ข้อดี ข้อเสีย ของ การดมยา และ การบล็อกหลัง
บทความเรื่องนี้ ผมไม่ได้เขียนเอง .. แต่ก็จำไม่ได้ว่า นำต้นฉบับ มาจากที่ไหน ถ้าใครทราบ หรือ เคยเห็น กรุณาแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ ...
ข้อดี ข้อเสีย ของ การดมยา และ การบล็อกหลัง
การดมยาสลบ หรือ General anesthesia
โดยวิธีนี้ วิสัญญีแพทย์ จะทำให้ผู้ป่วยสลบ ( สลบ มีระดับที่ลึกกว่า"หลับ" อยู่มาก เพราะว่า"หลับ"สามารถปลุกได้ แต่"สลบ"จะไม่มีการตอบสนองต่อการเรียก และไม่มีการรับรู้ )
โดยการฉีดยานำสลบเข้าไปในหลอดเลือดดำ จากนั้นจะให้ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเป็นอัมพาต แล้วจะสอดท่อช่วยหายใจ ผ่านปาก เข้าไปผ่านกล่องเสียง และเข้าไปอยู่ในหลอดลม เพื่อที่จะช่วยหายใจในระหว่างผ่าตัด เพราะระหว่างผ่าตัดนั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเป็นอัมพาตจากยาหย่อนกล้ามเนื้อ ทำให้หายใจเองไม่ได้
การดมยาสลบนั้นจะอาศัยยาหลายตัว เช่น ยานำสลบ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด ยาดมสลบในรูปของไอระเหย เมื่อสิ้นสุดการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะให้ยาแก้ฤทธิ์ยาหย่อนกล้ามเนื้อ และรอคอยให้ยาดมสลบหมดฤทธิ์ ผู้ป่วยจะค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ และเริ่มหายใจเอง จากนั้นวิสัญญีแพทย์จะถอดท่อช่วยหายใจออกมาจากหลอดลม
ข้อดี
1. ผู้ป่วยไม่ต้องรับรู้ต่อเหตุการณ์ต่างๆในห้องผ่าตัด
2. วิสัญญีแพทย์สามารถควบคุมการหายใจ และระบบไหลเวียนได้ จึงเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดในช่องท้อง หรือในช่องอก
ข้อเสีย
ข้อเสียของการวางยาสลบ จะมีมาก เนื่องจากการใช้ยาหลายตัว และกรรมวิธีมากมาย จึงมีผลข้างเคียงได้บ่อย แต่มักไม่อันตราย จะหายได้เองในเวลาอันสั้น ได้แก่
1. อาการเจ็บคอ ระคายคอ หรือ เสียงแหบ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการสอดใส่ท่อช่วยหายใจผ่านเข้าไปในหลอดลม อาการนี้อาจจะพบในบางราย แต่จะไม่นานเกินกว่า 24-48 ชม. ก็จะหายไปได้เอง
2. อาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน มึนงง ในช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัด อันเป็นผลโดยตรงจากยาแก้ปวด และยาดมสลบ
3. มีความต้องการยาแก้ปวดในช่วงหลังการผ่าตัดสูงกว่าการใช้วิธีฉีดยาชาบล็อกไขสันหลัง
4. มีความเสี่ยงในเรื่องของการสำลักเศษอาหารที่ขย้อนออกมาจากกระเพาะอาหารในระหว่างที่กำลังจะเริ่มดมยาสลบ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผู้ป่วยงดน้ำงดอาหารมานานพอหรือไม่ ในทางปฏิบัติจะต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชม. ก่อนได้รับการวางยาสลบ เพื่ออาหารที่รับประทานเข้าไป จะได้เคลื่อนออกไปจากกระเพาะอาหารให้หมดก่อน
การบล็อกหลัง (การให้ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่) หรือ Regional anesthesia
