ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 68) สลับร่างสร้างบล็อก
ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 68) ฉันเปิดกล่องข้อความในบล็อก ซึ่งตอนนี้แสดงสถานะว่ามีข้อความใหม่ขึ้นดู พบว่าเป็นข้อความของน้องปุ๋ย ประกายพรึก ที่ส่งมาเพื่ออนุญาตใช้แนวการเขียนของฉันเพื่อเขียนงานตะพาบในโจทย์สลับร่างสร้างบล็อก ฉันจึงส่งข้อความตอบกลับและไปComment ให้กำลังใจในการเขียนงานตะพาบในครั้งนี้ หลังตอบ Comment จากเพื่อนๆ ชาวบล็อกจนครบ ฉันก็ไปหาข้อมูลเรื่อง ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่หมอ สงสัย ว่าฉันจะเป็น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉันเพิ่งโดนยุงทั้งฝูงกัด แล้วทิ้งจุดแดงๆไว้ตามตัวเป็นอนุสรณ์เต็มไปหมด ต่อมาก็มีอาการไข้ติดต่อกันหลายวัน พอกินยาลดไข้ ไข้ก็ลด แต่พอหมดฤทธิ์ยา ไข้ก็กลับมาเหมือนเดิม แถมมีอาการปวดเมื่อยตามตัว รวมทั้งเบื่ออาหาร(ซึ่งเป็นอาการที่น่ากังวลที่สุด) จึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้ที่ทำงาน จากการซักประวัติ สอบถามอาการและเจาะเลือดตรวจดู พบว่าเกล็ดเลือดของฉันต่ำ หมอบอกว่า สงสัยโรคไข้เลือดออก เพราะช่วงหน้าฝนแบบนี้ โรคไข้เลือดออกกำลังระบาด หมอจึงจับฉันนอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ แถมยังจับให้น้ำเกลือ ซึ่งกว่าจะเจาะได้ก็ต้องเจาะตั้งหลายรอบ เพราะยิ่งกินอาหารได้น้อย กินน้ำได้น้อยเส้นเลือดก็ยิ่งเปราะและแตกง่าย ทำให้เจาะไม่ได้สักที ต้องเจ็บตัวหลายรอบเลย T-T
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ (DENGUE VIRUS) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เจ้ายุงลายนี้ ออกหากินในเวลากลางวัน ซึ่งยุงตัวเมียเท่านั้นที่เป็นพาหะนำโรค เพราะกินเลือดเป็นอาหาร (ร้ายจริงๆนะหล่อน) ส่วนยุงตัวผู้จะกินน้ำหวานหรือน้ำจากผักผลไม้เป็นอาหาร(น่ารักจริงๆ) ซึ่งการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ สามารถทำให้เกิดโรคที่มีอาการได้ 3 อย่าง คือ 1. กลุ่มอาการไข้ไม่ทราบสาเหตุ เป็นไข้ที่ไม่กี่วันก็หายเอง 2. โรคไข้เด็งกี่ (Dengue Fever) ไข้ชนิดนี้มีระยะฟักตัวตั้งแต่ยุงกัดจนเริ่มมีไข้ 1 7 วัน โดยมีไข้สูง 39 41 องศาเซลเซียส มักมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก อาจมีเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หลังจากมีไข้ 2 6วันจะมีผื่นตามลำตัวแขนขา อาการจะไม่รุนแรง (ซึ่งหมอบอกว่าฉันอยู่ในกลุ่มนี้ โชคดีจริงๆ) 3. โรคไข้เลือดออกเด็งกี่ (Dengue Hemorhagic Fever) มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสเด็งกี่เช่นกัน แต่ผู้ป่วยตอบสนองต่อเชื้อรุนแรงกว่า บางครั้งอาจเสียชีวิตได้ (โชคดีที่ฉันมีปฏิกิริยาตอบสนองช้า แถมยังเฉื่อยชา เลยไม่เป็นถึงขั้นนี้ มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย)ซึ่งกลุ่มนี้จะแบ่งอาการได้เป็น 3 ระยะ คือ 3.1 ระยะไข้สูง มีอาการคล้ายไข้เด็งกี่ คือ มีไข้สูง 39 41 องศาเซลเซียส ไข้มักสูงลอย 2 7 วัน มีหน้าตาแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครง มีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ตรวจโดยการรัดแขน (Tourniguetest) จะพบจุดเลือด 3.2 ระยะวิกฤต ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็วมือเท้าเย็น ปวดท้อง แน่นท้อง กระสับกระส่าย ปัสสาวะน้อยลง บางรายอาจเกิดภาวะช็อคคือ ชีพจรเบาและเร็ว ร่วมกับมีความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงในระยะนี้บางรายมีเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล เลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ 3.3 ระยะฟื้นตัว หลังผ่านระยะวิกฤตอาการทั่วไปจะดีขึ้นเริ่มอยากรับประทานอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น บางรายอาจมีผื่นแดงตามแขนขาซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วย ผู้ที่เป็นโรคไข้เลือดออก ห้าม กินยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของแอสไพริน เพราะยาประเภทนี้มีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด ยิ่งกินเข้าไปก็จะยิ่งเสริมฤทธิ์ของโรคไข้เลือดออกเข้าไปอีก ยิ่งจะทำให้อาการแย่กว่าเดิม ถ้าจะกินยาลดไข้ ควรกินยาพาราเซตามอลเท่านั้น เนื่องจากอาการเริ่มแรกของโรคไข้เลือดออก อาจคล้ายกับโรคอื่นๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีไข้เกิน 3 วัน หรืออาการไม่ดีขึ้น เช่นมีอาการปวดท้อง กระสับกระส่าย ปัสสาวะบ่อย ตัวเย็นซึม ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและตรวจรักษาได้ทันท่วงที คัน โอ๊ย! คัน คันตามคอ ตามแขน ตามขา ยัน... (อะไรก็แล้วแต่ไปคิดเอาเอง) ลูบก็แล้วเกาก็แล้ว ก็ไม่ทำให้อาการคันดีขึ้นเลย ซึ่งเจ้าอาการคันนี้มักจะเกิดขึ้นหลังอาหาร ตอนแรกคิดว่าอาจจะคันเพราะไข้เลือดออกตามที่ได้อ่านมา แต่นี่ไข้ก็ไม่มีแล้วทำไมถึงยังคันไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้ เกาเป็นลิงเป็นค่างจนอยากจะเอาตัวไปถูกับต้นไม้เหมือนน้องวัวน้องควายชอบทำยามเกิดอาการคันพอคันจนทนไม่ไหวก็เลยต้องแจ้นไปโรงพยาบาลอีกรอบ หลังจากหมอดูอาการและตรวจแล้วจึงบอกว่าฉัน แพ้ยา แล้วถามว่าก่อนหน้านั้นที่กินยาไป 1วันก่อนกลับบ้านไม่คันเหรอ ทำไมไม่บอกหมอ ฉันก็ได้แต่อุบอิบบอกไปว่า ก็คันแต่มันไม่คันมากเหมือนวันนี้ เลยคิดว่าอาจจะคันเพราะแพ้อากาศเย็นๆหมอจึงหยุดยาที่ให้แล้วให้ยาแก้แพ้มากิน บอกว่าถ้าไม่ดีขึ้นยังไงก็ให้กลับไปหาหมออีก แต่พอเลิกกินยาตัวนั้นเข้าไปอาการคันก็หายเป็นปลิดทิ้ง การแพ้ยาเป็นภาวะที่ร่างกาย เปลี่ยนแปลงการตอบสนองต่อยา เกิดเนื่องจากเคยได้รับยาชนิดนั้นหรือได้รับสารที่มีสูตร คล้าย คลึงกันมาก่อนและเมื่อร่างกายได้รับยาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้น อาการแพ้ที่เกิดจะเกี่ยวข้องกันแทบทุกระบบของร่างกายมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย จนรุนแรง มากถึงขั้นเสียชีวิต ลักษณะของการแพ้ยา ที่ไม่รุนแรง อาจมีเพียงผื่นคันคล้ายมลพิษผิวหนังอักเสบแดง หอบหืด (ซึ่งฉันเป็นแค่มีผื่นคันเท่านั้น โชคดีจริงๆ) อาการที่รุนแรงถึงชีวิต ส่วนใหญ่มักเกิดจากทางเดินหายใจตีบตัน ร่างกาย ขาดออกซิเจนอาการจะเกิดรวดเร็วมาก ต้องรีบทำการรักษา การแก้ไขเมื่อเกิดอาการแพ้ยา 1.หยุดใช้ยานั้นทันที 2.เมื่อหยุดยายังไม่หาย และอาการแพ้ไม่รุนแรง เช่นผื่นคันอาจกินยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามินหรือใช้ยาทาคาลาไมน์โลชั่น หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 3.