www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Star Wars: Episode III Revenge of the Sith , การปิดตำนานและการเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์



(บทความเรื่องนี้มี Spoiler อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นจุดหักมุมหรือจุดสำคัญต่อเรื่องราวของหนังมากเกินไป)


... ผมเกิดปีเดียวกับการฉาย Star Wars แต่ภาคแรกที่ผมได้ดูในโรงภาพยนตร์คือ Return of the Jedi ความทรงจำในวัยเด็กภาค Return of the Jediนี้เป็นภาคที่ผมดูสนุกที่สุดตื่นตาตื่นใจที่สุด และเมื่อผมโตขึ้นผมก็เริ่มเรียนรู้ว่า นอกจากความสนุกแล้วภาพยนตร์ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ค้นหามากกว่านั้นและนั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงชอบThe Empire Strikes Back เพราะถ้าดูเอาเรื่อง ภาคนี้เป็นภาคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การหักหลัง ความประหลาดใจและการเปิดประตูไปสู่การปิดฉากที่สมบูรณ์แบบของไตรภาคแรก (ยังจำได้ว่าตอนนั้นมีคนเปรียบตลกๆว่าสตาร์วอส์ก็เหมือนลิเกอวกาศเรื่องหนึ่ง)

.....เมื่อผมได้ยินว่า Star Wars จะนำกลับมาสร้างใหม่ มันได้สร้างความตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยด้วยใจระทึกอย่างมาก ผมไม่ใช่แฟนคลับ Star Wars ผมไม่ได้มีสายเลือดของเจได แต่บางอย่างที่เป็นความผูกพันนำไปสู่การรอคอยที่จะได้พบกับเพื่อนเก่าที่เคยมีความสุขร่วมกันในวัยเด็ก เมื่อได้พบกับ Episode I - The Phantom Menace มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับได้พบใครซักคนที่คุ้นเคยมาในรูปโฉมใหม่ แต่ที่ขาดหายไปคือผมคุยกับเขาได้ไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน มันคุ้นเคยแต่สนุกไม่เต็มที่ นอกจากนี้ผมยังกลับรู้สึกว่าภาคนี้เป็นภาคที่น่าเบื่อที่สุดในทุกตอนที่เคยสร้างมา ครั้นมาถึง Episode II - Attack of the Clonesหลายสิ่งเริ่มดูลงตัวกระชับมากขึ้น แต่มันก็ไม่บังเกิดความรู้สึกเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนชื่อ Star Wars เหมือนตอนในวัยเด็กแล้ว

...ความแตกต่างในความรู้สึกของ 2 ไตรภาคนี้ที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะไตรภาคที่สองที่ผมได้ดูในวัยเด็ก มันเป็นเรื่องราวในวงกว้างที่เล่าถึงการต่อสู้ เพื่อนพ้อง ความรัก สงคราม จินตนาการ ฯลฯ ในขณะที่ไตรภาคแรกที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้น เป็นการเล่าเรื่องราวจะค่อนข้างแคบและลงไปที่จุดเดียวคือ ตัว Anakin Skywalker และพัฒนาการของการไปเป็น Darth Vader ของเขา

Episode I – III คือ จุดเริ่มต้นที่หนังไม่ได้ตั้งใจไว้จะสร้างในตอนแรก ส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่าตอนต่อที่เป็นลักษณะ Prequel มักจะไมได้มีการวางแผนมาก่อน และเป็นธรรมชาติของภาพยนตร์ที่หากจะสร้างตอนต่อเป็นPrequel นั่นคือผู้สร้างต้องพยายามที่จะหาทางเชื่อมโยงตอนท้ายให้ไปเชื่อมต่อกับตอนต้นของภาคที่สร้างไปแล้ว นอกจากนี้มันควรจะมีความบันเทิงในตัวเพียงพอที่จะให้คนดูสนุกไปกับมันไม่ใช่แค่สร้างมาเพียงเพื่อจะเชื่อมต่อแล้วเรียกเงินจากคนดู Prequel ที่ผมคิดว่าทำจุดนี้ได้เนียนในการ 1.เชื่อมต่อเรื่องได้ดี 2.มีดีในตัวของมันเอง คือ Godfather และ Infernal affairs ภาค 2

