www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Dreamgirls , วันที่ ธุรกิจ กลืนกิน ศิลปะ



...ผมดูหนังเรื่องนี้ไล่เลี่ยกับได้อ่าน บทสัมภาษณ์นักร้องเสียงใส ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ ถึงเหตุผลในการตัดสินใจออกจากแกรมมี่หลังจากอยู่มานานนับสิบปี ว่าเป็นเพราะเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกอัลบั้มที่สะท้อนตัวตนอย่างที่เธอเป็น เธอเบื่อที่จะต้องเอาเพลงเก่าๆมาร้องใหม่ในสไตล์แกรมมี่ ทางค่ายคงคิดว่า แนวเพลงของเธอนั้นมัน ไม่ขาย แต่ถ้าเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ด้วยเสียงสวรรค์ของเธอมัน ขายได้

เธอเหมือนกับหลายๆคนในวังวนบันเทิง Dreamgirls

เหล่าศิลปินที่เริ่มต้นจับมือกันด้วยใจรักในงานดนตรี เริ่มต้นกันอย่างเป็นครอบครัวเช่นในหนังที่ร้องเพลงกันอย่างสวยหรูว่า we are family เป็นครอบครัวเดียวกันของอากู๋และอาเฮีย ก่อนที่คำว่า ศิลปะ นั้น จะถูกธุรกิจกลืนกิน ก่อนที่คำว่า ครอบครัวนั้น จะถูกแทนที่ด้วย องค์กร



และ ศิลปิน ในสังกัดเหล่านั้น ก็จำต้องเปลี่ยนสถานภาพตาม

เจมส์ เออลี่ เป็น ดาวค้างฟ้าที่กำลังจะร่วงหล่นมา แต่เมื่อโปรดิวเซอร์เปลี่ยนลุคเปลี่ยนแนวดนตรี มันทำให้ตัวเขากลับมาขายได้ แต่นานวัน เขาหลอกตัวเองไม่ได้ว่า เพลงเหล่านั้น ไม่ใช่ตัวตนของเขา เขาอยากจะนำเสนอดนตรีโซลที่สื่อจิตวิญญาณของตัวเอง แต่ นายทุนไม่เห็นด้วย

ดีน่า โจนส์ เป็นดาวเจิดจรัสแต่ต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางของสามีผู้ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ เลือกให้เธอร้องในแนวเพลงที่เธอควรร้อง เล่นหนังในบทที่เธอควรเล่น ทั้งที่เธอเองก็รู้แก่ใจว่านั่นไม่ใช่ตัวตนที่เธอต้องการ

เอฟฟี่ มีพลังเสียงร้องเกินมนุษย์มนา แต่ต้องมาเป็นคอรัสร้องอู้วอ้าวอยู่แถวหลังพร้อมเต้นขยับตัวไปมา ทั้งที่ ก่อนจะเข้าสู่วงการ เธอเป็นนักร้องนำ เมื่อต้องแลกกับการเป็นศิลปิน เธอต้องถอยไปเป็นคอรัสเพราะ โปรดิวเซอร์บอกเสียงเธอเด่นเกินไป แต่เราคนดูก็เดาได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของโปรดิวเซอร์รายนั้นว่า เพราะ รูปร่างหน้าตาเธอไม่ขาย




ทั้งสามคน ...เป็นตัวแทนของศิลปิน ที่มาเป็น ลูกจ้าง ก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็น เหยื่อ ของวงการธุรกิจ ที่ตัวตนของตัวเองไม่มีโอกาสได้แสดงออก ด้วยเหตุผลเดียวคือมัน ไม่ขาย

ทั้งสามคน ... เป็นบทเรียนให้เราได้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เราร่วมทำงานกับ ปีศาจหรือคนชั่ว หนทางรอดมีอยู่แค่สองทาง นั่นคือ ต่อต้านจากมา หรือ ยอมเป็นพวกเดียวกับมัน

ไม่ใช่แค่อาชีพนักร้องเหมือนในหนังเท่านั้น หลายๆอาชีพเกี่ยวข้องแวะเวียนกับศิลปะ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพอย่างหมอหรือพยาบาล ซึ่งเวลาทำงานก็ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ นั่นแปลว่า ต้องมี ศิลปะ ในการทำงาน

