ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 77) "อย่า" อยู่ห่างจากสายตาฉันจะได้ไหม
อย่า อยู่ห่างจากสายตาฉันจะได้ไหม เป็นเหมือนกันไหม ชอบให้คนที่เรารักมาอยู่ใกล้ๆ สำหรับฉัน ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ไม่ต้องทำอะไรให้ก็ได้ ขอแค่ได้รับรู้ว่าอยู่ใกล้ๆ หรือมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายดีก็พอใจแล้ว เวลากลับบ้าน ถ้ารู้ว่าใครคนใดคนหนึ่งไม่อยู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือน้องๆ ฉันจะรอคอยอย่างกระวนกระวายใจ จนกลับมาให้เห็นหน้าโน่นแหละถึงจะคลายใจ ทั้งที่ปกติก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย แต่แค่รู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน กับเพื่อนก็เหมือนกัน ปกติก็อยู่ด้วยกันแบบเงียบๆ แต่ละคนอยู่ในโลกส่วนตัวเป็นของตัวเอง บางครั้งแทบจะไม่ได้คุยกันเลย พอเลิกงานปุ๊บ เพื่อนจะนอน ส่วนฉันก็จะออกไปเตร่ๆ อยู่ข้างนอก เคยได้ยินว่าการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา มันจะก่อให้เกิดภาวะกดดัน ทำให้รู้สึกขัดแย้งกันได้ง่ายๆ (ไปได้ยินหรืออ่านมาจากไหนไม่รู้) ฉันก็เลยตัดสินใจออกไปข้างนอกเอง เพื่อให้ต่างคนต่างมีเวลาส่วนตัวบ้าง พอกลับมาจากข้างนอก เพื่อนก็ดูละครไป ส่วนฉันก็อ่านนิยายไป ต่างคนต่างจมอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง มันเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้แหละ ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันติดเพื่อนมากกว่าที่คิด ทั้งที่ปกติก็มีห่างกันบ้าง เช่น ตอนเพื่อนกลับบ้าน (2-3 เดือนครั้ง) หรือฉันกลับบ้าน (ปีละ 2-3 ครั้ง) แต่ห่างครั้งนี้กลับเป็นความห่วงที่มาพร้อมกับความห่าง ก็รู้นะว่าต่อให้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็อยากไปเห็นกับตาว่ามันปลอดภัยดีแค่นั้นแหละ เมื่อวันเสาร์เลิกงานเสร็จก็รีบไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ ตอนแรกชั่งใจอยู่ว่าจะขึ้นรถทัวร์หรือรถตู้ดี (รถทัวร์ก็ต้องไปลงสายใต้แล้วนั่งรถไปอนุสาวรีย์ต่อรถไฟฟ้าไปแล้วก็ต่อรถเมล์ไปอีกต่อ แต่ถ้ารถตู้ก็ลดระยะเวลาการเดินทางไปอีกหน่อย) สุดท้ายก็ตัดสินใจลองนั่งรถตู้ดู เพราะจะปอดแหกต่อไปก็ไม่ได้ต้องขึ้นลงแบบนี้อีกหลายอาทิตย์ แถมจะกลัวไปทั้งชาติก็ไม่เข้าท่า คงไม่มีอะไรร้ายแรงอีกแล้วแหละ (มั๊ง) ช่วงแรกๆ ก็นั่งจ้องเขม็งไปข้างหน้า พอมีรถเข้ามาใกล้ๆ ก็จะเสียววูบ พยายามหาเพลงมาฟังเพื่อให้ผ่อนคลาย จนไปถึงโดยสวัสดิภาพก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ไปถึงเพื่อนมีสีหน้าสดใสขึ้น แผลที่คอก็ดีขึ้น แผลที่เชิงกรานก็ตัดไหมแล้ว ส่วนหัวก็ยังถ่วงไว้เหมือนเดิม แต่เสียงยังคงแหบเหมือนเป็ดและเจ็บคอเวลากลืนอาหารเหมือนเดิม หมอสงสัยว่าลวดที่มัดกระดูกไว้มันจะเด้งออกมา เพราะกระดูกท่อนล่างมัดได้ไม่แน่น เนื่องจากกระดูกบางและเริ่มจะร้าว หมอกลัวกระดูกจะหักเลยไม่กล้ามัดแน่นมาก ที่จริงเพื่อนอยาก X-Ray