Episode I – II สำหรับผมคือภาพยนตร์ที่ดูสนุกเพราะมันเป็นตอนต่อของ Star wars สนุกคือการได้เห็นได้เจอตัวละครที่คุ้นเคย ฉากหรือองค์ประกอบเก่าๆที่นำมาทำให้สมบูรณ์ทันสมัยขึ้น แต่โดยตัวของมันเองแล้วไม่สนุก อืด และดูมีความพยายามที่จะยืดเนื้อหาเพื่อไปรองรับ Episode 3 มากเกินไป หากผมเริ่มรู้จักStar Wars โดยเริ่มต้นที่สองภาคในไตรภาคแรกนี้คงไม่ได้เกิดความรู้สึกดีๆเหมือนกับตอนเริ่มต้นได้รู้จักจากการดูสองภาค(Episode5-6)ในไตรภาคที่สอง ความประทับใจของผมเป็นพิเศษใน EpisodeI-II คือการได้เห็น โยดาแสดงศักยภาพดาราโชว์เก๋ายืนสั่งการบนยานรบกับคว้าไลท์เซเบอร์ตีลังกาแปดสิบหกตลบฟาดฟันศัตรูในEpisodeII ช่วยเพิ่มความน่านับถือและความน่าเชื่อถือในตัวท่านเป็นที่ยิ่ง

Star Wars: Episode III - Revenge of the Sith สำหรับผมที่ได้ดูในโรงSF Emporiumรอบ18.20น. สร้างความแตกต่างออกไปจาก Episode I – II สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือมันสนุกมากขึ้น มีมุขตลกที่ผ่อนคลายมากกว่า มีความเข้มข้นมากกว่า มีฉากที่ต้องลุ้นระทึกมากกว่า และมีความได้เปรียบเหมือน Episode I – IIคือ มีตัวละครที่คุ้นเคยโผล่มาให้ทักทายหายคิดถึง มีฉากหรือสถานที่ที่ทำให้เราได้เกิดอารมณ์โหยหาอดีตจากภาพเหล่านั้น


หากการเข้าให้ถึงวิถีJediเปรียบได้ตามหลักของศาสนา ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยวาง การยอมรับ การรู้แจ้งฯลฯ

Anakin Skywalker ก็คือมนุษย์อย่างเราๆ ที่มีพื้นฐานจิตใจที่ย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่างติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อเติบโตขึ้นชีวิตก็ต้องผ่านบททดสอบมากมาย ที่ถูกท้าทายโดยกิเลสตัณหารอบด้านจากโลกภายนอก เมื่อใดที่ด้านมืดเริ่มเข้มแข็ง เหตุผลในการกระทำก็มักจะตามมามากมายเพื่อสนับสนุนให้ความชอบธรรมนั้นเกิดขึ้น (เหมือนกับระบอบการเมืองและสันติภาพที่ Palpatine พยายามจะพลิกจากสิ่งผิดให้กลายเป็นชอบธรรมเพียงอาศัยเหตุผลและอำนาจเท่านั้นเอง)

Anakin Skywalker.... สูญเสียความรักไปตั้งแต่ยังเด็ก เขาเติบโตมากับแม่และเมื่อเสียแม่ไปความผูกพันกับผู้ที่เป็นแม่จึงโอนไปอยู่ที่ Padmé หญิงสาวที่เป็นทั้งคนรักและเป็นทั้งแม่( Padmé อายุมากกว่าAnakin) สิ่งที่เขายอมรับไม่ได้คือความกลัวที่จะต้องสูญเสียเธอไปอีก น่าตลกว่าหนึ่งในกิเลสที่มักจะซึมซับให้คนเรากล้าที่จะทำในสิ่งที่ผิดมากสุดก็คือความกลัวนั่นเอง นั่นจึงนำไปสู่การที่หัวใจของเขาเปิดรับด้านมืดอื่นๆที่ถูกปิดครอบไว้ด้วยมโนธรรม(ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับคำสอนของเจได) คือกิเลส ความทะเยอทะยานซึ่งเป็นแรงขับที่เขามีมาตั้งแต่เด็ก เด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กที่มีปมความรู้สึกด้อยค่าเมื่อมาถูกตอกย้ำด้วยการมองผ่านและไม่เห็นคุณค่าจากสภาJedi มันยิ่งย้ำความรู้สึกด้อยค่าลึกๆภายในตัว ก่อนที่กิเลสสุดท้ายที่ครอบงำเขาคือความโกรธ ความอิจฉา ที่ Obi-Wan Kenobi ซึ่งเปรียบเสมือนภาพสมบูรณ์แบบของเขา(Ego-ideal) ที่เขาไปไม่ถึงและทำให้เขาต้องรู้สึกด้อย มาทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกแย่งคนรักไปอีก เมื่อนั้นไม่ต้องถึงกับต้องตกลงไปในทะเลเพลิง Anakin Skywalkerก็ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