วิธีที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดบริเวณขาหรือสะโพก หรือ แม้แต่การผ่าตัดช่องท้องส่วนล่าง เช่นการผ่าคลอด ผ่าตัดไส้ติ่ง ก็สามารถทำได้ แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่
2.1 Epidural block เป็นการฉีดยาชาเข้าไปช่องเหนือ ช่องน้ำไขสันหลัง
2.2 Spinal block เป็นการฉีดยาชาเข้าไปในช่องน้ำไขสันหลัง
ส่วนจะเลือกแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญของวิสัญญีแพทย์ แต่โดยทั่วไป การฉีดยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง หรือ Spinal block จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะว่าใช้เวลาในการทำสั้นกว่า ออกฤทธิ์เร็วและแน่นอนกว่า
กรรมวิธีในการทำ ก็จะให้ผู้ป่วยนอนตะแคง ก้มหน้าเอาคางชิดออก งอสะโพก งอเข่า เอาเข่าชิดท้อง หลังงอเหมือนกุ้ง เพื่อที่จะให้ช่องระหว่างกระดูกสันหลังเปิดกว้างที่สุด วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณผิวหนังที่จะฉีดยา เพื่อลดอาการเจ็บในขณะที่แทงเข็มที่จะใช้ทำการบล็อก แต่สำหรับวิสัญญีแพทย์ที่มีความชำนาญบางท่าน อาจจะเลือกที่จะแทงเข็มบล็อกไปในทีเดียว ไม่ฉีดยาชาก่อน เพราะว่าเจ็บเพียงครั้งเดียวเหมือนๆกัน นอกจากนั้น เข็มที่ใช้ในการบล็อกจะมีขนาดที่เล็กมาก ทำให้บางครั้ง เจ็บน้อยกว่าการแทงน้ำเกลือ หรือ เจาะเลือดด้วยซ้ำไป
ข้อดี
1. กล้ามเนื้อของขาจะหย่อนตัวได้ดีกว่าการวางยาสลบ ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดได้สะดวกกว่า
2. ความต้องการยาแก้ปวดในช่วงหลังผ่าตัดจะน้อยกว่าการวางยาสลบ เนื่องจากระบบประสาทถูกสกัดจากยาชาก่อนที่จะเกิดบาดแผล ผิดกับการวางยาสลบ ซึ่งยาสลบจะไปกดสมองไม่ให้รับรู้ความเจ็บปวด แต่ ระบบประสาทไขสันหลัง และระบบประสาททั่วร่างกายยังทำงานของมันอยู่ ทำให้เมื่อยาสลบหมดฤทธิ์ ก็จะปวดมาก
3. หากผู้ป่วยกลัว หรือ กังวลมาก ก็อาจจะให้ยานอนหลับ (คนละชนิดกับยาสลบ) ให้หลับ เพื่อลดความกลัว ลดความกังวล
ข้อเสีย
1. หลังผ่าตัดจะขยับขาไม่ได้อยู่ประมาณ 2-4 ชม (นับจากเริ่มวางยาชา) ในบางรายอาจจะรู้สึกรำคาญ หรือ เมื่อยขา โดยเฉพาะในช่วงที่ยาชากำลังจะหมดฤทธิ์ หรืออาจรู้สึกเหมือนกับขาที่ยังงออยู่ หรือ ยกลอย แต่ไม่สามารถขยับขาได้
2. อาการปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่มักจะเกิดขึ้นในช่วง 12 ชม.แรก ซึ่งมักจะได้รับการสวนสายปัสสาวะช่วย
3. อาการปวดหลัง หรือ เมื่อยหลัง อาจจะเป็นได้ในช่วงวันแรก
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ แพทย์จะเลือกวิธี บล็อกไขสันหลัง เนื่องจาก ทำได้ง่ายกว่า และ ปลอดภัยที่สูงกว่า มีความเสี่ยงต่อการสำลักน้อยกว่า และต้องการดูแลหลังการผ่าตัดในห้องพักฟื้นสั้นกว่า รวมไปถึงผู้ป่วยเองก็ต้องการยาแก้ปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่าอีกด้วย ...
