ปิ่น ก้าวลงจากรถแท็กซี่มายืนหน้าปากซอยอย่างมุ่งมั่น เธอมองเข้าไปในซอยก่อนจะเริ่มเดินกลับบ้าน แม้คืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ในหน้าฝนอย่างนี้เมฆหนาๆปกคลุมท้องฟ้าจนครึ้ม ทำให้ทั่วอาณาบริเวณเหมือนตกอยู่ในความมืด ยังดีที่พอมีแสงไฟตามถนนให้แสงสว่าง แม้เสาไฟจะอยู่ห่างกันพอสมควรก็ตาม
วันนี้เป็นวันที่เธอมีโอกาสได้กลับดึกอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาแล้วหลายเดือน การกลับดึกครั้งก่อนทำให้เธอได้พบกับนางตานีแสนงามนาม ลัดดาวัลย์ และมันทำให้เธอกระตือรือร้นอยากจะพบกับลัดดาวัลย์อีก เพราะมีเรื่องที่อยากรู้อยากจะถามอีกมากมาย แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเพราะเธอต้องรีบกลับบ้านทุกที จะหาเรื่องกลับช้าหน่อยเพื่อการนี้โดยเฉพาะก็ยังมีสำนึกกลัวแม่จะเป็นห่วง แต่แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อเธอต้องอยู่ช่วยเตรียมงานที่มหาวิทยาลัยและกว่างานจะเสร็จก็ต้องกลับบ้านดึกอย่างนี้ เธอจึงไม่พลาดโอกาสเป็นอันขาด
พอเสร็จงานปิ่นกับเพื่อนก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน หลังจากส่งเพื่อนๆ ทุกคนแล้ว เมื่อถึงหน้าปากซอยเธอก็ให้แท็กซี่จอดแล้วเดินเข้าซอยเอง
หญิงสาวเร่งฝีเท้าขึ้น เมื่อรู้ว่าใกล้จะถึงจุดหมาย ดวงตาเป็นประกายในความมืด หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความคาดหวัง
เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้เธอหันกลับไปมองก็เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินตาม เดาไม่ยากว่าคงออกมาจากป่าข้างทาง และคงไม่ใช่ผู้หวังดีที่เดินตามมาส่งเธอกลับบ้านแน่ๆ ทำให้เธอรีบวิ่งไปด้านหน้าก่อนจะชะงักทันทีเมื่อมีชายอีกคนโผล่ออกมาดักด้านหน้า เวรแล้วล่ะสิ
พวกคุณต้องการอะไร เธอถามออกไปเสียงสั่น
พวกมันไม่ตอบคำถาม แต่พุ่งเข้ามาหาเธอย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามหาทางหลบหลีกและวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็สู้แรงผู้ชายถึงสองคนไม่ได้ถูกยึดไว้แล้วลากลงข้างทาง
หญิงสาวทั้งเตะทั้งถีบ หยิก ข่วน กัด เพื่อให้พวกมันปล่อย แต่ก็ถูกต่อยเข้าที่ท้องจนจุกต้องทรุดตัวลง ทำให้มันหิ้วตัวไปได้ง่ายขึ้น
คุณลัดดาวัลย์ช่วยด้วย ปิ่นร้องหานางตานีในใจ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากสายลมแผ่วๆ ที่พัดมาอย่างปลอบโยน
หญิงสาวกุมท้องน้ำตาไหลพรากเพราะทั้งจุกทั้งเจ็บจนสู้ต่อไปไม่ไหว แต่ระหว่างที่เธอรู้สึกหมดหวังอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหมัดกระทบเนื้อและเสียงร้องของคนร้ายทั้งสอง ทำให้เธอหันไปมองก็เห็นทั้งสองกำลังสู้อยู่กับผู้ชายคนหนึ่งอยู่และกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดจนเธอใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
ปิ่นพยามยามฝืนความเจ็บปวดลุกขึ้นและมองหาอาวุธเพื่อป้องกันตัว เธอหันไปเจอท่อนไม้ก็เลยหยิบขึ้นมาถือเอาไว้ เมื่อมันเสียท่าเข้ามาใกล้ก็ฟาดไปไม่ยั้ง เมื่อมันรู้ว่าสู้ไม่ไหวก็พากันหนีไป ผู้ชายที่มาช่วยเธอทำท่าจะวิ่งตามไปแต่พอหันมาเห็นเธอทรุดฮวบลงก็ตัดสินใจเดินมาหาและประคองเธอลุกขึ้น