........ ความฝันหรือนิมิตที่เขาเห็นมันก็คือการที่เขาเห็นผลของการกระทำตัวเองโดยที่ยังไม่รู้ตัว หากเขาตัดกิเลสและมองเห็นด้วยตาที่สว่างก็จะพบว่าความตายที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากตัวเขาแต่ด้วยกิเลสและแรงขับจากความอ่อนแอในตัวที่ทำให้เขาเห็นเพียงภาพลางแต่ยังไม่เห็นอย่างรู้แจ้ง ต้องนำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้า เพราะความตายของ Padme ก็เกิดจากความรู้สึกที่มีต่อตัวเขา เธอมีชีวิตอยู่เพราะความรักและเธอตายไปเพราะสิ่งที่เธอรักได้สูญสลายไปจนเธอไม่มีพลังเพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เธอทำได้คือถ่ายทอดความรักของเขาและเธอกำเนิดมาเป็นทารกทั้งสอง

....ตัวตนของ Anakin อาจตายไปแต่ความดีนั้นยังคงอยู่ตามที่ PadmeบอกเพราะความตายของตัวตนAnakinมาพร้อมกับการเกิดของLuke กับ Leia อันเป็นเชื้อสายของเขาและเธอและเป็นความดีงามที่สืบเผ่าพันธุ์ต่อไปเป็นวงจรที่จะไปดับกิเลสหรือความชั่วร้ายในท้ายที่สุด เพราะสุดท้ายมิใช่หรือที่ความดีของAnakin (Luke กับ Leia)กลับไปทำลายความชั่Anakin (Darth Vader)ดั่งวงจรกรรมของมนุษย์ที่เกิดแก่เจ็บและตายในที่สุดพร้อมกลับเข้าสู่สมดุลย์อีกครั้ง

สิ่งที่ชอบ

1.อารมณ์ Star Wars....ภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ผมได้ดูตอนเด็กมากที่สุด มีรอยยิ้ม(โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุขที่มาจากR2D2 ไม่ใช่มุขที่จะขำก็ขำไม่ออกเหมือนกับจาจาบิงค์ ใน2 episodeแรก) มีความสนุก มีความลุ้นระทึก เพราะสองepisodeแรกผมรู้สึกว่ามันมีความพยายามมากเกินไปที่จะสร้างเรื่องราวและสร้างความเป็นดราม่าจนบั่นทอนความสนุกของหนัง ทั้งๆที่สิ่งที่การเป็นตำนานของStar warsผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องราวอันเข้มข้นหรือเนื้อหาที่หนักอึ้งแต่มันคือความบันเทิงที่เข้าได้ถึงทุกเพศวัยเป็นจินตนาการที่ทำให้สิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยมีให้คนดูยอมรับได้อย่างสนุกสนาน

2.การปิดตำนานและเริ่มต้น....ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างหนังที่เป็นตอนก่อนหนังที่ทำออกมาแล้วถึงสามภาค (ถ้าก่อนแค่ภาคเดียวยังพอไหวในการตามเก็บรายละเอียดมาเชื่อมต่อ) เพราะสิ่งทีหนังต้องทำคือต้องให้มีรอยโหว่น้อยที่สุดกับสามภาคที่สร้างมาแล้วแถมทั้งสามภาคนั้นยังเต็มได้ด้วยรายละเอียดมากมาย ไม่เท่านั้นหนังยังต้องปิดฉากการเล่าเรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วสองภาค ผมคิดว่าหนังทำหน้าที่สองส่วนนี้ได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้ในภาคนี้สำหรับการเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งสองไตรภาคเข้าด้วยกันแม้ว่าจะมีบางอย่างที่ไปดูในepisode4-5-6แล้วจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ต่อตรงกันนัก แต่ต้องยอมรับว่าในการทำตอนนั้น George Lucas เองก็คงไม่ได้คิดว่าจะกลับมาทำไตรภาคเริ่มต้นนี้อีกดังนั้นหลายอย่างมันจึงไม่ง่ายที่จะมาเชื่อมต่อเนียนได้ทั้งหมด เท่านี้ผมคิดว่ามันก็ดีเพียงพอแล้ว เป็นการปิดตำนานและเริ่มต้นได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์

3.George Lucas….ในฐานะผู้กำกับ ไตรภาคแรก(Episode4-5-6)ภาคที่เขาทำในฐานะผู้กำกับเป็นภาคที่ผมชอบน้อยที่สุด(Star Wars IV: A New Hope) เมื่อเขากลับมาสร้างไตรภาคใหม่และควบหน้าที่ผู้กำกับทั้งสามภาคนั้น Episode III - Revenge of the Sith เป็นStar warsตอนที่เขากำกับได้ลงตัวและสนุกมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคเก่าๆที่เขากำกับ เพราะมันไม่เยิ่นเย้อ ความเป็นดราม่าที่ดูเหมือนเป็นจุดอ่อนของเขาไม่ขัดตา เป็นสัดส่วนที่ลงตัว และไม่ดูโดดออกจากภาพรวมของหนัง(ยิ่งถ้าเทียบกับฉากแอคชั่น)เหมือนภาคก่อน ในฐานะผู้สร้าง Star Wars ความยอดเยี่ยมของเขานี้คงเป็นความทรงจำของผู้ชมไปนานแสนนานพร้อมกับภาพยนตร์ที่เชื่อได้ว่าคงยากที่จะมีใครสร้างภาพยนตร์ที่เป็นตำนานและทำออกมาได้ดีแบบนี้อีก

4.เสียงประกอบ...รายละเอียดของเสียงประกอบไม่ว่าจะเป็นเสียงยานอวกาศ เสียงร้องของสัตว์ประหลาดหรือหุ่นต่างๆฯลฯ ละเอียดและทำได้ดีมาก เสริมจินตนาการจากภาพที่ได้เห็นและเหมือนกับได้ไปอยู่ในฉากนั้นจริงๆ

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.ความรักของAnakinและ Padmé…..หนังมีเวลาปูเรื่องของทั้งคู่มาตั้งแต่EpisodeIแต่หนังไม่ทำให้ผมรู้สึกถึงความรักของตัวละครมีต่อกันแม้แต่น้อยเมื่อมาถึงจุดวิกฤติของตัวละครในEpisodeIII มันทำให้จุดหักเหของการเข้าสู่ด้านมืดของ Anakin Skywalker ไม่น่าเชื่อถือ มันไม่เกิดความรู้สึกว่า Anakinรักเธอมากขนาดนั้นนอกจากบทพูดที่หนังจับมันยัดเยียดใส่ให้ตัวละครพูดออกมา ฉากรักของทั้งคู่ตั้งแต่EpisodeIIที่ผมเองก็รู้สึกว่ามันขัดๆตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเพราะท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันงดงามส่วนเกินที่สุดคือตัวละครทั้งคู่ ผู้กำกับไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกห่วงหารักใคร่ได้ดีเท่ากับฉากรบอันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หนังสามารถประคองจุดนี้ให้ไม่ดูเป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนได้เพราะการแสดงที่เข้าถึงบทของ Natalie Portman