ทั้งสองวิธี ก็มีข้อดีข้อเสีย ...ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะการผ่าตัด และ สภาพของผู้ป่วย
แต่ไม่ว่า วิธีไหน ก็ยังมีความเสี่ยง เสี่ยงมากเสี่ยงน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งแพทย์ผู้ผ่าตัด และ แพทย์ดมยา (วิสัญญีแพทย์) จะเป็นผู้ประเมิน ความเสี่ยงอีกครั้ง ..
..................................
สรุปภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากการให้ยาระงับความรู้สึกทุกชนิด | https://www.nkp-hospital.go.th/institute/unconsciousness/p6-4.php พบได้บ่อย (1/10-1/100) - คลื่นไส้ อาเจียน การผ่าตัดและยาสลบบางชนิดมีผลทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจเป็นช่วงสั้นๆหรือหลายวันหลังการผ่าตัด สามารถรักษาด้วยยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน - อาการเจ็บคอ ผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรืออุปกรณ์ช่วยหายใจบางชนิดอาจมีอาการเจ็บคอหลังการผ่าตัดสามารถรักษาด้วยการให้ยาอมแก้เจ็บคอ - วิงเวียน ตาลาย ยาสลบและการเสียเลือดระหว่างการผ่าตัดมีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำลงทำให้เกิดอาการวิงเวียน ตาลาย การให้น้ำเกลือและยาสามารถบรรเทาอาการได้ - อาการหนาว-ตัวสั่น เกิดจาก ภาวะเครียด ยา อากาศเย็นในห้องผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลให้ความอบอุ่นโดยผ้าห่มไฟฟ้าและยา - ปวดศีรษะ เป็นผลจากยาสลบ การผ่าตัด การขาดน้ำ ความเครียด อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงอาจเกิดหลังการฉีดยาเข้าไขสันหลัง อาการมักจะดีขึ้นในช่วงสั้นๆหลังผ่าตัดหรือโดยการให้ยาระงับความปวด - อาการผืนคัน เป็นผลจากยาแก้ปวด ยาสลบ สารน้ำ รักษาได้ด้วยยา - อาการปวดหลัง การจัดท่าผ่าตัดการนอนท่าเดียวกันเป็นระยะเวลานานๆ แม้ว่าจะมีการดูแลอย่างดีในระหว่างการผ่าตัด - การปวดบริเวณเข็มแทงน้ำเกลือ ยาสลบยาแก้อักเสบหรือยาอื่นๆทำให้เกิดอาการปวดระหว่างการให้ได้ การรเคลื่อนไหวการอักเสบบริเวณเข็มแทงน้ำเกลือส่งผลทำให้มีอาการปวดบริเวณดังกล่าว - ภาวะสับสนหรือการสูญเสียความทรงจำช่วงสั้นๆ มักพบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการวางยาสลบหรือผู้ป่วยที่สูงอายุสาเหตุไม่แน่ชัด มักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆและเป็นแบบชั่วคราว พบไม่บ่อย (1/1000) - การติดเชื้อที่ปอด มักเกิดกับผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ทำให้เกิดอาการเหนื่อย จึงควรหยุดสูบบุหรี่ให้นานที่สุดก่อนการผ่าตัด - ปัสสาวะยาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาเข้าไขสันหลังในบางครั้งอาจต้องได้รับการสวนปัสสาวะ อาการปวดกล้ามเนื้อ ยาหย่อนกล้ามเนื้อบางชนิดมีผลทำให้เกิดอาการดังกล่าว - การกดการหายใจ(หายใจช้าหรือน้อยกว่าปกติ)ยาสลบทุกชนิดมีผลต่อการกดหายใจดังนั้นผู้ที่ได้รับการให้ยาระงับความรู้สึกจึงต้องได้รับออกซิเจนและการดูแลหลังการผ่าตัด - บาดเจ็บต่อฟัน ริมฝีปาก ลิ้นในผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจยาก มีปัญหากรามแข็งหรือช่องปากแคบ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะดังกล่าว - อาการกำเริบของโรคประจำตัว โดยปกติผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอัมพฤกษ์ โรคเบาหวาน จะต้องได้รับการควบคุมก่อนผ่าตัด แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติโรคดังกล่าวก็สามารถกำเริบได้โดยตัวโรคเองแม้จะไม่ได้เข้ารับการผ่าตัด - ภาวะรู้สึกตัวระหว่างการให้ยาระงับความรู้สึก(สลบ) ภาวะเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยและ ชนิดของการผ่าตัดเช่น ผู้ป่วยที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง วิสัญญีแพทย์อาจไม่สามารถให้ยาสลบที่ลึกมากได้เนื่องจากยาสลบที่มาก อาจจะกดระบบการทำงานของร่างกายมากเกินไปทำให้เกิดผลเสียได ้อย่างไรก็ตามโดยปกติวิสัญญีแพทย์จะพยายามควบคุมระดับยาสลบให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว พบได้น้อยมาก (1/10,000-1/200,000) - อาการบาดเจ็บต่อนัยน์ตา ทีมวิสัญญีจะพยายามป้องกันการบาดเจ็บต่อตาของผู้ป่วย โดยใช้พลาสเตอร์ปิดตาระหว่างที่ผู้ป่วยสลบ - -ภาวการณ์แพ้ยา เป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อุบัติการณ์ดังกล่าวประมาณ1/10,000-1/13,000 ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาหรือมีญาติหรือบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดจะต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาก่อนผ่าตัด - การบาดเจ็บต่อเส้นประสาทอาจเกิดจากการฉีดยาเข้าไขสันหลังหรือการกดต่อเส้นประสาทในผู้ป่วยที่นอนอยู่ในท่าเดียวเป็นระยะเวลานานๆ อาจการมักเป็นแบบชั่วคราวและหายได้ใน 2-3 เดือน - การเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด ที่มีสาเหตุหลักจากการให้ยาระงับความรู้สึกพบได้น้อยมาก ประมาณ4-5 รายในผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึก 1,000,000 ราย - ความผิดพลาดจากเครื่องมืออุปกรณ์ เช่นระบบก๊าซ หรือเครื่องช่วยหายใจ แม้พบได้แต่เนื่องจากวิวัฒนาการทางการแพทย์ทำให้มีระบบเครื่องมือติดตามเตือนภัยระหว่างการให้ยาระงับความรู้สึกทำให้ทีมวิสัญญีทราบความผิดปกติดังกล่าวได้ ทำให้ความผิดพลาดแม้จะรุนแรงแต่ก็พบได้น้อยมาก | อัตราการการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึกใน รพ.นครพิงค์ จำแนกตาม ความแข็งแรงของผู้ป่วย | อัตราการเสียชีวิต | ในต่างประเทศ (%) | ในโรงพยาบาลนครพิงค์ (%) | 1 | 0-0.3 | 0 | 2 | 0.3-1.4 | 0.02 | 3 | 1.8-5.4 | 0.24 | 4 | 7.8-25.9 | 4.02 | 5 | 9.4-57.8 | 44.44 | ที่มา : ปัจจัยเสี่ยงและอุบัติการณ์การเสียชีวิตระหว่างและหลังการให้ยาระงับความรู้สึกในโรงพยาบาลนครพิงค์ วารสารวิชาการ สาธารณสุขปีที่ 17 ฉบับเพิ่มเติม 2 ASA 1 ผู้ป่วยสุขภาพดี ไม่มีความผิดปกติทางสรีรวิทยา, สุขภาพจิตดีและโรคที่มารับการผ่าตัดไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของระบบอื่น เช่น การผ่าตัดไส้เลื่อน, ผ่าตัดไส้ติ่ง หรือเนื้องอกไม่ร้ายแรงของเต้านม ASA 2 ผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของร่างกายเล็กน้อย เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ, โรคหัวใจหรือความดันเลือดสูงระยะเริ่มแรก, โรคเบาหวาน และผู้ป่วยอ้วน ASA 3 ผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพขั้นรุนแรงขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยโรคปอดขณะพักยังมีอาการหอบ โรคเบาหวานที่มีผลแทรกซ้อน เช่น โรคไตหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด/ตายและอาการเจ็บหน้าอกยังรักษาไม่ดีขึ้น ซึ่งภาวะดังกล่าวจะเป็นปัญหามากในการเลือกใช้ยา , ขนาดยา, และเทคนิคของการให้ยาระงับความรู้สึก รวมทั้งต้องการการดูแลและการใช้เครื่องมือตรวจผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพิ่มขึ้น