ดังนั้น กับอาชีพที่ต้องมีศิลปะควบคุ่ เมื่อใดก็ตามเริ่มปล่อยให้ ธุรกิจ รุกคืบ เข้ามา ก็ย่อมตามมาสู่การพยายามประนีประนอม และ เมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าตัวไม่มีหลักยึดมั่นคง จุดประนีประนอมนั่นก็จะค่อยๆจางลงแล้วหายไป

เหมือนวงการเพลงบ้านเราที่เจอได้บ่อยไปกับ โปรดิวเซอร์มักง่าย สร้างเพลงของตัวเองแต่แฟนเพลงจับได้ทันทีว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันเพลงของวง Luna sea นี่หว่า" หรือ "อ๊ะ ไอ้คอนเสิร์ตที่เล่นให้ดูตะกี้มันโชว์ของมาดอนน่าทั้งดุ้น"

แล้วเราที่จุดประนีประนอมจางหายไป หากถูกคนทักท้วงว่าผลงานของเราก๊อปเขามา เราก็จะเริ่มรู้สึกว่า

“โอ้ว นี่ไม่ใช่การลอกหรอก มันแค่ ได้แรงบันดาลใจ”


ถึงชาวบ้านจะบอกว่าก๊อปชัดๆ แต่แล้วเราก็จะเริ่มรับได้ว่า

“โอ้ว เพลงนี้มันเหมือนกับเพลงต้นฉบับแทบทั้งเพลง ก็เพราะ เพลงมันมีอยู่ไม่กี่โน้ต ต่างหากละ”


... และเมื่อถึงจุดนั้น เราก็จะกลายเป็น ปีศาจ หรือ นักธุรกิจ เต็มตัวอย่างที่ เคอร์ติส เทย์เลอร์ เป็น และ เราก็จะมองอะไรเห็นเหมือนนักธุรกิจมอง นั่นคือ เห็นคน เป็นแค่สินค้า ไม่มากไปกว่านั้น เราพร้อมจะบดขยี้ กีดกัน จ้องทำลาย ฝ่ายตรงข้ามกับเรา ทั้งที่เขาหรือเธออาจเป็นเพื่อนหรือคนรัก

ผลที่จะตามมาก็คือ การทำร้ายใจคนใกล้ตัว ดั่งเช่น เอฟฟี่ ที่เจ็บปวดเพราะถูกทรยศจากคนที่เธอไว้ใจมากที่สุด หรือ ดีน่า ที่เจ็บปวดเมื่อเขาสารภาพในวันหนึ่งว่าเลือกเธอมาร้องเพลงด้วยสาเหตุอะไร



...ตัวละครทั้งหลายในหนังล้วนมีความฝัน และ การต้องไปให้ถึงฝันมันก็ต้องแลกกับอะไรหลายอย่างในชิวิต ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย , ศักดิ์ศรี , จิตวิญญาณ ฯลฯ แถมบางคนยังต้องแลกกับชีวิตทั้งชีวิต เช่น ดีน่าที่แม้มีชีวิตก็เหมือนถูกจองจำในคุกแห่งสัญญาที่เซ็นไปกับมือ

มันทำให้คนดูคงต้องย้อนกลับมาคิด กลับมามองตัวเองว่า เรายอมแค่ไหนเพื่อไปให้ถึงฝัน เราสูญเสีย เราแลกอะไรไปแล้วบ้าง เราประนีประนอมไปแค่ไหน เราสูญเสียตัวตนหรืออุดมคติในตัวไปแล้วหรือยัง และ เราหลวมตัวกลายเป็นปีศาจไปอย่างเต็มตัวไปแล้วหรือยัง

... ช่วงหลังผมเริ่มมั่นใจมากขึ้นกับการเลือกหนังที่จะเข้าไปนั่งดูในโรง เริ่มรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มจะเสียดายตังค์กับหนังแบบไหน นอกจากหนังสงครามแล้วหนังเพลงพันธุ์แท้แบบ Chicago ก็ไม่ใช่แนวโปรดปรานของผม เพราะผมไม่สนุกอย่างแรงกับ Phantom of the opera หนังเพลงที่ยกละครเวทีขึ้นจอโดยไม่มีความเป็นหนังในตัวเท่าไรนัก , ไม่ได้ปลื้มมากมายเหมือนคนอื่นๆกับ Chicago แต่ก็ทึ่งและชื่นชมในหลายๆฉากที่ใช้เพลงสื่อสารเนื้อหาและความรู้สึกตัวละครอย่างมีกึ๋น มีเพียง Moulin rouge ที่ผมหลงใหลเป็นพิเศษและจะว่าไป มันก็เป็นหนังเพลงที่แหกขนบหนังเพลงทั่วๆไปกับความโมเดิร์นของการนำเสนอและตัวเพลง