ดูว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่หมอบอกว่ารอให้กระดูกติดก่อนค่อย X-Ray ว่าเป็นเพราะอะไรจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการนั่ง เพราะการ X-Ray อาจต้องยกคอ เสี่ยงต่อการทำให้กระดูกเลื่อนหรือไม่ติดได้ รอให้กระดูกติดก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรค่อยผ่าตัดแก้ไขทีหลัง (ครั้งที่ 3) ซึ่งก็ต้องรออีก 4-6 อาทิตย์ จนหมอบอกให้ไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโรงพยาบาลบ้าง เพราะที่คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรยังเกิดปัญหาได้ พึ่งวิทยาศาสตร์ผลออกมาไม่ดี ก็ต้องพึ่งไสยศาสตร์ด้วย หมอบอกขำๆ ตอนแรกก็ชวนคุยแล้วก็เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง สักพักเพื่อนบอกว่าเวียนหัว คลื่นไส้ จะอ้วก ฉันกับแม่ก็ลุกลี้ลุกลน จะเรียกพยาบาลให้ก็ไม่เอา แม่บอกว่าวันนี้มีคนมาเยี่ยมเยอะ คุยทั้งวันเสียงเลยแหบแถมยังไม่ได้นอน ฉันเลยเดาว่าคงเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนก็เลยเวียนหัว จนได้ยินเสียงกรนเบาๆ ก็เลยหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ กลางคืนฉันก็ยังตื่นมาเป็นพักๆ เพราะเพื่อนปวดฉี่ แม่ก็เอากระโถนมาให้ฉี่เพราะตอนนี้เอาสายสวนออกแล้ว และต้องนอนอย่างเดียว ช่วงนี้ฉันนอนไม่หลับ แถมหลับไม่ค่อยสนิท ยิ่งหลังจากเลิกกินยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ (ที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วง) ก็ยิ่งนอนไม่หลับ แล้วยังชอบสะดุ้งตื่นมากลางดึกประมาณตี 3 ตี 4 ทุกคืน จนรอบตาคล้ำ แต่ก็ไม่รู้ทำไง ทั้งๆ ที่ก็สวดมนต์ก่อนนอนแล้ว เห็นทีต่อไปคงต้องนั่งสมาธิร่วมด้วย เผื่อจะดีขึ้น ตอนเช้าฉันก็เดินไปซื้อข้าวมาไว้ให้แม่ และตักบาตร กลับมาก็หาน้ำให้เพื่อนกรวดอุทิศส่วนกุศลแล้วก็เอาลงไปเทข้างล่าง ระหว่างที่เทน้ำอยู่ก็เหลือบไปเห็นเม็ดดำๆ เล็กๆ อยู่ตามพื้นดินเต็มไปหมด ดูดีๆ ก็เลยรู้ว่ามันเป็นลูกคางคก น้ำในบ่อมันล้นเลยไหลออกมาตามน้ำกระจายอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด ฉันนึกถึงวิชาชีววิทยา ลูกคางคกยังไม่มีขา แล้วมันอยู่บนบกได้ไหมหว่า ไปชะโงกดูในบ่อก็เห็นว่ายอยู่ในน้ำเยอะแยะเลย ก็เลยตัดสินใจตักกลับคืนบ่อ จะใช้มืออันหยาบกระด้างจับก็กลัวมันจะขี้แตก เลยเอาฝาขวดน้ำอัดลมแถวๆ นั้นตักแล้วเอาลงบ่อ แต่มันมีเยอะมาก กว่าจะตักเสร็จก็ปาไปเกือบชั่วโมง นั่งจนขาแข็งไปหมด เสร็จแล้วก็หาก้อนหินมากั้นทางน้ำไหลก่อนจะขึ้นห้องไป ไปถึงแม่ถามว่าไปไหนมา หายไปนานเชียว ฉันก็เลยเล่าให้ฟัง แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า กิงกั๊วะ ซึ่งภาษาบ้านฉันแปลว่าคางคก (สอนไปตั้งหลายคำมันจำแม่นแต่คำนี้ เจริญจริงๆ) แล้วก็หัวเราะใหญ่ พอเห็นสีหน้าสดใสของเพื่อนก็ทำให้ฉันกับแม่อดจะหัวเราะไปด้วยไม่ได้ หัวเราะเสร็จฉันก็พูดต่อ เออสิ ลูกคางคกเยอะแยะเลย จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ เดี๋ยวลูกน้องตายหมด