2.บางอย่างที่รวบรัด....ผมเข้าใจว่ามันยากที่จะรวมทุกสิ่งให้มันจบในตัวและเป็นการต่อยอดไปในไตรภาคถัดไป แต่หลายฉากหลายตอนที่ผมรู้สึกว่ามันรวบรัดเร็วและง่ายเกินไป เงื่อนไขการเข้าสู่ด้านมืดของ Anakin เพียงเพราะความฝันมันดูอ่อนเกินไปที่จะทำให้เชื่อว่าเขาเชื่อมันจนขนาดยอมทำทุกอย่าง หรือ การให้กำเนิดของฝาแฝดจบลงสั้นๆตรงที่อยู่ๆ Padmé บอกชื่อลูกแล้วก็ทิ้งตัวละครนี้ไปอย่างง่ายดายเหมือนกับฉากนี้มีเพื่อให้รู้ว่านี่ละ Luke กับ Leiaเกิดมาแบบนี้

สรุป....สำหรับใครที่ติดตามStar Warsมาตลอดจงอย่าลังเลที่จะไปร่วมส่งท้ายปิดฉากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกันในโรงภาพยนตร์ เพราะต่อไปคงไม่ได้เห็นดนตรีที่คุ้นหูและการเปิดฉากด้วยตัวหนังสือเล่าเรื่องตอนเริ่มที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปบนจอใหญ่แบบนี้อีก ผมเองไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่มันก็มีความรู้สึกผูกพันเหมือนกับการที่ต้องไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ไม่ว่าใครจะว่าดีหรือแย่อย่างไรก็ตาม หากจะมองภาคนี้ในฐานะภาพยนตร์เรื่องหนึ่งโดยไม่ใช่แค่ว่าเป็นการอาศัยชื่อชั้นStarWarsแล้วมันก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าน่าตีตั๋วชมโดยไม่รู้สึกเสียดายเงิน และสุดท้ายภาพยนตร์ชุดนี้ผมคิดว่าเหมาะสมเหลือเกินหากใครจะคิดถึงหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งในฐานะตำนาน Star Warsจะกลายเป็นตำนานเล่าให้สู่รุ่นลูกหลานต่อไปว่า A long time ago in a galaxy far, far away...

ปล...ได้ดูตัวอย่างนาร์เนียในโรงแล้วช่างอลังการงานสร้างอะไรเช่นนี้ ส่วนตัวอย่างของBatmanกลับให้ความรู้สึกเหมือนหนังอย่างเจมส์บอนด์เพียงแค่เปลี่ยนชุดเป็นมนุษย์ค้างคาวจนอดห่วงว่าตัวหนังจริงจะลดความขลังของตำนานค้างคาวไปหรือไม่ แล้วเดี๋ยวไปเที่ยวบ้านหุ่นผี เหมืองแร่ และ เมืองคนบาปกันครับ




ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป

ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง


Create Date : 24 พฤษภาคม 2548
Last Update : 30 ตุลาคม 2548 1:55:49 น. 24 comments
Counter : 2630 Pageviews.

 
ยาวจัง ส่วนตัวดูเพราะชอบครับ มีอีกเมื่อไหร่ก็ดู


โดย: ultraman seven วันที่: 24 พฤษภาคม 2548 เวลา:8:58:21 น.  

 
ภาคนี้รวบรัดจริงแหละ เห็นด้วย แต่ก็ยังชอบความรักระหว่างอนาคินกะแพดเม่อยู่ดี จริงๆรู้สึกว่าฉากดวลไม่ค่อยหนุกเท่าไหร่เลยค่ะ


โดย: Fruit_tea IP: 61.90.108.122 วันที่: 24 พฤษภาคม 2548 เวลา:9:13:01 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ


โดย: man u girl วันที่: 24 พฤษภาคม 2548 เวลา:20:53:42 น.  

 
มีเงินแล้วจะไปดูครับ...


โดย: nanoguy unlog IP: 203.151.118.195 วันที่: 25 พฤษภาคม 2548 เวลา:9:13:16 น.  

 
ยังไม่ว่างไปดูเลย


โดย: tong IP: 202.28.179.1 วันที่: 25 พฤษภาคม 2548 เวลา:14:11:40 น.  

 
ดูแล้วเหมือนกัน สนุกดีนะ
จำภาคเก่า ๆ ไม่ค่อยได้ ออกโรงมาด้วยความงงนิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้พอจะจับต้นชนปลายได้บางแล้วว่า ......