ผมเลือกไปดู Dreamgirls ด้วยเหตุผลเดียวคือ การยกพลขึ้นชิงรางวัลในที่หลายๆเวที จึงอยากไปพิสูจน์ว่าหนังเพลงเรื่องนี้มีอะไรดี แถมยังแซงตัวเต็งหนังเพลงอีกเรื่องของปีอย่าง Rent ที่ออกฉายแล้วล้มคว่ำไม่เป็นท่า



จากละครบรอดเวย์ที่โด่งดัง จากเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากศิลปินตัวจริงเสียงจริงกลุ่ม The Supremes ที่นักร้องนำคือ ไดน่า รอสส์ มาสู่ หนังใหญ่ที่เป็นกลุ่มศิลปิน The Dreametts โดยผ่านการคุมทีมจาก บิลล์ คอนดอน คนเขียนบท จาก Chicago และ อดีตผู้กำกับจากหนัง Kinsey และ Gods and Monsters ซึ่งผันตัวมากำกับหนังเพลงของตัวเองเป็นเรื่องแรก จากประสบการณ์ใน Chicago ส่งผลให้เขามีความชำนาญในการนำเสนอ หนังเพลง ออกมาได้มากกว่า การยกละครเวทีมาขึ้นจอโดยไม่ดัดแปลงอะไรเลย

นั่นจึงทำให้ ผมชอบ Dreamgirls มากกว่าและรู้สึกว่ามันดีกว่า Phantom of the opera แต่ในแง่ชั้นเชิงของการนำเสนอนั้นยังห่างไกลจาก Chicago มีเพียงสามสิ่งที่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญ ที่ช่วยผลักดันหนังให้มีความสนุกและความโดดเด่นเพียงพอในการกลบ ตัวบทที่แสนจะธรรมดาและการดำเนินเรื่องเรื่อยๆเปื่อยๆ นั่นคือ

สิ่งที่ชอบ

1. เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ... เธอมาพร้อมการแสดงชั้นเยี่ยม หนังเรื่องนี้คือ โชว์ของเธออย่างแท้จริง ยิ่งในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ยิ่งทำให้รัศมีสาวน้อยจาก American idol คนนี้ดูดีขึ้นไปอีก ถึงการแสดงจะดีมากแต่อาจไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองแบบ A++ แต่ คะแนนโบนัสพิเศษของเธอบวกมากับความอลังการงานเสียง ที่โชว์พลังกันไม่เกรงใจลำโพงโรงหนัง จนผมหวั่นๆว่าลำโพงจะแตกไป เธอบีบอารมณ์ของคนผิดหวังไปพร้อมๆกับความเป็นคนที่อีโก้จัด ได้ดี ชนิดที่ว่าในบางมุมเราอาจสงสารกับการถูกหลอกอย่างยาวนาน , เราอาจรู้สึกหมั่นไส้ตอนไม่ยอมร้องเพลงกับนักดนตรีคนใหม่ แต่ ต่อมาเราก็พร้อมเป็นกำลังใจให้เธอกับความมาดมั่น

2. ทีมนักแสดงในหนัง ... ใครเคยคิดว่า บียอนเซ่ มีดีแค่ เสื้อผ้าหน้าหุ่น เปลี่ยนใจใหม่ได้ในหนังเรื่องนี้ เธอได้แสดงอารมณ์มากขึ้นหลังจาก โชว์เนื้อโชว์หุ่นอยู่แต่หนังตลกไม่สนทักษะการแสดงอย่าง Austin power หรือ Pink panther / ใครจดจำได้แค่ภาพ เอ็ดดี้ เมอฟี่ย์ เล่นตลกบ้าๆบอๆ เตรียมใจชมฝีมือการแสดงที่ควรค่ากับการเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้จากหนังเรื่องนี้ ในบทตัวละครที่เริ่มต้นอย่างลำพองก่อนจะค่อยๆถดถอยจนต้องเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขีดสุด หลายฉากที่แววตาของเขาสะท้อนความผิดหวังกับชีวิตได้ยอดเยี่ยม นี่เป็นการรวมพลนักแสดงผิวสีที่เคยมีฝีมือหรือเกือบได้โชว์ฝีมือ มาปลดปล่อยความสามารถกันเต็มที่ ชนิดทำเอาเจ้าของรางวัลคนล่าสุดอย่าง เจมี่ ฟ็อกซ์ หมองไปเหมือนกัน