เป็นยังไงบ้างน้องปิ่น
เธอเงยขึ้นมามองหน้าเขาก่อนจะถามออกไปเสียงแหบ
คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ
เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ครับ พี่ชื่ออรรถเป็นพี่ชายอินครับ
หญิงสาวเพ่งมองหน้าเขา เธอเคยได้ยินชื่อพี่ชายของอินทุอรบ่อยๆและได้เห็นรูปที่ถ่ายคู่กันบ้างแต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริงของพี่อรรถเลยสักครั้ง เพราะเขาเป็นทหารนานๆ ถึงจะกลับบ้านมาสักที
พี่อรรถมาได้ยังไงคะเธอถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อเขาค่อยๆประคองเธอเดินต่อ หลังจากที่เธอบอกไปว่าบ้านเธออยู่อีกไม่ไกลนัก
พอดีวันนี้พี่กลับบ้าน แล้วรู้จากคุณแม่ว่าน้องอินไปทำงานที่มหาวิทยาลัยจะกลับดึกพี่เลยไปรับ กะว่าจะทำเซอไพรส์น้องอินด้วยเลยไม่ได้โทรหา พอไปถึงก็เห็นรถแท็กซี่ออกมาพอดี พี่เลยขับรถตามมาส่งน้องๆ เพราะเป็นห่วง ว่าแต่ทำไมน้องปิ่นถึงลงที่หน้าปากซอยไม่ให้แท็กซี่เข้ามาส่งข้างในล่ะครับ
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยเพราะตอนแรกเขานึกว่าบ้านเธออยู่แถวหน้าปากซอย แต่พอเห็นเธอเดินเข้ามาก็เลยหาที่จอดรถก่อนจะเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง จนมาเจอเธอกำลังถูกทำร้ายอยู่ โชคดีที่ตัดสินใจเดินเข้ามาและช่วยไว้ได้ทัน
หญิงสาวหลบตาวูบ จะบอกได้ยังไงล่ะว่าอยากเดินมาหาวิญญาณแถวๆนี้แทนที่จะให้ไปส่งที่บ้านจนต้องมาซวยอย่างนี้ เธอพยายามหาเหตุผลก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไป
คือ เงินปิ่นหมดค่ะ กลัวไม่พอค่าแท็กซี่เลยให้เขาจอดก่อน แล้วเดินเข้ามาเอง
ชายหนุ่มเพียงเลิกคิ้วกับคำตอบแปลกๆนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม แม้จะแปลกใจแต่คิดว่าเธอคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง และเขาไม่อยากก้าวก่ายเลยประคองเธอเดินต่อไปเงียบๆ
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ปิ่นก็ยกมือไหว้พี่ชายของเพื่อนอย่างนอบน้อม
ขอบคุณพี่อรรถมากๆนะคะที่ช่วยปิ่นไว้
ไม่เป็นไรครับ ถึงเป็นคนอื่นพี่ก็คงต้องช่วย ยิ่งเป็นเพื่อนน้องอินพี่ยิ่งต้องช่วย ปิ่นแน่ใจนะว่าจะไม่แจ้งตำรวจ
ค่ะ ปิ่นไม่อยากเสียเวลา เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง แล้วปิ่นก็อยากพักผ่อนเต็มทีแล้วค่ะ เหนื่อยมาทั้งวันแถมยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก
น้องปิ่นเดินเข้าบ้านไหวรึเปล่าครับ
พอไหวค่ะ
ไฟในบ้านเปิดขึ้นทำให้เธอรู้ว่าพ่อกับแม่คงตื่นแล้ว เมื่อประตูหน้าบ้านเปิดมาแม่ของเธอก็ถามขึ้น
กลับมาแล้วเหรอปิ่น
ค่ะแม่
แม่ของเธอเดินออกมาหาเมื่อเห็นว่าเธอยืนคุยกับใครบางคนอยู่ เมื่อมาเห็นสภาพเธอแม่ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
เกิดอะไรขึ้นน่ะปิ่น
อรรถยกมือไหว้แม่ของเธอก่อนจะบอกว่า
ไปคุยกันข้างในดีไหมครับ น้องปิ่นคงอยากพัก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเองครับ
ปิ่นเล่าเรื่องในส่วนของเธอจบ อรรถก็เล่าในส่วนของเขาต่อ เธอโดนเอ็ดไปหลายรอบที่เดินกลับบ้านมา แล้วพ่อแม่ก็ขอบคุณชายหนุ่มอีกหลายตลบที่ช่วยเหลือลูกสาวเอาไว้ เมื่อจบเรื่องชายหนุ่มก็ลากลับเพราะอยากให้เธอได้พักผ่อนและบอกว่าพรุ่งนี้ตอนสายๆจะพาอินทุอรมาเยี่ยม
หลังจากอาบน้ำเสร็จแม่ของเธอก็เข้ามาทายาให้ตามเนื้อตัวที่ฟกช้ำดำเขียว หายาแก้ปวดให้เธอกินก่อนออกจากห้องไป
หญิงสาวนอนครุ่นคิดอยู่เงียบๆปกติไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในซอยนี้เลย เธอนึกถึงวิญญาณที่เธอเคยพบ นางตานีสาวเคยบอกไว้ว่าคอยปกป้องคุ้มครองคนในซอยตลอดมา
เอ หรือว่าจะไปเกิดแล้ว เมื่อยาออกฤทธิ์และร่างกายที่เหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนก็ทำให้หนังตาหนักอึ้งก่อนจะผลอยหลับไป
ร่างของหญิงสาวที่งดงามจนยากจะหาใครเทียบ ห่มสไบสีชมพูอ่อนยืนอยู่ข้างเตียง มองมายังหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยดวงตาอ่อนโยนและเห็นใจ
ขอโทษนะเด็กน้อยที่ไม่ได้เข้าไปช่วย เราฝืนโชคชะตาไม่ได้ แต่เด็กดีอย่างเจ้าไม่ได้โชคร้ายนักหรอก แค่ถึงเวลาที่จะเจอ เขา เท่านั้นเอง เอาไว้คราวหน้าเราจะออกมาพบเจ้าเป็นการชดเชยก็แล้วกัน หลับฝันดีนะเด็กน้อย
พูดจบร่างนั้นก็จางหายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นและสายลมบางเบาที่พัดเข้ามาไล้แผ่วๆ ดุจจะปลอบคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน
พอดีอ่านเมนท์ของคุณฟ้าใสวันใหม่แล้วนึกขึ้นได้ เออแฮะ บางคนเขาไม่รู้นี่ว่าเป็นตอนต่อจากตอน เอ่อ ตอนไหนหว่า ไปเปิดดูก่อน อ้อ ตะพาบครั้งที่ 66 "เรื่องเล่าในคืนวันที่ 31 ตุลาคม" ซึ่งตั้งชื่อตอนว่า "เพื่อนร่วมทาง" อ่ะ คนที่ไม่เคยอ่านก็อาจจะงงๆ หน่อย แหะๆ
แล้วก็สายอีกตามเคย แหะๆ ช่วงนี้ติดนิยายชุด ใช้เวลาอ่านนานกว่าปกติ และเวลาอ่านนิยายแบบนี้ถ้าไม่จบก็ทำอย่างอื่นไม่ได้เพราะติดพัน ไม่น่าเล้ย
ตอนนี้เพื่อนกลับมาทำงานแล้วตั้งแต่วันที่1 แต่ยังทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะยังใส่ปลอกคออยู่ หมอให้ถอดเฉพาะเวลานอน แต่ถ้านั่งกับยืนก็ต้องใส่เหมือนเดิม นัดไปดูอีกทีวันที่ 31 ก.ค.56 เวลาเพื่อนเดินเหมือนหุ่นยนตร์ ใครทักก็ไม่ค่อยหันเพราะหยิ่ง ฮ่าๆๆๆๆๆ ล้อเล่น มันหันลำบากเพราะคอแข็ง หันทีต้องหันทั้งตัว สงสารก็สงสารขำก็ขำ มีแต่คนแซวกัน คนเข้ามาเยี่ยมมาทักเยอะแยะ ตอบคำถามกันไม่หวาดไม่ไหว มาวันแรกๆ ร้องทุกวันบอกว่าคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน ไอ้คนปากหนักปากแข็งอย่างฉันก็ปลอบไม่ค่อยจะเป็นนอกจากส่งทิชชูให้อย่างเดียว แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้น ร้องบ้างแต่ไม่ถี่เหมือนแต่ก่อน เจ็บคราวนี้นี่นานเหลือเกิน คงต้องใช้อีกนานกว่าจะกระโดดโลดเต้นได้เป็นปกติ ตอนนี้ก็พยายามขุนอยู่ บังคับให้กินข้าวกินนมเยอะๆ แต่คนเคยกินน้อยก็คงได้แค่นี้แหละ เฮ้อ คนขุนจะอ้วนกว่าซะอีกนะเนี่ย
ช่วงนี้บล็อกเข้าได้บ้างไม่ได้บ้างอ่ะ สงสัยจะปรับปรุงระบบอยู่ เอาไว้ว่างๆ จะแวะไปทักทายนะคะ