การเล่าเรื่องของเค้าเ เหมือนเรื่อง Infernal Affairs นั่นเอง






โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร IP: 202.176.184.45 วันที่: 25 พฤษภาคม 2548 เวลา:16:55:29 น.  

 
เข้ามาอ่านครับ


โดย: Dasher IP: 61.19.215.98 วันที่: 26 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:01:01 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ไม่ถึงกับเป็นแฟนประจำ Star war ดูไม่ครบทุกภาค แต่คิดว่าภาคนี้ทำได้สนุกดี มีความลึกด้านจิตใจ เนื้อหาทำให้เห็นว่า
ทุกพฤติกรรมของมนุษย์ล้วนมีที่มา ไม่ว่าจะเป็นการที่อนาคินกลัวสูญเสียภรรยา (เพราะไม่อยากพบความเจ็บปวดแบบนั้นอีกเนื่องจากเคยสูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก) การที่ยอมช่วยซิซและกลายเป็นพวกซิซ เพราะซืซทำให้อนาคินคิดว่าซิซศรัทธาเชื่อถือในตัวเขา ขณะที่ฝ่ายสภาสูงเจไดไม่เชื่อใจเขา ระแวงเขาตลอด ซึ่งนำมาซึ่งความเจ็บปวดและบั่นทอนความสัมพันธ์ของเขากับเจได
และ สงบในจิตใจเป็นพลังที่สูงสุด ทำให้เอาชนะทุกอย่างได้ เช่นอาจารย์โยดา มีความสงบในจิตใจเหนือกว่าเจไดคนอื่น จึงเป็นคนที่ฉลาดและมีพลังในตัวเองมาก หรือการ ที่โอบีวัน เอาชนะอนาคินเป็นจากสภาพจิตใจที่สับสนน้อยกว่าอนาคิน


โดย: sunsun IP: 202.28.179.1 วันที่: 27 พฤษภาคม 2548 เวลา:15:38:03 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ไม่ถึงกับเป็นแฟนประจำ Star war ดูไม่ครบทุกภาค แต่คิดว่าภาคนี้ทำได้สนุกดี มีความลึกด้านจิตใจ เนื้อหาทำให้เห็นว่า
ทุกพฤติกรรมของมนุษย์ล้วนมีที่มา ไม่ว่าจะเป็นการที่อนาคินกลัวสูญเสียภรรยา (เพราะไม่อยากพบความเจ็บปวดแบบนั้นอีกเนื่องจากเคยสูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก) การที่ยอมช่วยซิซและกลายเป็นพวกซิซ เพราะซืซทำให้อนาคินคิดว่าซิซศรัทธาเชื่อถือในตัวเขา ขณะที่ฝ่ายสภาสูงเจไดไม่เชื่อใจเขา ระแวงเขาตลอด ซึ่งนำมาซึ่งความเจ็บปวดและบั่นทอนความสัมพันธ์ของเขากับเจได
และ สงบในจิตใจเป็นพลังที่สูงสุด ทำให้เอาชนะทุกอย่างได้ เช่นอาจารย์โยดา มีความสงบในจิตใจเหนือกว่าเจไดคนอื่น จึงเป็นคนที่ฉลาดและมีพลังในตัวเองมาก หรือการ ที่โอบีวัน เอาชนะอนาคินเป็นจากสภาพจิตใจที่สับสนน้อยกว่าอนาคิน


โดย: sunsun IP: 202.28.179.1 วันที่: 27 พฤษภาคม 2548 เวลา:15:38:09 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆอย่างนี้ครับ


โดย: Mpon IP: 203.151.140.117 วันที่: 27 พฤษภาคม 2548 เวลา:16:26:42 น.  

 
เด่วมีภาค 7 8 9
อิอิ


โดย: kokomon IP: 210.213.40.125 วันที่: 28 พฤษภาคม 2548 เวลา:7:47:34 น.  

 
ดูสนุกกว่า episode 1 - 2 มากมาย


สงสัยตอนท้ายนิดหน่อย ที่โยดาเอ่ยถึงไควกอนน่ะคับ มันยังไงน่ะฮะ


โดย: wahahahaha IP: 221.128.82.66 วันที่: 30 พฤษภาคม 2548 เวลา:18:01:09 น.  