3.เพลงและฉากร้องเพลง ... ล้วนทรงพลังและสะท้อนอารมณ์ตัวละครได้อย่างเต็มเหนี่ยว ฉากร้องเพลงที่น่าทึ่งสองฉาก คือ And I'm Telling You (I'm Not Going) ที่เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฉากนี้แต่เพียงผู้เดียว
และ ฉากการเคลื่อนมุมกล้องตามตัวละครที่พยายามกล่อมให้เชื่อว่า เราคือครอบครัวเดียวกัน ในตอนต้นที่พยายามโน้มน้าว เอฟฟี่ ให้ยอมลดบทบาทมาเป็นคอรัส (จำชื่อเพลงไม่ได้)

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.บทหนังและการเล่าเรื่อง ... ผมรู้สึกว่า ตัว พล็อตหนัง เอื้อให้หนังสามารถเข้มข้นมากกว่านี้ได้ (คนผิวดำที่เป็นพลเมืองชั้นสอง , การต่อสู้ระหว่างความฝันและการสูญเสียตัวตน , ความสัมพันธ์ระหว่างคนรักและมิตรภาพบนผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ) แต่ หนังเล่าเรื่องเรียบเรื่อย ไม่มีจุดเน้นหนัก จุดที่จะเน้นก็ไม่ได้อารมณ์ร่วม ก่อนจะจบลงแบบมีกลิ่นน้ำเน่าลอยฟุ้งมาแต่ไกล
ซึ่งส่วนตัวคิดว่าถ้าจะเน่าทั้งที น่าจะเน่าให้ขยี้อารมณ์คนดูกันไปเลย แต่หนังกลับทำแบบนั้นได้ เฉพาะช่วงที่เป็น “เพลง” เท่านั้น ส่วนที่เหลือ แสนจะธรรมดาสามัญ ชนิดที่ผมคิดว่า ถ้าไม่ได้สามข้อข้างต้น แต่เป็น นักแสดงที่อ่อนกว่านี้ เพลงไม่ทรงพลังเท่านี้ หนังอาจตกฮวบไปมากกว่านี้เยอะ

สรุป ... คนรักหนังเพลง ห้ามพลาด คนรักหนังดราม่า ไม่เสียดายตังค์ หนังไม่น่าเบื่ออย่างที่ผมกริ่งเกรง เพลง คือ ปัจจัยหลักๆที่หนังนำเสนอได้อย่างเยี่ยมยอด แต่หากไม่ได้ชอบฟังเพลงแต่อย่างใด ไปดูอาจเบื่อๆได้ เพราะจะรู้สึกว่า จะร้องอะไรกันนักหนา แก้วหูคนดูจะระเบิดมิระเบิดแหล่อยู่แล้ว

ป.ล. เพิ่งไปดูมา ขอเชียร์ Music & lyrics ครับ อาจไม่ใช่หนังดีมากๆ แต่ หนังน่ารักสุดๆ ขายเสน่ห์นักแสดงนำโดยแท้ และ ทั้งคู่ก็ขายได้เสียด้วย ห้ามพลาดๆๆ




ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว)
เดือนแห่งความรัก มอบ"หนังสือรัก"แด่คนที่คุณรัก ฮิ้ววว






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2550 16:51:34 น. 18 comments
Counter : 2972 Pageviews.

