|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 27 มิถุนายน 2552 12:58:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: popang (popang ) 27 มิถุนายน 2552 20:34:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 27 มิถุนายน 2552 23:20:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) 27 มิถุนายน 2552 23:33:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนชุมแสง 28 มิถุนายน 2552 22:58:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 29 มิถุนายน 2552 5:29:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 29 มิถุนายน 2552 10:48:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทวีศักดิ ถาวรรัตน์ (คนตาพิการ ) 29 มิถุนายน 2552 11:55:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 29 มิถุนายน 2552 14:20:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 29 มิถุนายน 2552 22:53:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: http://yutthachaibodin.wordpress.com/ IP: 119.31.36.58 30 มิถุนายน 2552 8:51:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: bite25 30 มิถุนายน 2552 12:32:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: sansook 1 กรกฎาคม 2552 14:41:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 2 กรกฎาคม 2552 22:00:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: อันต้า 3 กรกฎาคม 2552 15:40:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: nathanon 3 กรกฎาคม 2552 16:48:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กใต้ IP: 202.12.73.4 17 กรกฎาคม 2552 18:15:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: sak IP: 114.128.121.211 24 กรกฎาคม 2552 11:39:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กวิกเก่าดำเนินฯ IP: 125.27.179.72 27 กรกฎาคม 2552 14:22:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไผ่ IP: 202.149.25.241 8 กันยายน 2552 0:38:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: เล็ก IP: 118.173.185.193 21 กันยายน 2552 23:28:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: เกลียดการรอคอย IP: 10.2.6.100, 122.154.37.4 11 พฤศจิกายน 2552 11:33:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: รนี่ท ม IP: 10.2.6.100, 122.154.37.4 11 พฤศจิกายน 2552 11:36:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: 2500 IP: 192.168.10.114, 124.120.115.71 18 สิงหาคม 2553 12:41:22 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 66 คน [?]
|
ความตั้งใจในการทำบล็อกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เริ่มต้นด้วยการเขียนถึงถิ่นที่อยู่ในวัยเด็ก ต่อมาเป็นเรื่องเครื่องหมายต่างๆ เรื่องศิลปะ ภาพถ่ายในยุคก่อนๆ อาหารการกิน และอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเห็น สนใจอะไรขึ้นมาก็อยากรู้ให้มากขึ้น กลุ่มเนื้อหาจึงแตกแขนงไปเรื่อยๆ
|
|
|
|
|
|
|
|
แม้จะไม่รู้ว่าถ่ายที่ไหน แต่มีจุดที่ผมสังเกตเห็นและคิดว่าน่าสนใจอยู่สองจุด
จุดแรกคือในรูปที่ 4 และ 5
