให้ลูกฟังก่อนนอน เรื่อง โคบุตร , สิงหไกรภพ , เงาะป่า , นิทานชาคริต , หัวใจนักรบ ฯลฯ ซึ่งเด็กในยุคใหม่นี้แทบจะมไม่รู้จักวรรณคดีกันแล้ว -จะเห็นว่างานเขียนของฝรั่งเขาเอาวรรณคดีมาเขียนแปลงใหม่ ทำเป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้โดยอิงจากวรรณคดีฉบับดั้งเดิม ซึ่งการที่เขียนใหม่แบบนี้เองที่ทำให้วรรณคดีของเขาหลุดรอดเหลือมาจนถึงปัจจุบันได้ แต่เมืองไทยยังไม่มีใครทำแบบนี้เท่าไหร่เลย -เวลาเขียนให้เราทำพิมพ์เขียวของเรื่องไว้ก่อน ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่องเลย ก่อนที่เราจะเขียนต้องนึกภาพให้เห็นเหมือนเราดูหนังเลย ต้องเห็นภาพเห็นรายละเอียดต่างๆ ก่อน ถึงจะเขียนเรื่องได้ -การเขียนนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์มีแนวคิดคือ เราจะไปลบประวัติศาสตร์ทิ้งไม่ได้ แต่เราเขียนเพิ่มเติมเข้าไปได้ อย่งเช่นเรื่อง รัตนโกสินทร์ มีการเพิ่มตัวละครเข้าไปในเรื่องเพื่อสร้างให้เกิดเรื่องราวขึ้น นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องต้นตระกูลวินิจฉัยกุล ที่อาจารย์วินิตาใช้เวลาสร้างเรื่องนี้นานถึง 10 ปี -ในการเขียนสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรเข้าไปแตะคือเรื่อง ขาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเรื่องการเมืองก็ไม่ควรเข้าไปแตะมาก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในความรู้สึกของคนทั่วไป -คำแนะนำสำหรับนักเขียนหน้าใหม่คือ อย่าไปเขียนอะไรที่มันยากจนเกินไป เขียนเรื่องที่ใกล้ตัว เรื่องที่เรารู้ดีที่สุด -ในการจบเรื่อง เราต้องเก็บทุกอย่งที่เราสร้างเป็นปมทิ้งไว้ในเรื่องให้หมด คือต้องเฉลยทุกปมที่เราผูกไว้ทั้งหมดถึงจะเป็นการจบเรื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุด
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2561
12 comments
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2561 21:53:57 น.
Counter : 744 Pageviews.
โดย: หน่อยอิง 23 กุมภาพันธ์ 2561 10:26:42 น.
โดย: JinnyTent 23 กุมภาพันธ์ 2561 18:21:43 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 23 กุมภาพันธ์ 2561 22:02:17 น.
โดย: Tui Laksi 23 กุมภาพันธ์ 2561 22:37:52 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 23 กุมภาพันธ์ 2561 23:43:43 น.
โดย: หน่อยอิง 24 กุมภาพันธ์ 2561 9:31:47 น.
โดย: Sai Eeuu 24 กุมภาพันธ์ 2561 12:54:24 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 24 กุมภาพันธ์ 2561 20:17:41 น.
โดย: หน่อยอิง 25 กุมภาพันธ์ 2561 6:44:47 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [? ]
อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า อาคุงกล่อง เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ ปัจจุบัน อาคุงกล่อง เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม อาคุงกล่อง จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย "ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ" ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ) akungklong@gmail.com
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และมาแปะใจให้ด้วยครับ