 
สำหรับตัวเอง
กับหนังเรื่องนี้ โดยรวมรู้สึก ดีนะคะ
ชอบมิตรภาพในเรื่อง
ชอบการสะท้อนอารมณ์บางอย่างของผู้หญิง
ชอบการสะท้อนความต้องการบางอย่างของผู้ชาย
ชอบการสะท้อนเรื่องระหว่างศักดิ์ศรี ความรู้สึกมีค่า กับความก้าวหน้าของชีวิต

สำหรับตัวเอง รู้สึกสัมผัสอารมณ์ของตัวละครได้เพราะ อารมณ์เหล่านี้สามารถพบได้ในชีวิตจริงค่ะ

เรื่องนี้ บียอนเซ่ สวยมาก
เอฟเฟ่ เล่นได้เยี่ยมมาก เล่นได้มีพลัง(เสียงและแอคชั่น)
ปล. music and lyric น่ารักหรือคะ ไว้จะหาโอกาสไปดูค่ะ


โดย: Mr.Bear's dream วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:03:54 น.  

 
โดยรวมผมชอบนะครับ เรื่องนี้ เพลงเพราะดีมากเลย ฉากที่ชอบที่สุดก็คือฉากที่เขาเถียงกันโดยใช้เพลงทั้งหมด อันนี้ ชอบมากๆ ส่วนฉากที่ผมเห็นว่าเน่าได้ที่ และไม่ชอบก็คือตอนจบที่ให้พ่อมายืนดูหน้าลูก ผมว่าสื่อสารด้วยวิถีอื่นจะเก๋กว่านะ อันนี้มันซื่อเกินไป ไม่มีชั้นเชิง

ผมชอบที่ จขบ. เขียนเปรียบเทียบกับสถานะการณ์นักร้องของเราในปัจจุบันจัง โดนใจมากๆ เข้าใจเลยครับ


โดย: ป้อจาย วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:48:04 น.  

 
ดูแล้วประทับใจมากเลยครับ

1. ผมเองเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้ว ได้ความรู้เรื่องแนวเพลงของคนผิวสีในยุคนั้นมากมายเลยทีเดียว และเพลงเพราะมากกกก

2. Jen Hud เยี่ยมมากมาย แย่งซีนทุกฉาก ยิ่งเสียงร้องอลังการงานสร้างมากมาย ร้องที แบบว่าประทับใจไปเลย และ Eddie ที่ไม่คิดว่า จะเล่นได้ดีขนาดนี้ แถมร้องเพลงเพราะเสียด้วย และนักแสดงคนอื่นๆ ที่เล่นได้ค่อนข้างดีตามมาตรฐาน ทำให้หนังเรื่องนี้ ดูเพลินไปเลย

3. เนื้อเรื่องจิกกัดวงการเพลงได้ถึงแก่น ตรงนี้แหละครับ ที่ถูกใจมากมาย เพราะทำให้ผู้คนที่ต้องเข้าไปอยู่ในวังวนนี้ต้องกลายเป็นสินค้า และเป็นแค่เครื่องมือหาเงินของนายทุน อย่างที่ จขบ. กล่าวไว้ข้างต้นทุกประการ

สรุป ผมชอบหนังเรื่องนี้ครับผม

ปล. สวัสดีปีใหม่แบบจีนๆ และขอให้มั่งมีศรีสุข หนังสือรักพิมพ์ซ้ำหลายๆ ครั้งนะครับ


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:54:09 น.  

 
เห็นด้วยว่าเนื้อหาจิกกัดวงการเพลงได้ถึงแก่น เป็นอุทาหรณ์ให้กับวงการเพลงบ้านเราได้ดี กระนั้นก็ยังเอาใจคนดูอยู่บ้าง ตรงที่ไม่ให้แม่อ้วนเจนนิเฟอร์ต้องตายไปเหมือนตัวจริง คือ Florence Barrell ที่ถูกขับออกจากวงและติดยาจนต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้ค่า

และสไตล์หนังเรื่องนี้คือ Musical เป็นหนังที่ใช้เพลงเล่าเรื่อง ถ้าคนดูประเภทไม่ชอบหนังเพลงก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปชม ต้องออกมาเถียงกันตอนหนังจบเป่าๆ


โดย: Bkkbear (Bkkbear ) วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:41:30 น.  