ในรายที่เป็นรุนแรง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที 4.ในกรณีที่รับการรักษาจากแพทย์ เมื่อมีอาการแพ้ยาควรหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ การป้องกัน 1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เคยแพ้ 2.เมื่อมีอาการสงสัยว่า จะแพ้ยาที่กำลังใช้อยู่ ให้หยุดยาทันที 3. ต้องแจ้งให้หมอที่ท่านไปรักษาอยู่รู้ว่าแพ้ยาอะไร 4.อย่าซื้อยารับประทานเอง ตามคำโฆษณา (จาก www.si.mahidol.ac.th) นอนโรงพยาบาลครั้งนี้ทำเอาฉันย่ำแย่ไปเลยทีเดียว และทำให้รู้ซึ้งถึงคำพูดที่ว่า การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ มันช่างเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ตอนแรกกะจะโดดแล้วเชียว เพราะนึกไม่ออกว่าจะสลับร่างกับใครดี คุณชิวเอ๊ย คุณชีวิวนะคุณชีวิว คราวที่แล้วก็ทำเอาฝันดี (ฝันเห็นผีทั้งคืน)มาคราวนี้ก็ทำเอามึนตึ้บเลย พอดีคุณอ๋าวนารักษ์ แนะนำมาว่าแนวการเขียนคล้ายของพี่แอม peeamp ก็เลยลองไปดูบล็อกของพี่แอม ตอนนี้ต้องยกให้คุณอ๋าเป็นที่ปรึกษาในการเขียนงานตะพาบไปซะแล้ว555 คิดเองไม่ค่อยจะออก ต้องได้คำแนะนำ สมองน้อยๆเหมือนหอยขม ถึงจะยอมแล่น อ่านบล็อกของพี่แอมย้อนไปหลายๆบล็อก อืม เลียนสำนวนยากอ่ะ เพราะแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองก็เลยเลียนแบบแนวการเขียนดีกว่า เพราะเห็นมีเรื่องสุขภาพด้วย ตอนแรกจะเขียนเรื่องหวัดเพราะกำลังเป็นอยู่พอดี อุตส่าห์ไปโม้ให้คุณปอยฟังว่าช่วงนี้ร่างกายแข็งแรงเหมือนวัวถึกที่คึกพิโรธ แต่เหมือนประชด พอตกเย็นปุ๊บ ไปโดนละอองฝนนิดเดียวเท่านั้นแหละ อาการเจ็บคอมาทันทีเลยแง! ก็ใครมันจะไปนึก เคยเปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำทั้งตัวมาตั้งหลายรอบก็ไม่เป็นไร ตากแดดแรงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่โดนแค่ละอองฝนแค่เนี้ย เป็นหวัดเฉยเลย ฮือ! ด้วยความขี้เกียจในการหาข้อมูลเลยไม่เขียนเรื่องหวัดซะงั้น พอดีมีแผ่นพับโรคไข้เลือดออกอยู่ในมือเลยหาข้อมูลเรื่องแพ้ยาเพิ่มเติมนิดหน่อย ก็เอามาเขียนด้านสุขภาพ จึงได้งานตะพาบอย่างที่เห็น เตรียมตัวจะเขียนตั้งแต่เมื่อคืน แต่โดนกองหนังสือถล่มใส่ซะก่อน แขนที่โดนประตูกระแทกรอยเขียวๆ เพิ่งจะจางไป เมื่อคืนก็ได้ที่หน้าผากมาอีกรอยจากกองหนังสือที่ถล่มลงมาทับจนเห็นดาวระยิบระยับ เพื่อนนอนหัวเราะอยู่เตียงข้างๆอย่างสะอกสะใจ ไม่ได้คิดจะมาช่วยกันสักนิด ชิ งอน งอนทั้งเพื่อน งอนทั้งหนังสือ เลยนอนซะเลย 55555 (มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย) ตื่นเช้ามาก็เลยลุกมาเขียนก่อนออกไปทำงาน แต่วันนี้ยุ่งทั้งวันแถมมีประชุมอีกต่างหาก กว่าจะเลิกก็เกือบ 6 โมง เซ็งจริงๆ เอาเถอะ มาช้ายังดีกว่าไม่มา จริงไหมคะ แอบมาอัพก่อน ตอนนี้ต้องรีบออกไปหากิน เพราะหิวแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ว่างๆ จะแวะไปเยี่ยมนะคะ
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2555 18:45:35 น. |
|
94 comments
|
Counter : 3353 Pageviews. |
|
|
รู้สึกคล้ายว่าจะโดนสิง
เมื่อเช้าเลยแวะมา เห็นบ้านเงียบๆ
ได้แต่รอๆ เจอหนังสือแกล้งตกใส่นี่เอง
มีแอบฮาแทรกอยู่หลายตอนแบบอารมณ์ดี
ได้ความรู้เรื่องสุขภาพเป็นของแถมมาด้วย
ชอบค่ะ เอาไปร้อยคะแนน
ได้ที่ปรึกษาดีนี่เอง อิ อิ
แอมอร