ฉันสบตาแวววาวของน้องชายในความมืด ก่อนจะค่อยๆย่องออกจากที่นอนด้วยฝีเท้าเบากริบ แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เผลอทำเสียงดังจากการเดินบนแผ่นกระดานบนบ้าน
หลังจากนั้นจึงย่อตัวลงแล้วทิ้งตัวนอนคว่ำราบกับพื้น ก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้ากะลูกกะตาส่องลงไปข้างล่างแล้วผลุบหัวกลับมา
เฮ้อ ยังไม่หลับกันอีก ฉันบ่นในใจ เพราะเห็นพ่อกับแม่ยังนั่งคุยกันอยู่ข้างล่าง ยังไม่เข้าห้องนอนกันสักที
ฉันแนบแก้มลงกับกระดานแข็งๆนานจนเกือบจะเผลอหลับ สักพักไฟข้างล่างก็ดับลง ทำให้บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความมืด ฉันจึงผงกหัวขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเสียงปิดประตูห้องทำให้แน่ใจว่าพ่อกับแม่เข้านอนแล้ว เมื่อสายตาชินกับความมืดจึงหันไปมองน้องชาย ก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังย่องมาที่ฉัน
ฉันค่อยๆพยุงตัวขึ้นนั่งพร้อมๆ กับที่น้องชายย่องมาถึงตัวพอดี เราสองคนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงกรนของพ่อ จึงเริ่มเดินลงบันไดไป พอเดินไปถึงประตูก็ค่อยๆถอดสลักกลอนได้ยินเสียงคลิกเบาๆ พยายามบิดลูกบิดประตูให้มีเสียงดังน้อยที่สุด จนปิดประตูสำเร็จก็รีบเดินออกจากบ้านไป
ฉันกับน้องเดินไปถึงจุดนัดหมายก็พบร่างๆหนึ่งกำลังผุดลุกผุดนั่งรออยู่
ช้า รอตั้งนานแล้วนะ กลัวผีจะแย่อยู่แล้ว
เพื่อนข้างบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อเราสองคนเดินไปถึง
เออน่า นี่ก็รีบแล้ว กว่าจะออกมาได้ พ่อกับแม่เพิ่งจะนอนเมื่อกี๊นี้เอง รีบไปเถอะ
แล้วเราทั้งสามก็เริ่มออกเดิน เราเดินเลียบริมหนองน้ำหน้าบ้านไปเรื่อยๆ คืนนี้เป็นยามข้างขึ้น แม้พระจันทร์จะไม่เต็มดวง แต่ก็ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ รอบๆตัวชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยแสงไฟ
เราทั้งสามเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่คุยกันสักคำจนไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว อาคาร 2หลังยังคงตั้งอยู่ที่เดิมอย่างที่ชินตาเพราะต้องมาเรียนทุกวัน แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะเป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่นั่น
เราเดินไปยังถนนลูกรังหน้าโรงเรียนแล้วหยุดลงที่ต้นมะม่วงต้นแรก
หวานมั๊ย เพื่อนถามขึ้นเป็นคำแรกตั้งแต่เดินมา
ไม่รู้ ฉันตอบไปสั้นๆ
อ้าว แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้นไหนหวาน
จะไปรู้เรอะ อยากรู้ก็ชิมมันทุกต้นนี่แหละ แค่รู้ว่ามันเป็นมะม่วงและกินได้ก็หรูแล้ว ใครมันจะไปรู้ว่ามันหวานหรือไม่หวาน ก็มันเป็นมะม่วงมันที่หมู่บ้านเราไม่เคยมีมาก่อนนี่นา
แล้วเราทั้งสามก็เริ่มปีนต้นมะม่วงต้นแรก หลังจากเก็บไปได้สักพักฉันก็เอ่ยขึ้น
พอก่อน เก็บเยอะๆ เดี๋ยวครูจะผิดสังเกต
เก็บไปได้สักพักก็เห็นแสงไฟแบตเตอรี่ส่องเล็ดลอดมายังต้นมะม่วงที่เรากำลังปีนอยู่
มีคนมา เราทั้งสามตัวแข็งอยู่บนต้นมะม่วง แต่เมื่อแสงไฟนั้นผ่านและหายไปก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก คงจะเป็นชาวบ้านที่ออกยิงนกยิงหนูที่ออกหากินในตอนกลางคืน และแสงไฟจากแบตเตอรี่ยังไปได้ไกลคงจะแค่เล็ดลอดผ่านมาเท่านั้น
หลังจากนั้นเราทั้งสามก็เดินเก็บมะม่วงจนครบทุกต้น จนเต็มถุงที่เตรียมมา พอเก็บเสร็จก็รีบเดินกลับทันที แต่ขากลับเราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะโล่งใจที่ไม่โดนจับได้ซะก่อน
เราสามคนหาที่ซ่อนมะม่วงใกล้ๆต้นจามจุรีริมบึงหน้าบ้าน เพื่อจะมาแอบ ชิม ด้วยกันได้โดยสะดวก
ที่จริงก็ไม่อยากจะลักกินขโมยกินอย่างนี้หรอก(เหรอ) แต่ครูหวงมะม่วงเหลือเกิน ย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามเก็บ ทั้งๆ ที่ให้นักเรียนอย่างเราๆ เป็นคนดูแล ตั้งแต่รดน้ำทุกเช้า เย็น พรวนดิน เอาปุ๋ยจากที่บ้านมาใส่ ดูและทะนุถนอมอย่างดี จนต้นมะม่วงสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาและออกดอกออกผลดกไปทั้งต้น
แล้วยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งเพื่อนบอกว่าบางต้นหวานมันมาก(เพราะแอบชิมมาก่อน) ก็ยิ่งเย้ายวนให้อยากขโมย และทำตัวเป็นขโมยอย่างนี้ แล้วยิ่งได้ชิมยิ่งสมใจ เฮ้อ! ของลักกินขโมยกินนี่ช่างอร่อยจริงๆเลย
ได้รับโจทย์มาแล้วนึกถึงวีรกรรมเมื่อตอนเป็นเด็กขึ้นมาทันที ซึ่งเป็นวีรกรรมที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งตอนคุณนายแม่โทรมาบอกอย่างโมโหโกรธาว่าแก้วมังกรโดนขโมย ก็ได้แต่หัวเราะขำ แหม ลูกๆ ของแม่แต่ละคนก็ใช่ย่อย แสบๆทั้งนั้น สงสัยเวรกรรมจะมีจริง
แต่พอคุณนายโทรมาบอกว่ากระต่ายตัวเท่าลูกหมาสองตัวโดนขโมยเท่านั้นแหละ ชักจะเริ่มหัวเราะไม่ออก แหม ขโมยของกินก็พอหยวนๆ กันได้ นี่เดาะขโมยสัตว์เลี้ยงแสนรักของน้องชายกับคุณนาย ทั้งคู่แทบเต้น ไม่รู้จะทำยังไง นอกจากปลอบให้คุณนายท่านทำใจ เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองพ่อแม่ผู้ก่อกรรม แหะๆ (มันเกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย)ที่จริงพ่อแม่ก็สอนนะ ว่าไม่ให้ไปขโมยของชาวบ้านเขา แต่เราก็ทำกันเรื่อย เกเรกันจริงๆเลย
ทั้งๆ ที่ปกติก็ออกจะเป็นเด็กที่เรียบร้อย น่ารัก เหมือนผ้าพับไว้ (แหวะ) แต่โดนไม้เรียวแทบทุกวันเลย ง่า ไม่ได้ดื้อน้า แค่อยากรู้อยากเห็นมากไปนิดส์
แหม ก็สภาพแวดล้อมมันเป็นใจ คิดดูสิ หน้าบ้านเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ เด็กกับน้ำถูกโฉลกกันดีนักแล แอบไปเล่นบ่อยๆแม่กลัวจมน้ำตายทั้งพี่ทั้งน้องก็เลยตีและห้าม แต่คิดเหรอว่าจะทำได้
ข้างบ้านเป็นทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตา ต้นหว้าต้นใหญ่กับต้นมะขามที่อยู่ไกลลิบๆ ปีนสนุกมากกกก
หลังบ้านเป็นป่าที่ยังไม่ถูกแผ้วถาง อุดมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ที่สมัยนี้ไม่มีแล้ว โดยเฉพาะของกิน อย่างมะม่วงพันธุ์ดั้งเดิม ลูกป้อมๆ แต่สุกแล้วหวานจับใจ ฝรั่งขี้นกเยอะแยะให้เลือกปีน บักแงว หมากเล็บแมว หมากเม็ก หมากกิโก่ย (ภาษาอีสานภาษาไทยเรียกไรไม่รู้)มะขามหวานและมะปราง (บ้านคนอื่น) ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ (โทษไปทั่วแหละ) จึงทำให้ซนไปนิ้ดส์นึง แหะๆ
เมื่อวันเสาร์มีอาการท้องเสียขนาดหนักตั้งแต่ตี 1เลยไปหาหมอ หมอเลยให้หยุดงาน เพราะต้องออกไปข้างนอก คงไม่ไหวแน่ ได้แต่วิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น (รวมๆ แล้ว 10 กว่ารอบ)แล้วก็นอนหมดแรงอยู่ในห้อง
แต่พอตอนเย็นอาการดีขึ้น อยากกินข้าวต้มปลา ไม่กล้าจะฝากใครก็เลยถ่อสังขารปั่นจักรยานไปซื้อเอง พอผ่านร้านหนังสือก็พ่ายแพ้แก่กิเลสเช่าหนังสือมา 4 เล่ม กินข้าวเสร็จก็อ่านนิยายจนสว่างคาตา
ผลของการดันทุรังและไม่เจียมสังขาร ทำให้วันอาทิตย์ มึนๆ เบลอๆ เอ๋อๆ งงๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เหมือนเคยต้องออกไปซื้อข้าวกินเอง ปั่นจักรยานไปอย่างเซื่องๆหัวใจก็เต้นแรงและเร็วจนกลัวว่ามันจะวายไปซะก่อน
แต่ยัง ยังไม่เข็ด คืนต่อมาก็อ่านจนถึงตี5 เพราะติดพัน เช้าวันจันทร์เลยเอ๋อสมบูรณ์แบบ เยี่ยมมาก!
แล้ววันต่อๆ มาก็ต้องหัวปั่นกับการเตรียมงานแข่งขันกีฬาเล็กๆที่จะเริ่มอาทิตย์หน้า ทั้งประชุมแทบจะทุกวัน กับสารพัดเอกสารที่ต้องเคลียร์ก่อนจะสิ้นปี ก่อนที่จะชิ่งหนีไปพักวันปีใหม่ เล่นเอาหัวหมุนเลย เฮ้อ!
เพราะฉะนั้น ถ้างานซาๆ เดี๋ยวจะแอบแว่บอู้งานไปทักทายนะคะ
เด๋วมาอ่านน้า