 
แปลกครับ ผมชอบ Jamie Foxx กับ Beyonce มาก
สำหรับ Jennifer Hudson คิดว่าส่วนมากที่เธอทำคือร้องเพลง ปกติเวลานักร้องผิวสีเสียงดีมากๆ ขนาดนี้ร้องเพลง ก็ใส่อารมณ์ท่าทางแบบนี้อยู่แล้ว ผมเลยไม่ค่อยอินกับการแสดงเธอเลย
ถึงตอนนี้คำจำกัดความหนังเรื่องนี้ของผมคือ มิวสิควิดีโอ หลายๆ เพลงที่เรียงต่อกันเป็นหนังเรื่องหนึ่ง


โดย: ayres IP: 58.64.107.187 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:44:55 น.  

 
เข้ามาเม้นท์
เราดูหนังเรี่องนี้ 2 รอบเลย
เราชอบทั้งสามคนเลยนะ เรื่องเสียงร้องต้องยกให้เจนเลย เสียงดีมากๆๆทึ้งสุดๆๆ
ไม่น่าเชื่อว่านักแสดงที่เราเห็ฯกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเอ็ดดี้ ว้าวเขาร้องเพลงเป็นด้วยหรอนี้
เป็นมืออาชีพมากๆๆ
แต่เราก็รู้สึกว่า เรื่องนี้เจนออกจะ ได้ซีนดีๆๆมากกว่าบียอนเซ่สะอีก แต่ก็ดีแล้วละ
เราไม่ค่อยได้ดูหนังดีๆๆ แบบนี้มานานและแหละ
กะว่าถ้าออกเป็นดีวีดี เราจะไปซื้อมาเก็ไว้ดูด้วย


โดย: เสือสาวเขย่าโลก วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:38:46 น.  

 
ว่าจะไปดูเหมือนกัน แต่ตอนนี้คงออกไปแล้วแน่ ๆ เลย โดนนเรศวรลงโรงกระหน่ำซะขนาดนั้น

ผมกลับผิดคาดที่ 'ผมอยู่ข้างหลังคุณ' จะเมนท์เรื่องนี้ ก่อนเรื่อง นเรศวร ตอนประกาศอิศรภาพ ซะอีก



โดย: ... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... (... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... ) วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:34:52 น.  

 
^
^
+ น่าจะยังมีรอบเหลือนะครับ แต่คงไม่เยอะเท่าไหร่ ... อย่างน้อยที่ลิโด ยังมีครับ (ถึงวันพุธนี้ ส่วนพฤหัสต้องรอบเช็ครอบอีกที)
+ อืม ... เท่าที่อ่านจากที่คุณ จขบ. และผู้มาเม้นต์เขียนกัน ... ผมว่าคนที่รักเสียงเพลง ชอบหนังเพลงจะอินกับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ ... แต่ถ้าคนที่ไม่เน้นเพลงเท่าไหร่ (ผมก็เป็นคนนึงในประเภทหลัง) จะมีความรู้สึกว่าความเป็นดราม่ามันไม่หนักแน่นเท่าที่ควร (อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หลุด 1 ใน 5 เรื่องที่เข้าชิงออสการ์ในนาทีสุดท้าย) ... คือคล้ายๆ กับที่คุณ ayres ว่ามันเหมือนการเอาเพลงๆๆ มาต่อกัน ถึงแม้จะมีประเด็นให้หนังพูดถึงอยู่ก็ตามอ่ะครับ ... ส่วนตอนจบ ... แบบน้ำเน่า เอาใจคนดูอย่างผม อิๆ ... เพราะถ้าปิศาจนักธุรกิจอย่างตาเคอร์ติสลอยนวลไปเนี่ย คงเซ็งพิลึก
+ แต่ถึงอย่างไร การแสดงและเพลงก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกขึ้นมาได้ ... ซีนเพลง And I'm Telling You (I'm Not Going) นั่น ทำขนคอตั้งชัน ลำโพงแทบแตกจริงๆ แหละครับ เจนนิเฟอร์ ฮัดสันเธอ 'ถอดวิญญาณร้อง' จริงๆ ... แถมบทในเรื่องยังเด่นกว่าบียอนเซ่ จนได้ข่าวว่าเธอวีนเลยนี่ครับที่พอหนังเข้าฉายแล้วเธอเด่นน้อยกว่า (แต่อย่างน้อยเพลง Listen ที่เธอร้อง ก็มีสิทธิ์ชนะรางวัลออสการ์เพลงยอดเยี่ยมเหมือนกันแหละเนาะ)
+ ตาเฮียเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ จริงๆ ถ้าพี่แกเปลี่ยนมารับบทดราม่าให้เยอะขึ้นหรือเร็วกว่านี้ ... ก็คงมีโอกาสเข้าชิงรางวัลเร็วกว่านี้นะเนี่ย เสียงร้องพี่แกก็ใช้ได้เลยนะครับ ... ซึ่งเรื่องนี้โอกาสลุ้นรางวัลออสการ์มากที่สุด ก็น่าจะได้จาก 1 เพลง (ที่เข้าชิงตั้ง 3 เพลง) กับสาขาประกอบชายและหญิงนี่แหละครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:28:44 น.  

