www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

เด็กโต๋ , สายธารชีวิตแห่งบ้านแม่โต๋



ทะเล สำหรับผม คือ สถานที่พักผ่อนในวันที่เหนื่อยล้า

ทะเล สำหรับเด็กๆจากโรงเรียนบ้านแม่โต๋ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้เป็น แค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่มันคือ ปลายทางของลำธารที่พวกเขาอาบน้ำเล่นน้ำ คือรางวัลของชีวิต คือผลพวงจากการทำงาน คือความฝันและอนาคต

... เด็กๆกลุ่มนี้มีที่มาหรือพื้นเพชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนเป็นม้ง บางคนเป็นกะเหรี่ยง บางคนมีฉากชีวิตที่ยากลำบากจนแทบจะหาโอกาสเรียนหนังสือไม่ได้ บางคนมีฝันร้ายของครอบครัวอยู่เป็นพื้นหลัง พวกเขาเป็นเหมือนเม็ดฝนที่หล่นมารวมกัน ณ.จุดที่เป็นต้นน้ำนั่นคือลำธาร หากพวกเขาเป็นกระแสน้ำของลำธาร เป้าหมายของสายธารแห่งชีวิตในช่วงเวลา 100 นาทีในเรื่องคือการเรียนจบการศึกษา และที่โรงเรียนบ้านแม่โต๋การเรียนจนถึงชั้น ม.3 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย การได้ไปทะเล คือรางวัลของการเรียนจบ ทะเลอันเป็นที่ทุกสายน้ำลำธารจะไหลมารวมกัน ทะเลอันเป็นความฝันของพวกเขาที่เกิดมายังไม่เคยเห็นมาก่อน

...สายธารชีวิตของเด็กๆเหล่านี้ถูกถ่ายทอดในช่วงเวลา 1 ปีที่หนังไปถ่ายทำ เราจึงได้เห็น สายธารชีวิตของพวกเขาตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายทาง ไม่ใช่แค่ช่วงใดช่วงหนึ่ง เพราะ ถ้าเรายืนดูที่ปลายน้ำ เราก็จะเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งได้มาเที่ยวทะเล ถ้าเราไปยืนตรงกลางน้ำ ก็เหมือนไปออกค่ายอาสาสอนหนังสือเด็กๆเหล่านั้น ไปออกค่ายพัฒนาชุมชน แต่ การที่หนังเล่าเรื่องไปข้างหน้าตามเวลา 1 ปีทำให้คนดูได้เห็นความเป็นไปของกระแสน้ำที่เคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่ภาพนิ่งที่เราไปยืนดู ณ.จุดใดจุดหนึ่ง คนดูจะได้เห็นว่า ตั้งแต่ต้นไปจนถึงปลายทางของความฝันพวกเด็กๆต้องผ่านอะไรมาบ้าง อุปสรรคที่ผ่านเข้ามานั้นไม่ว่าจะเป็นการที่ครูป่วย ครูย้ายโรงเรียน ฯลฯ มันสะเทือนความหวังความฝันของเขาอย่างไร และ พวกเขาทั้งครูและนักเรียนร่วมใจฝ่าฟันมันมาได้อย่างไร

เราจะได้เห็นสิ่งที่ครูใหญ่ช่วยเหลือเด็กๆต่างจากที่ชมรมหรือค่ายอาสาทั้งหลายที่ไปช่วย การบริจาคหรือไปเยี่ยมพวกเขาก็เป็นการช่วยเหลือเหมือนกับไปฉีดยาบำรุงหรือฉีดยารักษาโรคร้าย แต่สิ่งที่ครูใหญ่ได้ทำไว้กับเด็กๆไม่ใช่ยารักษาชั่วคราวแต่เขาสร้างภูมิคุ้มกันไว้ให้กับเด็กๆในการต้องเผชิญกับชีวิตต่อไปที่ไม่มีครูใหญ่ข้างกาย

...ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด นั่นคือการที่หนังไม่ได้ให้ทะเลเป็นแค่รางวัลของการเรียนจบม. 3 เพราะแม้ว่าพวกเขาจะได้ไปทะเลจากการเรียนมาจนถึงชั้นม.3 แต่ครูใหญ่ก็ยังมีเงื่อนไขเรียกเก็บเงินจากพวกเขาคนละ 100 บาท เงิน 100 บาทมันสำคัญอย่างไร ?