จะเห็นเกวียนเทียมควาย ที่เราแทบไม่เห็นกันในยุค 30-40 ปีที่ผ่านมา
เพราะโดยทั่วไป ชาวบ้านจะใช้วัวเทียมเกวียน เกวียนที่จะใช้ควายเทียมได้นั้น ต้องมีขนาดใหญ่กว่าเกวียนทั่วไป เกวียนเทียมควายนี้ จะบรรทุกของได้มากกว่าเกวียนเทียมวัว เพราะควายแข็งแรงกว่าวัว แต่ความอดทนสู้วัวไม่ได้
เกวียนเทียมควายจึงมักใช้เป็นเกวียนบรรทุกสิ่งของ มากกว่าเกวียนโดยสาร ใช้ขนข้าวของที่มีน้ำหนักมาก แต่ในระยะทางไม่ไกลนัก (เพราะควายต้องพักให้นอนแช่ปลักบ่อย ๆ )
อีกภาพคือภาพสถานีรถไฟ แม้จะดูไม่ออกว่าเป็นสถานีใหญ่ระดับชุมทางหรือไม่ แต่ก็มีข้อคิดว่า
ครั้งหนึ่ง ความเจริญของบ้านเมืองในประเทศไทย จะขยายไปตามแนวสองข้างทางรถไฟ อันเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก รองลงมือคือตามแม่น้ำลำคลอง
แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา มีการตัดถนนหนทางให้รถยนต์แล่นสัญจรได้อย่างสะดวกสบาย ถนนสายแรกที่รัฐบาลอเมริกันมาช่วยสร้างให้เมืองไทย คือ ถนนสายมิตรภาพ จากสระบุรี ถึง นครราชสีมา
เป็นถนนสายยุทธศาสตร์เพื่อลำเลียงอาวุธให้ทหารอเมริกันไปรบกับเวียตนาม ตอนสร้างเสร็จใหม่ ๆ ผู้คนตื่นเต้นกันมาก ถึงกับมีคำพูดคุยกันว่า ถ้าขับรถตามถนนสายมิตรภาพเส้นนี้ ตักน้ำใส่แก้ววางไว้ในรถน้ำจะไม่หกกระเซ็นออกมาสักนิด เพราะเป็นถนนที่ราบเรียบได้มาตรฐาน
ตั้งแต่นั้น และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ถนนราดยางหลายร้อยหลายพันเส้น ถูกตัดเชื่อมเมืองใหญ่น้อยจนมีลักษณะคล้ายตารางหมากรุก
เหตุผลของเรื่องนี้มีสองส่วน ส่วนแรกเป็นเหตุผลทางยุทธศาสตร์ ในสมัยที่ทางการต่อสู้กับพลพรรคของคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ เส้นทางยุทธศาสตร์เหล่านี้ใช้ลำเลียงอาวุธเพื่อสู้รบกับคอมมิวนิสต์ และใช้แบ่งแยกพื้นที่ยึดครองของคอมมิวนิสต์เป็นเหตุผลทางการเมืองและการทหาร
อีกเหตุผลหนึ่ง คือเหตุผลด้านเศรษฐกิจ การขยายตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ ก็ต้องการเส้นทางในการขนวัตถุดิบและสินค้า แต่เส้นทางรถไฟที่มีอยู่เดิม แทบจะไม่ได้รับการขยับขยายเปิดเส้นทางใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นเลย อาจเป็นเพราะการขยายเส้นทางรถไฟ ใช้เงินทุนมหาศาลกว่าเส้นทางรถยนต์
ผลที่ตามมาคือ แหล่งความเจริญของบ้านเมือง ที่เดิมเคยเกาะเกี่ยวอยู่สองข้างแนวทางรถไฟ ค่อย ๆ เสื่อมถอยด้อยความสำคัญลง
ความเจริญย้ายทำเล ไปอิงสองข้างทางหลวงแผ่นดินเสียสิ้น ที่ดินสองข้างทางรถไฟที่เคยแพง ก็ลดน้อยด้อยค่าลง สวนทางกับราคาที่ดินสองข้างทางหลวง ที่นับวันแพงขึ้น
เป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีทางเศรษฐกิจ ที่เราสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนที่สุดประการหนึ่ง
เมื่อตัดถนนตัดมากขึ้น รถราก็แล่นกันได้สะดวกสบายขึ้น ผู้คนก็หันมาใช้รถยนต์กันมากขึ้น ซื้อหารถยนต์ไว้ใช้สอยส่วนตัวมากขึ้นไปด้วย
ผลที่ตามมาคือ ราคาน้ำมันที่ขึ้นและลงอย่างผันผวน ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...
พอว่ามาถึงเรื่องราคาน้ำมัน ที่นับวันแพงขึ้นทุกที ทำให้ต้องย้อนกลับไปคิดถึงการพัฒนาการขนส่งระบบรางกันอีกครั้ง ถ้าคิดแล้วทำได้จริง ๆ จัง ๆ น่าจะเป็นผลดี
อะไรอาจจะพลิกกลับไปสู่ยุคเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วอีก
ก็อาจเป็นได้...