 
ทุกเพลงเพราะจริงๆครับ
แต่ผมหาอัลบั้ม OST ไม่เจออะ ทั้งๆที่ได้ข่าว(และเห็นโฆษณา)ว่าวางขายแล้ว


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:04:31 น.  

 
^
^
ไปหามาเหมือนกันแก ที่ DJ Siam ขายหมดแล้ว เสียดายมากๆ

แต่เค้าขายแผ่นละ 340 นะ ราคาโหดคุ้มเพลงอยู่

แวะเข้ามาสวัสดีปีใหม่จีน ร่ำๆรวยๆเฮงๆหนังสือขายดีๆนะคะ


โดย: zadwaan (cheatoneself ) วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:02:40 น.  

 
เหอๆๆ เดินตั้งแต่พารากอนยันมาบุญครอง
มีทั้งร้านที่บอกว่าหมดแล้ว กับร้านที่บอกว่าของยังไม่มา - -

มาเม้นเรื่องหนังเพิ่มดีกว่า...
ตอนเพลง We Are the Family (อนุโลมว่าเพลงนี้มันชื่อนี้ละกันนะ) ที่ผมดูรอบสอง สังเกตได้อย่างนึงว่าปากตาเคอร์ติสมันร้องแบบไม่เต็มเสียง ทำปากขมุบขมิบตามชาวบ้านเค้าไปงั้นเอง... ผกก.แกคงพยายามแฝงเป็นนัยมาตั้งแต่ฉากนี้แล้วด้วยล่ะมั้งครับว่าไอ้เคอร์ติสนี่ไว้ใจไม่ได้...

เพลง Steppin' to the Bad Side นี่โคตรเท่เลยตอนพี่ดำสามคนเดินเรียงหน้ากระดานถือกระเป๋ามาหากล้อง


โดย: nanoguy IP: 203.113.34.11 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:52:58 น.  

 
โดยรวมแล้วชอบเรื่องนี้มากค่ะ เพราะมันมีความเป็นหนังเพลงที่ครบถ้วน เพลงเพราะมากและการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นเพลง หรือเปลี่ยนไดอะล็อคให้เป็นการร้องเพลงแทนก็กลมกลืนดีไม่ได้ดูแล้วเหมือนกับพยายามใส่เพลงลงไปให้มันเป็นหนังเพลงซะงั้น นักแสดงทุกคนเยี่ยมมากๆเลย แม้บทจะธรรมดาแต่มันก็สะท้อนความเป็นจริงของวงการเพลงได้เลย ที่ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี มันก็ยังคงเป็นการทับซ้อนระหว่างธุรกิจกับศิลปะอยู่ดี


โดย: TaMaChaN IP: 210.223.90.157 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:19:39:30 น.  

 
คุณน้องนาโนช่างสังเกตจริงๆ เหอๆๆ
ว่าจะไปดูอีกรอบ ไม่รู้ว่าโรงไหนระบบเสียงดีๆ เหมาะกับหนังเพลงมั่ง..