พูดจบมันก็ยิ่งหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้ตอนนอนอยู่ที่หอ ระหว่างที่เพื่อนดูละครอย่างตั้งใจและฉันก็นอนอ่านหนังสือ (นิยาย) อย่างคร่ำเคร่ง อยู่ๆ เสียงคางคกร้องก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแถมร้องเสียงดังอีกต่างหาก จนเราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน มันหันมาหาฉันแล้วบอก ปุ๋ย ไปบอกลูกน้องให้เงียบหน่อยสิ ส่งเสียงรบกวนอยู่ได้ เป็นนางพญาคางคกไม่ใช่เหรอ ฉันก็ได้แต่ส่งค้อนให้ แหม แต่ละฉายา ดีๆ ทั้งนั้น แม่ลูกคู่นี้เขาชอบทำซึ้งกัน ช่วงแรกที่ผ่าตัด เพื่อนไอทั้งคืน เราสองคนก็ต้องตื่นมาทั้งคืน แม่จะคอยใช้ทิชชูเช็ดเสมหะให้ ส่วนฉันก็จะฉีกทิชชูเป็นชิ้นๆ ให้สะดวกต่อการใช้ และครั้งที่มันอาเจียนจะร้องไห้เพราะความทรมาน มันก็ถามแม่ว่าแม่แหนื่อยมั๊ย ขอโทษที่ทำให้แม่ลำบาก ต้องเป็นภาระให้แม่ ทั้งๆ ที่ยังตอบแทนบุญคุณได้ไม่มากเลย ยังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำให้อีกเยอะแยะ แม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก ขอแค่ให้หายก็พอ ฉันก็ได้แต่ยิ้มและอดนึกถึงแม่ตัวเองไม่ได้ คนเป็นแม่นี่ทั้งน่านับถือ ทั้งน่ายกย่อง พระคุณท่านยิ่งใหญ่จนทดแทนเท่าไหร่ก็ไม่หมด หาอะไรมาเทียบก็ไม่ได้ แล้วอยู่ๆ มันก็หันมาถามฉันว่าเหนื่อยมั๊ย ฉันก็แค่ยิ้ม แล้วบอกไปว่า ไม่หรอก ร่างกายไม่เหนื่อยแน่ๆ แต่หนักใจและเครียดเรื่องอาการของเพื่อนมากกว่า ฉันอยู่เป็นเพื่อนแม่จนถึงบ่ายๆ ก็กลับ ขากลับรถตู้ขับเร็วมากจนฉันผวาตลอดทาง แล้วก็มีรถกระบะตัดหน้า รถตู้ชะลอและบีบแตรยาวดังลั่นจนฉันใจหาย หัวใจเต้นแรงและคงจะไปกองอยู่ตาตุ่ม ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคนขับถึงไม่สำนึกบ้างนะ ว่าไม่ได้มีแค่ชีวิตตัวเองแค่ชีวิตเดียว แต่ต้องรับผิดชอบชีวิต พ่อแม่พี่น้องลูกหลานของคนอื่นด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ตัวเองจะเดือดร้อน คนที่โดยสารมาด้วยก็อาจจะบาดเจ็บ หรืออาจร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้ แล้วรับผิดชอบไหวเหรอ ประมาทกันจริงๆ
ช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก เลยบ่นอะไรเรื่อยเปื่อยไปก่อน แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเอ๋อๆ เบลอๆ มากกว่าปกติอีกหลายเท่า อาทิตย์ที่แล้วไปซื้อทิชชูที่ Big C แต่ดันยื่นบัตร Lotus ให้พนักงาน น้องชายถามว่า ไม่โดนพนักงานตบหรือไง ม่ายอ่ะ เขาก็แค่ยื่นบัตรคืนแล้วบอกว่า บัตร Lotus ต้องยื่นที่ Lotus นะคะ และฉันก็แค่อายจนแทบจะแทรกเคาท์เตอร์หนีแค่นั้นเอ๊ง คงอีกนานกว่าสติสตังจะกลับมาเป็นปกติ เฮ้อ! ตอนนี้ต้องถ่วงหัวแบบนี้อีก 4-6 อาทิตย์
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก //www.primary-surgery.org/ps/vol2/html/sect0232.html
Create Date : 26 มีนาคม 2556 |
Last Update : 26 มีนาคม 2556 18:37:55 น. |
|
55 comments
|
Counter : 2575 Pageviews. |
|
|
..
ว่าแต่ กล้าอะนะ
ลูกคางคกเชียวนะ
เล็กไม่กล้าแตะอะ แฮ่..