เป็นที่แน่นอนว่าเด็กๆคงไม่ได้มีเงินเก็บก้อนนี้กันมาก่อน และ แน่นอนผมเชื่อว่าถ้าไม่มีเงินก้อนนี้ หรือ ถ้าครูใหญ่จะให้เด็กๆไปขอมาจากพ่อแม่ ครูใหญ่ก็สามารถพาพวกเขาเดินทางไปได้ แต่การที่ให้ทะเลมีมูลค่า 100 บาท ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ความฝันนั้นย่อมมีราคาที่ต้องแลก เหมือนกับความฝันในโลกของผู้ใหญ่ก็มีราคาค่างวดที่ต้องแลกมา สิ่งที่พวกเขาจะได้เรียนรู้นั่นคือ แล้ว เราจะทำอย่างไรในการหาเงิน

...หลายหลักสูตรไม่ได้สอน วิธีการ ให้ได้มาซึ่งความฝัน แต่สอนว่า ต้องไปให้ถึงความฝัน นั่นจึงส่งผลให้เด็กส่วนหนึ่งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแต่จะไปให้ถึงฝัน โดยไม่คำนึงวิธีการว่าจะถูกหรือผิด ดังนั้นเงื่อนไข 100 บาทแลกกับการไปทะเลของครูใหญ่จะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าครูใหญ่จะสั่งแค่ว่าไปหาเงิน 100 บาทมาจากไหนก็ได้

แต่ในเรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราจะเห็นว่าครูใหญ่ยังเป็นเหมือนเรือที่ไม่เคยหยุดพาย เขาพาพวกเด็กๆไปเรียนรู้ว่าจะหาเงินมาได้อย่างไร เราจึงเห็นพวกเขานั่งปลูกกระเทียมจนปวดเข่าแลกกับรอยยิ้มและเงินค่าจ้าง ซึ่งมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากนัก แต่มันจะเป็นต้นทุนชีวิตที่มีคุณค่ามากมายให้พวกเขาซึมซับมันไปใช้ในอนาคต นอกจากนี้มันยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเด็กๆที่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง

... ลำธารสายน้ำที่บ้านแม่โต๋ไหลลงไปสิ้นสุดที่ทะเล สำหรับ สายน้ำแล้วทะเลอาจเป็นปลายทางสิ้นสุดของมัน แต่สำหรับ สายธารชีวิตของเด็กเหล่านี้ ทะเลยังไม่ใช่จุดสุดท้ายของพวกเขา ทะเลในเรื่องเป็นเพียงป้ายพักรายทางของการเดินทางชีวิตที่ยังต้องเดินทางอีกแสนไกล

...ผมชื่นชมต่อความอดทน และ มีมุมมองที่ดีในการเลือกหยิบยกเรื่องราวขึ้นมานำเสนอของสองกำลังสำคัญอย่าง คุณนิสา คงศรี และ คุณป๊อปอารียา ชุมสาย ทั้งคู่เลือกที่จะสื่อสารให้สังคมได้รับรู้และเป็นการตอบแทนสังคมไปพร้อมๆกัน เราได้เห็นแล้วว่าโอกาสของเด็กๆที่จะเรียนจบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่ออุปสรรคมีอยู่รอบด้านทั้งเศรษฐานะครอบครัว การขาดครูที่จะมาสอนในถิ่นทุรกันดาร โอกาสที่ถูกหยิบยื่น โอกาสในการเรียน โอกาสในการใช้ชีวิต โอกาสเหล่านี้แม้มันจะคับแคบไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก แต่เราก็ได้เห็น ความพยายามและมุมานะของพวกเขาที่จะฉวยคว้าโอกาสนั้น แล้ว พวกเราที่มีโอกาสในการเรียน โอกาสในการทำงาน โอกาสในการเลือกใช้ชีวิตมารออยู่ตรงหน้าได้ใช้มันคุ้มค่าแล้วหรือยัง

