ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 72) "บ้านเช่าหลังสุดท้าย ท้ายซอย 4"
ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 72)
เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในเมื่อเจ้าของโทรศัพท์ยังไม่รับสายสักที แต่ดูเหมือนคนปลายสายจะมีความพยายามพอสมควร หรือไม่ก็คงรู้นิสัยของคนที่โทรมาหาดี จึงยังคงโทรอย่างต่อเนื่อง ไม่รีบร้อนวางสายไปเสียก่อน ร่างเล็กๆ ที่ซุกตัวอยู่กับผ้าห่มบนเตียงจำต้องพลิกตัวอย่างเกียจคร้านเพราะทนรำคาญเสียงเรียกจากโทรศัพท์ไม่ไหว ตอนตั้งริงโทนเธอก็ว่าเธอเลือกเพลงที่ชอบและคิดว่าเพราะที่สุดแล้วนะ แต่ไหงตอนนี้มันถึงได้ฟังหนวกหูและน่ารำคาญนักวะ หญิงสาวคิดอย่างหงุดหงิด ก่อนจำใจเอื้อมมือคว้ามือถือบนหัวเตียงมากดรับ โหล เอากี่โหลดีล่ะ โณทัย เสียงปลายสายตอบมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นต้นสายเงียบไปก็เอ่ยขึ้นต่อ ตื่นยัง ยัง เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้วแมวที่ไหนกำลังคุยกับพี่อยู่ล่ะเนี่ย ปลายสายยังคงเอ่ยกลั้วหัวเราะต่อ เหมือนคนเมากัญชา หญิงสาวแกล้งถอนหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินก่อนจะตอบกลับไป ก็ยังไม่ตื่นไง แต่พอพี่ทิศโทรมาเลย จำใจ ต้องตื่น มีไรเนี่ย โทรมาตั้งแต่เช้า รู้ๆ อยู่ว่าน้องนุ่งเพิ่งจะได้นอน ถ้าเหตุผลไม่ดีมีโมโหนะ โอ๊ย! ดุจริง น้องใครเนี่ย เขายังคงเอ่ยเย้าอย่างอารมณ์ดี พี่แค่จะโทรมาเช็คดู ว่าคุณรุ่งอรุโณทัยยังสบายดีอยู่หรือเปล่า เล่นหายศีรษะไปทั้งอาทิตย์ ไม่โทรกลับบ้านเลย โทรหาก็ไม่รับสาย พ่อกับแม่เป็นห่วง ยิ่งอยู่บ้านเช่าโกโรโกโสหลังนั้น ทั้งพี่ทั้งพ่อทั้งแม่ก็ยิ่งห่วง นี่ถ้าแกไม่รับโทรศัพท์อีก พี่จะขึ้นไปดูด้วยตัวเองแล้ว เมื่อไหร่จะย้ายออกบ้านหลังนั้นสักที ฮึ คนเป็นพี่เรียกชื่อซะเต็มยศอย่างล้อเลียน เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ค่อยจะปลื้มชื่อตัวเองซะเท่าไหร่ ทำให้เธออดจะหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ ก็คิดดูสิ ชื่อของเธอยาวเป็นหางว่าว อย่างกับชื่อนางเอกลิเก เรียกทีคนเรียกแทบจะขาดใจ เธอละไม่อยากแนะนำตัวด้วยชื่อจริงเลย ให้ตายสิ! เพราะพูดชื่อตัวเองที ลิ้นแทบจะพันกันทุกที ยิ่งเพื่อนสนิทเธอเคยพูดไว้ว่า ชื่อจริงของโณทัย เพราะมากเลยนะ ตอนแรกที่ได้ยินชื่อ ก็คิดว่าต้องเป็นคนที่น่ารักหรือไม่ก็หน้าตาดีมากๆ เลย พูดงี้หมายความว่าไงฟะ นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทที่แสนจะรักและเอ็นดูเป็นทุนเดิมแล้วล่ะก็ คงต้องมีเรื่อง!!!! ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ต้องเป็นคนหน้าตาดีเท่านั้นรึไง ถึงจะมีสิทธิ์ใช้ชื่อเพราะๆ ได้ คนขี้เหร่ไม่มีสิทธิ์งั้นสิ? เหอะ! ใครมันจะอยากเกิดมาขี้เหร่ ถ้าเลือกได้คงเลือกเกิดมาหน้าตาเหมือนอั้ม พัชราภาหรือแอฟ ทักษอรกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว คงไม่เกิดมาเป็นอ้ำอึ้งหรือแอ๊บแออย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก ส่วนคนปลายสายซึ่งเป็นพี่ชายบังเกิดเกล้าของเธอนั้นมีชื่อจริงสั้นๆ ว่า ทิศ ชื่อเล่นก็ชื่อทิศ สั้นซะจนน่าจะแบ่งเอาชื่อของเธอไปสักพยางค์สองพยางค์ ขนาดชื่อเล่นของเธอยังยาวมากกว่าเลย เพราะพ่อแม่เรียกเธอว่า โณทัย มาตั้งแต่เด็ก ช่างไม่มีความบาลานซ์ในการตั้งชื่อซะเลยพ่อแม่เธอ หญิงสาวหยุดคิดและกลับมาสนใจพี่ชายต่อ เมื่อเริ่มจะลามปามไปยังบุพการีของตนเอง โณทัย ฟังพี่อยู่หรือเปล่า ฮื่อ คนเป็นพี่ถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อเข้าสู่โหมดเคร่งเครียด ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นเถอะ ถือว่าพี่ขอร้อง พ่อกับแม่เป็นห่วงจนนอนไม่หลับกัน ถ้าแกงกนักพี่ออกตังค์ให้ก็ได้ เอ้า! เขาเสนอให้อย่างใจป้ำ หญิงสาวแอบเบ้ปากกับการพยายามเกลี้ยกล่อมของพี่ชายในรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของเดือนนี้ ก่อนจะตอบคำตอบเดียวกันเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน โธ่! พี่ทิศ ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิด พี่ทิศพูดซะพ่อแม่ต้องพลอยกังวลไปด้วย ไม่น่าห่วงอะไรน่ะ หา! บ้านเช่าสัปปะรังเคของแกน่ะอยู่ลึกสุดถึงท้ายซอย เปลี่ยวก็เปลี่ยว บรรยากาศก็วังเวงอย่างกับบ้านผีสิง แกอยู่เข้าไปได้ยังไงวะ แหม มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เธอแก้ตัวอ่อยๆ มันยิ่งกว่านั้นอีก ยัยโณทัย พี่ขอยื่นคำขาด ย้ายไปอยู่ที่อื่นซะ ไม่งั้นพี่จะขึ้นไปจัดการเอง พี่ชายเธอแทบจะตะโกนใส่โทรศัพท์ จนเธอต้องยกโทรศัพท์ออกห่างๆ ไม่งั้นหูเธอคงดับ พอระบายอารมณ์เสร็จพี่ชายเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับระอากับความหัวแข็งของเธอเต็มที เพราะรู้ดีว่าน้องสาวอย่างเธอ ดื้อเงียบ ขนาดไหน พี่ให้เวลาหนึ่งอาทิตย์นะโณทัย ถ้ายังไม่ย้ายออกพี่จะไปช่วยย้ายเอง เสียงเรียกพี่ชายแว่วเข้ามาในโทรศัพท์เหมือนระฆังช่วยชีวิต ทำให้พี่ชายเธอต้องเอ่ยลาอย่างเสียไม่ได้ อย่าลืมย้ายออกมาซะ พี่กับพ่อแม่จะได้สบายใจ แค่นี้ก่อนนะ พี่ต้องไปทำธุระก่อน ว่างๆ พี่จะโทรมาใหม่ คนเป็นพี่เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างอ่อนโยน โณทัย พี่รักแกนะ หญิงสาวอดจะเต็มตื้นกับความรักความเป็นห่วงของพี่ชายไม่ได้ ค่ะ หนูก็รักพี่ เธอตอบกับไปอย่างอ่อนโยนพอกัน เมื่อพี่ชายเธอวางสายไปแล้ว เธอก็นอนคิดถึงเรื่องที่คุยกันเงียบๆ อยู่คนเดียว เธอเพิ่งจะย้ายมาพักที่บ้านเช่าหลังนี้ได้ 3 เดือน หลังจากที่เธอเปลี่ยนงานใหม่ ก็เลยต้องหาที่อยู่ใหม่เพื่อให้ใกล้กับที่ทำงาน ตอนนั้นเธอตระเวนหาที่พักจนขาแทบพลิกก็ไม่มีที่ไหนว่างอย่างกับโดนแกล้ง จนไม้รู้อะไรดลใจให้เธอเข้ามาในซอย 4 เธอเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดซอยก็ได้พบกับบ้านหลังนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าห่างจากบ้านอื่นๆ ไปพอสมควร บ้านหลังนี้อยู่ในสภาพเก่าคร่ำคร่า ต้นไม้โอบล้อมตัวบ้านจนดูครึ้ม บรรยากาศวังเวงสุดๆ และเธอก็ถูกใจสุดๆ เช่นกัน เพราะตอนนี้เธอกำลังเขียนนิยายสยองขวัญอยู่ สภาพบ้านหลังนี้ทำให้จินตนาการเธอบรรเจิดและโลดแล่นอย่างฉุดไม่อยู่ พอไปถามหาเจ้าของบ้านจากคนแถวนั้น และบอกจุดประสงค์ว่าจะเช่าบ้านหลังนี้ ก็ได้รับสายตาที่มองมาราวกับว่าเธอเสียสติไปแล้ว แต่เธอไม่สนใจ ยังคงดึงดันไปพบเจ้าของบ้านจนได้ เจ้าของบ้านเป็นชายชราร่างผอมสูง หลังงองุ้ม นัยน์ตาเศร้า ท่าทางอมทุกข์ เมื่อรู้ถึงความต้องการของเธอก็ถามย้ำซ้ำๆ ทั้งยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอเปลี่ยนใจ จนถึงขั้นข่มขวัญเมื่อเธอยืนยันจะขอเช่าบ้านหลังนี้ คุณตาเจ้าของบ้านเล่าว่า บ้านหลังนี้เดิมเป็นบ้านของลูกชายกับลูกสะใภ้ท่าน ท่านยกให้เป็นเรือนหอของทั้งสองหลังแต่งงาน ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจนมีพยานรักด้วยกัน 1 คน ตั้งแต่มีลูก ลูกชายท่านก็มุทำงานหนักมากขึ้นเพื่อสร้างฐานะ จนละเลยครอบครัวไปอย่างไม่ตั้งใจ จนในวันหนึ่ง เขากลับมาจากที่ทำงานหลังเที่ยงคืน ก็พบว่าภรรยาและลูกถูกฆาตกรรมตายอย่างสยดสยองภายในบ้าน เขาเฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ละเลยครอบครัวและปกป้องภรรยาและลูกเอาไว้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่มัวแต่บ้างานและกลับบ้านเร็วกว่านี้ ภรรยาและลูกของเขาก็คงจะไม่ตายอย่างน่าอนาถอย่างนี้ เขาจมอยู่กับความรู้สึกผิดและความทุกข์ ไม่ว่าคุณตาจะปลอบโยนอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น จนในวันหนึ่งเขาก็ฆ่าตัวตายตามภรรยาและลูกไป เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเศร้าโศกให้กับคุณตาอย่างหนักที่ต้องเสียทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้รวมทั้งหลานคนเดียวไป ท่านจึงย้ายไปอยู่ให้ไกลจากสถานที่ที่สร้างความเจ็บปวดและทุกข์ใจแก่ท่าน เมื่อฟังท่านเล่าจบแทนที่เธอจะรู้สึกกลัว กลับทำให้เธอรู้สึกว่าการเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะเสียงหัวใจเธอกระซิบบอกเช่นนั้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้านหลังนี้มา ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เธออยู่อย่างสงบสุขเรื่อยมา ถึงบ้านหลังนี้จะอยู่ในซอยเปลี่ยว แต่กิตติศัพท์ความสยองขวัญของบ้านหลังนี้ก็ทำให้ไม่เคยมีข่าวขโมยหรือโจรเข้ามารบกวนผู้คนในซอยเลยสักครั้ง แต่พอเดือนที่แล้วที่ทิศ พี่ชายของเธอขึ้นมาเยี่ยม เพื่อดูความเป็นอยู่หลังจากย้ายจากคอนโดเก่า พอมาเห็นสภาพบ้านเช่าของเธอเท่านั้นแหละ ก็โวยวายเป็นการใหญ่ แถมสำทับให้เธอย้ายออกไปให้เร็วที่สุด พี่ชายเธอมาอยู่กับเธอแค่วันเดียว ก็บ่นเรื่องบ้านของเธอเป็นร้อยรอบจนเธอเอือมระอา นี่ถ้าไม่มีงานด่วนล่ะก็ พี่ชายเธอคงลากเธอออกจากบ้านไปหาที่พักใหม่ซะเดี๋ยวนั้นแน่ พอกลับบ้านไป เขาก็โทรมาแทบจะทุกวัน