ASA 4 ผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของร่างกายรุนแรงมากและไม่สามารถรักษาให้กลับมาสู่สภาวะปกติโดยยาหรือการผ่าตัด เช่น โรคของต่อมไร้ท่อที่สูญเสียหน้าที่อย่างมาก,โรคไต,โรคตับหรือโรคหัวใจที่มีพยาธิสภาพและสูญเสียหน้าที่มาก ASA 5 ผู้ป่วยที่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาหรือผ่าตัด | ภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในโครงการ THAI Study ภาวะแทรกซ้อน | อุบัติการณ์ต่อ 10,000 ราย | การสำลักอาหารเข้าปอด (Pulmonary Aspiration) ใส่ท่อช่วยหายใจผิดตำแหน่งเข้าหลอดอาหาร (Esophageal Intubation) ระดับออกซิเจนต่ำ (Desaturation) ภาวการณ์ใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำในห้องพักฟื้น (Re-intubation) ภาวการณ์ใส่ท่อช่วยหายใจยาก (Difficult Intubation) ไม่สามารถใส่ท่อช่วยหายใจได้ (Failed Intubation) ระดับยาชาเกิน (Total Spinal Block) รู้สึกตัวระหว่างดมยาสลบ (Awareness (during GA)) ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง (Coma/CVA/Convulsion) บาดเจ็บต่อเส้นประสาท (Nerve Injuries) การให้เลือดผิดกลุ่ม (Transfusion Mismatch) กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือตาย (Suspected MI / Ischemia) หัวใจหยุดเต้น (Cardiac Arrest) ตาย (Death) แพ้ยา (Anaphylaxis/Anaphylactoid reaction) ความผิดพลาดในการให้ยา (Drug Error) ความผิดปกติของอุปกรณ์ (Equipment Malfunction/Failure) (Anesthesia Personnel Hazard) การนอนโรงพยาบาลโดยไม่ได้วางแผน (Unplanned Hospital Admission) การเข้า ICU โดยไม่ได้วางแผน (Unplanned ICU Admission) | 2.7* 4.1* 31.9 19.4* 22.5* 3.1* 1.3** 3.8* 4.8 2.0 0.18 2.7 30.8 28.3 2.1 1.3 3.4 1.5 1.0 7.2 | ที่มา : ตำราวิสัญญีวิทยา : การให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อคุณภาพและความปลอดภัย,สมรัตน์ จารุลักษรานันท์ 2548 | ควรบอก หรือ ถามอะไร แพทย์ก่อนที่จะผ่าตัด ??? https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-01-2008&group=4&gblog=7 คำถามที่ควรถามแพทย์ของท่านก่อนที่จะผ่าตัด https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=12-01-2008&group=4&gblog=6 ผ่าตัด เสี่ยงหรือเปล่าครับหมอ ???.... " หมอรับรองหรือเปล่าว่าจะหาย ???" https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-09-2009&group=7&gblog=35 ข้อดี ข้อเสีย ของ การดมยา และการบล็อกหลัง https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-06-2008&group=6&gblog=17 คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่จะมารับยาสลบ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-06-2008&group=6&gblog=18
Create Date : 23 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 22 มกราคม 2562 21:54:48 น. |
|
1 comments
|
Counter : 114275 Pageviews. |
|
|
|
การให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปหรือการวางยาสลบ
//www.nkp-hospital.go.th/institute/unconsciousness/p6-2.php
การให้ยาระงับความรู้สึกแบบเฉพาะส่วนหรือการฉีดยาชาแบบเฉพาะส่วน
//www.nkp-hospital.go.th/institute/unconsciousness/p6-3.php
สรุปภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากการให้ยาระงับความรู้สึกทุกชนิด
//www.nkp-hospital.go.th/institute/unconsciousness/p6-4.php