 
คิดเหมือนกันเลยคะ


โดย: tong IP: 202.28.181.8 วันที่: 30 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:03:12 น.  

 
เจ้าของบล็อก ขยันจริงๆ แล้วจะแวะมาอ่านอีกครับ


โดย: POL_US วันที่: 1 มิถุนายน 2548 เวลา:5:45:38 น.  

 
เพิ่งได้ดูครบไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองครับ ผม แต่คุณนี่ขยัน หาข้อมูลจัง ชอบครับๆ


โดย: BedRoom วันที่: 4 มิถุนายน 2548 เวลา:0:05:04 น.  

 
อยากดูภาค 4,5,6 จัง


โดย: หลังจอ วันที่: 4 มิถุนายน 2548 เวลา:23:58:22 น.  

 
ผมรู้สึกเหมือนกันเลยแฮะ ว่าความรักของทั้งคู่ดูไม่ค่อยมีน้ำหนัก
แต่ชอบฉากการต่อสู้บนลาวาเดือดมากเลย
ได้อารมณ์มาก


โดย: dogdoy IP: 65.5.244.254 วันที่: 9 สิงหาคม 2548 เวลา:16:53:37 น.  

 
ดูแล้วครับ สงสาร โอบีวัน ที่สุดเลย แต่โยดาเจ๋งมาก


โดย: hamee IP: 202.183.190.14 วันที่: 23 สิงหาคม 2548 เวลา:17:09:57 น.  

 
The fear of lost is the path to the dark side


โดย: NumbeR11 IP: 203.144.187.62 วันที่: 18 ตุลาคม 2548 เวลา:19:44:06 น.  

 
ดูภาคนี้แล้วรู้สึกซึ้งดี


โดย: ชอบอ่ะ IP: 203.118.82.196 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:32:21 น.  

 

//fearbgwfrsddw.host.com
desk3
[url=//feasbgwfrsddw.host.com]desk4[/url]
[link=//feaabgwfrsddw.host.com]desk6[/link]


โดย: Lucasewq IP: 70.178.138.4 วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:3:31:36 น.  

 
ไวกอลคืออาจารย์ที่สอนโยดามาคับผมและโยดาจะสอนสิ่งที่อาจารย์ไวกอลสอนให้OB1คับผม


โดย: โยดา IP: 125.24.247.34 วันที่: 4 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:10:09 น.  

 
Qui-Gon Jinn เป็นอาจารย์ของ Obi Wan
เขาเป็นลูกศิษย์ของ Count Dooku (Darth Tyranus) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Yoda อีกทีครับ

Qui-Gon ตายในภาคแรกตอนที่สู้กับ Darth Maul
ที่ Yoda บอกกับ Obi-Wan คือ Obi-Wan สามารถติดต่อกับ Qui-Gon ได้ แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่พลังวิญญาณก็ยังคงอยู่ ลักษณะเดียวกับที่ Luke สามารถติดต่อกับ Obi-Wan ได้ แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว (ในภาค 5 และ 6)

เหตุการณ์หลังจากภาค 6 ในหนัง มี novel ออกมามากมาย เป็นเนื้อเรื่องต่อเนื่องอีกร้อยกว่าปี เกี่ยวกับทายาทของบรรดาตัวเอกในหนังครับ ถ้าสนใจก็ลองหามาอ่านดูได้

นอกจากนี้เนื้อหาบางส่วนก็นำไปทำเป็นเกมด้วยเช่นกัน เช่นเนื้อเรื่องคั่นระหว่างไตรภาคทั้งสอง ปรากฎในเกม STW : The Force Unleashed มีในคอนโซลต่างๆมากมาย PS3 XBOX PSP NDS etc.
แฟนพันธุ์แท้ควรหามาเล่นดู เพราะสื่ออะไรหลายๆอย่าง และเชื่อมต่อเรื่องราวได้ดี เป็นเหตุการณ์กำเนิด Rebel Alliance และกำเนิดสัญลักษณ์ Aliance Starbird ด้วยครับ


โดย: ERA101 IP: 58.10.102.25 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:19:11:23 น.  

 
ไม่เข้าใจครับ


โดย: trew IP: 182.53.254.156 วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:44:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
24 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.