เพื่อถามว่าเธอย้ายออกจากบ้านไปหรือยัง แล้วก็โวยวายทุกครั้ง เมื่อได้ฟังคำตอบจากเธอ จนเธอต้องแกล้งไม่รับโทรศัพท์บ้างเพื่อเลี่ยงคำบ่นของพี่ชาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่สนใจคำพูดของพี่ชายหรอกนะ แต่เมื่อคิดจะย้ายออกทีไร ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาฉุดรั้งให้อยู่ต่อ เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบ้างอย่างรบกวนจิตใจ อะไรอย่างอย่างที่กระซิบบอกให้เธออยู่บ้านหลังนี้ต่อไป หญิงสาวถอนหายใจอย่างอ่อนล้า พยายามสลัดความรู้สึกวุ่นวายใจออก ก่อนจะลุกตัวไปอาบน้ำเพื่อไปทำงานตามปกติ พอแต่งตัวเสร็จก็เดินลงบันไดไปด้านล่าง พอเปิดประตูออกไปก็พบคุณตาเจ้าของบ้านยืนอยู่หน้าบ้าน พอทำความเคารพท่านเสร็จ เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ คุณตา คือ... คุณตามาทำไมคะ เมื่อหาคำถามที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจถามออกไปตรงๆ คุณตาถอนหายใจยาว หน้าตายังทุกข์ทนหม่นหมอง ท่านเงยหน้าขึ้นมองบ้านแล้วเอ่ยตอบแผ่วเบา วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของลูกชายตา นานแล้วที่ตาไม่เคยมาใกล้ที่นี่ ท่านเว้นช่วงไป แล้วถอนหายใจอีกครั้ง อีกอย่าง ตาจะมาดูหนูด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง เธอมองท่านด้วยความเห็นใจ หนูสบายดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย แถมมีเงินเก็บตั้งเยอะ เพราะคุณตาคิดค่าเช่าอย่างกับให้เปล่า เธอพยายามทำเสียงร่าเริง เพื่อดึงคุณตาออกจากความเศร้า ท่านยิ้มออกมานิดหนึ่ง แค่นั้นก็ทำให้เธอดีใจที่ความพยายามไม่สูญเปล่า ดีแล้ว พอเห็นท่านทำท่าจะกลับไปซึมอีก หญิงสาวเลยคิดว่าเธอคงต้องป่วยกะทันหัน ไปทำงานไม่ได้อย่างปัจจุบันทันด่วน แล้วเอ่ยชวนถามเสียงใส คุณตาจะไปไหนต่อหรือเปล่าคะ เมื่อเห็นท่านเงยหน้ามามองก็พูดต่อ คือ หนูจะชวนคุณตาไปทำบุญน่ะค่ะ ไปด้วยกันนะคะ พูดจบก็เอียงคอรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ไปสิ ท่านตอบกลับมาง่ายๆ เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเด็กตรงหน้า ทำให้เธอยิ้มอย่างกว้างขวาง เธอพาคุณตาตระเวนทำบุญไปเรื่อยๆ จนเมื่อเห็นว่าท่านเริ่มเหนื่อยจึงพาท่านไปส่งที่บ้าน หญิงสาวประคองท่านเดินเข้าบ้าน แม้ท่าทางท่านจะดูเหนื่อยอ่อน แต่ก็ดูเหมือนสีหน้าของท่านจะสดใสขึ้นกว่าเดิมมากมาย ขอบใจมากนะ ท่านเอ่ยขึ้นก่อนเธอจะกลับบ้าน ไม่เป็นไรค่ะ เธอตอบกลับอย่างสดใส ทำให้ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนจากคุณตา ถ้าวันนี้หนูไม่พาตาไปทำบุญ ตาก็คงจะจมอยุ่กับความทุกข์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ การได้ทำบุญในครั้งนี้ทำให้ตารู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้น ยิ่งได้ฟังพระท่านเทศน์ก็ยิ่งให้ตาคิดได้ว่า ทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงเลยสักอย่าง ตาขอบใจหนูมากๆ ที่พาตาไปพบหนทางสว่าง หญิงสาวกุมมือท่านไว้แล้วยิ้มให้ท่านอย่างอ่อนโยน แค่คุณตารู้สึกดี หนูก็ดีใจแล้วค่ะ เธอลาท่านกลับบ้านด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง เธอกลับมาถึงบ้านในเวลาเย็นๆ พอดี เมื่อมาถึงก็เห็นคุณป้าสามคนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านเธอมายืนรออยู่หน้าบ้าน พอเห็นเธอไปถึงพวกป้าๆ ก็ตรงรี่เข้ามาหา ทำให้เธอเอ่ยทักไปด้วยความสงสัย คุณป้า มีอะไรกันหรือเปล่าคะ คุณป้า แต่ละท่านมีสีหน้าลำบากใจและไม่สบายใจอย่างหนักจนเธอชักจะเป็นห่วง ท่านสบตากันเหมือนจะเกี่ยงกันในที ก่อนคุณป้าท่านหนึ่งจะหันมาพูดกับเธอ โณทัย คือ พวกป้าจะมาเตือนหนูน่ะจ้ะ เตือน เตือนเรื่องอะไรคะ เธอถามกลับอย่างฉงนในคำพูดของคุณป้า ป้าจะไม่อ้อมค้อมละนะ หนูรู้ใช่ไหมว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของเจ้าของบ้านหลังนี้ และทุกๆ ปีในตอนกลางคืนของวันนี้ พวกป้าๆ กับคนที่อยู่บ้านใกล้ๆ ก็จะได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากบ้านหลังนี้ทุกปี ท่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ พวกป้าอยากให้หนูย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ อย่าอยู่ที่นี่ในคืนนี้เลยนะ พวกป้าเป็นห่วง สีหน้าของพวกท่านแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็เข้าไปทักทายพูดคุยและซื้อของมาฝากเพื่อนบ้านของตัวเองอยู่เสมอ และพวกท่านก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อให้เธอเสมอมา หญิงสาวยิ้มให้พวกท่านอย่างปลอบโยน หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ อยู่มาตั้งนานไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติเลย แต่มันไม่เหมือนกันนะโณทัย คืนนี้มันไม่เหมือนกับวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ป้าขอร้องละ ไปอยู่กับพวกป้าก็ได้ ขอแค่ผ่านคืนนี้ไปก่อนก็ยังดี หนูไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ หนูรับรองว่าหนูจะปลอดภัย ทั้งสามพยายามเกลี้ยกล่อมเธออย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อทนกับความดื้อแพ่งของเธอไม่ไหว ก็จำใจต้องจากไปโดยทิ้งเพียงสายตาห่วงใยไว้ให้เธอ หญิงสาวยิ้มและมองตอบอย่างอ่อนโยน พยามยามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เธอหันหลังกลับเงยหน้าขึ้นมองบ้านด้วยสายตามุ่งมั่น แล้วเดินเข้าบ้านอาบน้ำแต่งตัวสวดมนต์ก่อนเข้านอนตามปกติ หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเปิดประตูบ้าน เธอหันไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ เธอลุกจากเตียงแล้วเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ แล้วหยุดอยู่ที่เชิงบันได ซึ่งมองเข้าไปเห็นห้องรับแขกของบ้านพอดี ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังกอดร่างภรรยาและลูกแล้วร้องไห้ราวจะขาดใจ เธอยืนมองนิ่งๆ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ปรากฏร่องรอยความสะเทือนใจ แล้วภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นภาพชายหนุ่มคนเดิมใส่ชุดสีดำสีหน้าเศร้าสร้อย นั่งกินเหล้าอยู่เพียงลำพักภายในห้อง พอเมาก็เริ่มฟูมฟายพร่ำขอโทษภรรยาและลูกอย่างหมดสภาพ ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาถึงภาพที่เขานั่งกินเหล้าอยู่เช่นเคย แต่วันนี้มีปืนกระบอกหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ ขวดเหล้า เขาค่อยๆ ยกปืนขึ้นมาจ่อที่ขมับตัวเอง เธอจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหา เมื่อไปยืนอยู่ใกล้ๆ ชายคนนั้น เธอก็เอ่ยขึ้นว่า พอเถอะค่ะ เขาปรายตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามามองเธอ หญิงสาวมองกลับด้วยสายตาที่อ่อนโยนและปลอบประโลม เธอพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความสงสารอย่างเต็มที่ เพื่อพูดในสิ่งที่ต้องการ อย่าโทษตัวเองอีกเลย มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก มันเป็นเพราะเวรกรรมที่ทำร่วมกันมามากกว่า ที่ทำให้พวกเขาต้องตายไปแบบนี้ อีกอย่าง พวกเขาไม่ได้โกรธคุณสักนิด ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นห่วงคุณมากที่คุณต้องมาติดอยู่ที่นี่ในสภาพนี้ เลิกทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักที ไปสู่สุคติเถอะค่ะ หญิงสาวมองเขาอย่างอ้อนวอน เธอเป็นใคร เสียงเย็นๆ ถามขึ้นเมื่อเธอพูดจบ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลลงมาเป็นสาย เธอเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จำหนูไม่ได้เหรอคะ พ่อ พอพูดจบร่างตรงหน้าก็แข็งทื่อเหมือนถูกสาป เขามองเห็นร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งซ้อนทับกับภาพหญิงสาวตรงหน้า นานกว่าเขาจะครางชื่อที่แสนจะคุ้นเคยจากริมฝีปากซีดเซียว หนูเมย์ ค่ะ พ่อ หญิงสาวสะอื้นฮักอย่างสุดกลั้น โผเข้าไปหมายจะกอดผู้ชายตรงหน้า แต่เมื่อไปถึงกลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ได้แต่มอง พ่อ ในอดีตด้วยสายตาเจ็บปวดและโหยหา ทำไม... เขาถามขึ้นด้วยความสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตั้งแต่วันที่หนูกับแม่ตาย เราก็เฝ้าดูพ่อมาตลอดด้วยความเป็นห่วง และได้แต่เสียใจที่เป็นต้นเหตุให้พ่อต้องทุกข์ทรมานเพราะการจากไปของพวกเรา หนูกับแม่พยายามสื่อสารกับพ่อ แต่พ่อก็ทุกข์ใจเกินกว่าจะเปิดใจรับได้ พวกเราไม่รู้จะทำยังไง จนถึงวันที่เราต้องไปเกิด แม่ถูกดึงให้ไปเกิดก่อน เหลือเพียงหนูที่เห็นพ่อในคืนสุดท้ายก่อนที่พ่อจะฆ่าตัวตาย แต่หนูอยู่ห้ามพ่อไม่ได้ เพราะกรรมของเราตัดขาดไม่ให้เราพบกันอีก หนูถูกดึงให้ไปเกิดก่อนที่พ่อจะกลายเป็นวิญญาณ หญิงสาวมองคนเป็นพ่ออย่างเศร้าสร้อยก่อนจะพูดต่อ หนูรู้ว่าพ่อจะยังคงจมอยู่กับความทุกข์ หนูจึงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้มีโอกาสได้กลับมาที่นี่ เพื่อช่วยให้พ่อหลุดพ้นจากการจองจำด้วยความรู้สึกผิดของตัวเอง