ส่วนที่บอกว่าเหมือนเอาเพลงมาต่อๆ กันเหมือนมิวสิควิดิโอเนี่ย ออกจะไม่เห็นด้วยอยู่ Musical มันมีสไตล์ของมัน วิธีการเล่าเรื่องแต่ละเรื่องก็แปลกแตกต่างกัน แต่ตัวเพลงจะขยายความแต่ละฉากในแง่มุมทั้งทางตรงและทางอ้อม ทุกเพลงมีความหมายหมด

หากมองแค่ว่าเอาเพลงมาเรียงๆ กันให้ดูยาวๆ คงจะเข้าใจผิด จะเห็นว่าเนื้อเรื่องนั้นมีคอนเซ็ปต์ในการเล่าชัดเจน หากแต่จะหวังว่าความเป็นดราม่าจะเข้มข้นถึงใจดังหนังดราม่าทั่วไป อาจจะไม่ได้อย่างใจ เพราะสไตล์การเล่าแบบมิวสิคัลมันมีแนวของมันอยู่ โดยเฉพาะ Dreamgirls นั้นเหตุการณ์ล้วนต้องวนเวียนอยู่กับโชว์บนเวทีอยู่ตลอด

แต่ก็เห็นด้วยอยู่ว่าเรื่องช่วงต้นๆ ดูออกจะเบาๆ ตามสูตรไปหน่อย ดูไม่ค่อยฉีกสไตล์จากหนังแนวนี้เท่าไร คิดว่าถ้าได้ชมบนเวทีละครคงจะตื่นตากว่านี้ ทั้งแสงสีและโชว์แต่ละชุด


โดย: Bkkbear (Bkkbear ) วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:17:11 น.  

 
ผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ เรื่องที่ว่าเป็นเอ็มวี...
เพราะเท่าที่สังเกตดู ตั้งแต่เพลง Steppin' to the Bad Side เป็นต้นมา เพลงทุกๆเพลงในหนังล้วนแต่มี connection กับเนื้อเรื่องตอนนั้นทั้งหมดจนจบเรื่อง

ถ้าจะให้จำกัดความการเอาเอ็มวีมาเรียงๆเป็นหนัง คงต้องยกให้ละครเอ็กแซ็กท์ ที่นึกจะเปิดเพลงก็เปิด แถมเปิดยาวอีกต่างหาก 555+


โดย: nanoguy IP: 203.113.34.9 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:44:19 น.  

 
ดูแล้วเพลงเพราะมากเลย แต่ชอบCHICAGOมากกว่า


โดย: bas IP: 58.8.20.128 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:35:43 น.  

 
ชอบฟังเพลงค่ะ แต่มาฟัง Diana Ross รุ่นหลังๆ ไม่ทัน The Supremes พอทราบว่ามีเรื่องนี้ก็เลยอยากดูมาก ดูแล้วก็ชอบนะคะ แต่ไม่ทราบเพราะอะไร เหนื่อยออกมาจากโรงเลยทีเดียว

คะแนนตกก็คงเพราะเรื่องนี้แหล่ะ หนังอะไรดูเสร็จแล้วคนดูเพลีย คิดว่าคงเป็นเพราะปล่อยเพลงออกมาถี่ ๆ เกินไป แถมร้องกันแบบไม่ยั้งเอาเสียเลย ก็เลยกลายเปนว่าไม่ได้ชอบแม่นาง Jen ซักเท่าไหร่ค่ะจากเรื่องนี้ ชอบบียองเซ่มากกว่าเพราะเธอดูดีขึ้นมาเยอะเลยค่ะ


โดย: Lily of the Valley IP: 124.121.11.252 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:1:57:19 น.  

 
ขอมารายงานตัวช้ากว่าชาวบ้าน ( ดูแผ่นอ่า เสียดายจริงๆ T^T )
โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด โดยเป็นละครดราม่าเพลง ที่ลื่นไหลเข้ากันได้อย่างดี ที่สำคัญผมเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้วยิ่งชอบไปใหญ่ ^^

โดยเฉพาะ JH แย่งซีนชาวบ้านไปหมด แสดงถึงพลังของเจ้ ในเพลง And I am telling you , I'm not going. เป็นฉากที่ผมตะลึงบทของเจ้แกมากๆเลย


โดย: Story of Winter IP: 58.10.198.117 วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:15:08:39 น.  

 
เพิ่งได้มีโอกาสหยิบแผ่นมาดูวันนี้ค่ะ (แอบจิ๊กน้องมา) เหอๆๆๆ
แบบว่าอึ้งกับฉากเพลง And I'm Telling You (I'm Not Going) แบบว่าแอบอิน น้ำตาไหลพรากไม่รู้ตัว
โดยรวมชอบมากเลยค่ะ


โดย: ปลากะโฮ้น้้อย IP: 125.24.65.0 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:21:29:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
18 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.