พ่อคะ หนูกับแม่ไม่เคยโกรธหรือโทษพ่อสักนิด เรารู้ว่าพ่อทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพ่อ เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงชีวิตของเขา ยังไงพ่อก็ห้ามาไม่ได้หรอกค่ะ พ่อเลิกโทษตัวเองสักที นะคะ เธออ้อนวอนเขาทั้งคำพูดและสายตา เขาขยับเข้ามาใกล้ อยากจะเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งในตัวลูกสาวของตน ที่แม้จะข้ามภพข้ามชาติไปแล้วก็ยังห่วงใยพ่อที่ไม่ได้เรื่องอย่างเขา เมย์ พ่อขอโทษ และก็ขอบใจนะลูก เขายื่นมือมาจับใบหน้าของลูกสาว แม้สัมผัสไม่ได้ แต่แค่ได้มีโอกาสใกล้ชิดและได้พบกับลูกสาวอีกครั้ง แค่นี้ก็ดีเหลือเกินแล้ว หญิงสาวยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา หนูรักพ่อค่ะ เขายิ้มกลับอย่างอ่อนโยน พ่อก็รักลูก ลาก่อนลูกรักของพ่อ พูดจบร่างสูงนั้นก็ค่อยๆ จางลงกลายเป็นแสงวิบวับพร่างพรายก่อนจะจางหายไปจากสายตา ลาก่อนค่ะพ่อ เธอถอนหายใจอย่างเป็นสุข เพราะได้ทำหน้าที่ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว หนังตาเธอเริ่มจะหนักอึ้ง แล้วร่างของเธอก็ค่อยๆ พับและล้มลงบนโซฟา หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า เมื่อสายตาชิดกับแสงก็พบใบหน้าคมเข้มที่คิ้วขมวดยุ่งจนแทบจะเป็นปมอยู่ตรงหน้า แต่พอเห็นเธอลืมตาก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี ฟื้นแล้วเหรอ โณทัย พี่ทิศ เธอมองไปรอบๆ ตัวก็พบว่าอยู่ในห้องสีขาวสะอาด คาดว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล จึงหันไปมองหน้าพี่ชาย เกิดอะไรขึ้นคะ คนเป็นพี่ตีหน้ายุ่งใส่ พี่ควรจะถามแกมากกว่านะ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไปนอนหมดสติอยู่ที่บ้านหลังนั้น คราวนี้ใช้ พลัง ทำอะไรอีก ทิศรู้ดีว่าน้องสาวของเขาเป็นพวกมีความสามารถพิเศษในการติดต่อกับวิญญาณได้ แต่น้องของเขาก็ไม่ค่อยจะได้ใช้ความสามารถนี้นัก เพราะใช้ทีไร จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและหมดแรกอย่างที่เป็นอยู่นี้ทุกที ครั้งนี้น้องสาวเขาก็คงจะใช้พลัง ซึ่งก็คงเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นแน่ๆ ถึงได้อยู่ในสภาพนี้ เธอยิ้มเซียวๆ ให้ก่อนจะตอบคนเป็นพี่ พี่ไม่อยากรู้หรอก คนเป็นพี่แยกเขี้ยวรับ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้พี่ฟังก็แล้วกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนร่างคุณตาเจ้าของบ้านจะเข้ามา หญิงสาวพยายามยกมือไหว้แล้วหันไปมองพี่ชายเป็นเชิงไล่ เมื่อพี่ชายออกจากห้องไปแล้วคุณตาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความห่วงใย เป็นยังไงบ้างหนู หญิงสาวยิ้มให้ท่านก่อนตอบ ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ แค่เพลียๆ นิดหน่อย สงสัยช่วงนี้คงจะนอนน้อยไปหน่อยก็เลยเป็นลมไปน่ะค่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตาเป็นห่วงแทบแย่ คุณตามีท่าทีลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น เมื่อวานตาฝันถึงลูกชาย เขามาลา บอกว่าจะไปเกิดแล้ว หญิงสาวสบตาท่านแล้วยิ้มอย่างยินดี ดีแล้วล่ะค่ะ ท่านถอนหายใจอย่างเป็นสุข ก่อนจะมองหน้าเธออย่างแน่วแน่ อีกอย่าง ตาว่าตาจะบวช เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลูก หญิงสาวสบตาแน่วแน่ของท่านก่อนจะยิ้มและพนมมือขึ้นจรดหน้าผาก หนูขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณตา ถึงวันนั้นตาจะบอกหนูอีกที ไม่รู้ทำไมตารู้สึกเอ็นดูหนูเหมือนลูกเหมือนหลาน นี่ถ้าหลานตายังอยู่ก็คงจะอายุมากกว่าหนูไม่กี่ปีหรอก ท่านมองมาอย่างเอื้อเอ็นดู ขอบคุณค่ะคุณตา คุณตาท่านกลับไปแล้ว พี่ชายเธอก็รีบโผล่หน้าเข้ามาในห้อง พี่โทรบอกพ่อแม่แล้วนะว่าไม่ต้องเป็นห่วง หมอให้ดูอาการอีกสักคืน พรุ่งนี้ก็คงจะกลับบ้านได้ อ้อ! อีกอย่าง พี่หาคอนโดใหม่ให้เราแล้วนะ กลับไปก็ย้ายออกจากบ้านผีสิงหลังนั้นซะ พี่ชายเธอยังพูดถึงบ้านหลังนั้นด้วยความหงุดหงิด ไม่มีผีสิงแล้วล่ะน่า เธอพึมพำกับตัวเอง แต่พี่ชายเธอยังอุตส่าห์ได้ยิน เขาหรี่ตามองเธออย่างรู้ทันจนเธอต้องหันหลังให้ แกล้งทำเป็นอยากพักผ่อนเต็มทน เธอยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ก่อนความอ่อนเพลียจะทำให้รู้สึกง่วงจริงๆ ริมฝีปากยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเข้าสู่นิทรารมณ์อันแสนสุข
เป็นคนที่ชอบเขียนหรือแต่งอะไรด้วยดินสอใส่กระดาษก่อนจะพิมพ์จริง ซึ่งเป็นนิสัยของพวกที่ไม่มั่นใจในตนเอง (อันนี้เขาว่ามา) เพราะฉะนั้นกว่าจะแต่งเสร็จ กว่าจะได้พิมพ์ กว่าจะเสร็จ กว่าจะได้ลงก็ช้ามากกว่าของชาวบ้านเขา (อันนี้เป็นข้อแก้ตัวของคนที่ส่งงานสายเสมอ) ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ตอนแรกที่แต่งกะจะแต่งออกมาเป็นแนวโรแมนติก แต่งไปแต่งมาไหงกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ ต้องบอกว่าเรื่องมันพาไปจริงๆ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวมากกกกกกกกก ยาวมากกว่าทุกเรื่องที่เคยแต่งมา ตอนแรกกะจะโดด เพราะช่วงนี้ยุ่งจัด เพลียทั้งกายเพลียทั้งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ยิ่งแต่งยิ่งมัน แถมช่วงนี้ยังไม่มีแต่แต่กะใจจะอ่านนิยาย เพราะจิตใจมันหดหู่พิกล ความซวยก็เข้ามาเป็นระยะ เพื่อนบอกว่าเพราะปีนี้เป็นปีชง ซวยกันเป็นแพ็คคู่ ไม่รู้ใช่ป่าว แต่ซวยได้มันก็คงจะหายซวยได้เหมือนกันสิน่า ช่วงนี้อาจจะผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนริดสีดวง เอ๊ย ไม่ใช่ อาจจะหายศีรษะไปเป็นพักๆ เพราะยังหาทางจัดการกับความวุ่นวายของงาน และความวุ่นวายใจของตัวเองยังไม่ได้ แต่จะพยายามโผล่หน้าไปทักทายนะคะ ถ้าหายศีรษะไปนานก็อย่าว่ากัน ที่สำคัญก็อย่าเพิ่งลืมกันไปซะก่อนนะคะ
Create Date : 13 มกราคม 2556 |
Last Update : 17 มกราคม 2556 17:05:54 น. |
|
79 comments
|
Counter : 1951 Pageviews. |
|
|