...ในเรื่องถึงจะเป็นเรื่องราวของเด็กๆ โดยมีตัวละครหลักๆคือเด็ก 3 คน เรืองใจ อำไพ และ วรุฒ
แต่บุคคลสำคัญที่เป็นเหมือนโครงหลักของเรื่องราวทั้งหมดคือ ครูใหญ่ ชายผู้ไม่เคยย่อท้อและท้อถอยที่จะนำพาเด็กๆส่งไปให้ถึงฝั่งฝัน โอกาสของพวกเด็กๆนั้นอาจจะตีบแคบและมีทางเลือกไม่มาก แต่ครูใหญ่คือคนที่มาถ่างทางเลือกนั้นให้กว้างขึ้น สิ่งที่ครูใหญ่ทำนั้นอาจดูเป็นสิ่งเล็กๆเมื่อเทียบกับครูชื่อดังหรือมีชื่อเสียงในเมืองใหญ่ แต่สิ่งเล็กๆนี้แท้จริงกลับยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามหาศาลกับเด็กๆที่ได้รับการดูแลจากครู เรารู้แน่ๆว่าเรายังมีเด็กๆอย่างในเรื่องอยู่อีกมากมายกระจายอยู่ทั่วไทย แต่เรามีคนอย่างครูใหญ่มากแค่ไหนในประเทศเรา และถ้ามีพวกเขาอยู่ณ.จุดไหนในตอนนี้

… ครูเป็นเหมือนเรือที่แล่นพาลูกศิษย์ไปสู่อนาคต แต่จะมีเรือที่อยู่ตามชนบทห่างไกลอยู่สักกี่ลำ เมื่อเรือทั้งหลายล้วนมากระจุกกันอยู่ในเมือง แม้ในเรื่องครูคนหนึ่งบอกว่าเธอไม่ใช่เรือจ้างเพราะไม่ต้องจ้างเธอก็ยินดีจะพาเด็กไปส่ง แต่ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ ต่อให้เรือที่มีการว่าจ้างจริงๆก็ยังไม่มีเพียงพอต่อการกระจายเข้าสู่ชุมชน อย่าลืมว่า ต่อให้ไม่มีคนชั่วแค่ถ้าคนดีๆไม่ทำอะไร สังคมก็ไม่สามารถจะก้าวไปได้ไกล เหมือนกับชีวิตในแม่โต๋ ถึงไม่มีคนที่ชั่วร้าย แต่หากไร้ซึ่งคนดีๆที่ลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างครูใหญ่และครูคนอื่นๆในโรงเรียน สังคมที่หมายถึงสถานที่และผู้คนก็คงไม่สามารถเจริญพัฒนาไปได้

ในขณะเดียวกัน หากจะรอคอยให้คนดีๆลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่น ก็ย่อมต้องเข้าใจว่าคนทุกคนต่างมีชีวิตตัวเองที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น หมอชนบท ครูชนบท ฯลฯ ตัวอย่างในเรื่อง ครูแดง เป็นครูที่น่ายกย่องและชื่นชม แต่ครูแดงเองก็มีชีวิตส่วนตัวมีครอบครัวในเมืองที่ต้องดูแล ครูแดงจึงไม่สามารถที่จะอยู่กับเด็กๆบ้านแม่โต๋ไปตลอดกาล รัฐบาลประกาศปาวๆในการกระจายความเจริญ แต่นโยบายไม่มีวันสำเร็จถ้าไม่เข้าใจถึงหัวอกหรือจิตใจของคนที่ต้องไปอยู่ที่ๆไม่ใช่บ้านเกิดตัวเองและห่างไกลออกไป

...ผมชอบที่หนังไม่ได้จบที่ทะเล เพราะทะเลอาจเป็นปลายทางหรือไคลแมกซ์ของหนังที่กำหนดไว้ แต่ทะเลไม่ใช่ปลายทางของชีวิตเด็กๆเหล่านั้น พวกเขายังคงต้องเดินทางกันต่อไปเพื่อหาทะเลใหม่ๆของชีวิต ทะเลที่หมายถึง ความฝันและอนาคต สิ่งที่จะต่างออกไปก็คือ การเดินทางถัดจากนี้นั้นพวกเขาต้องคัดหางเสือพาเรือชีวิตตัวเองเดินทางโดยปราศจากครูใหญ่ มันคงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถของพวกเขาเพราะบทเรียนที่ครูใหญ่สอนให้ทำให้ผมที่เป็นคนดูเชื่อว่า พวกเขาซึมซับสิ่งดีงามและทักษะในการพายเรือชีวิตจากครูของพวกเขาไว้ในตัวเรียบร้อยแล้ว

...ผมยืนลังเลอยู่หน้าโรงอยู่นานกับการเลือกระหว่าง The Exorcism of Emily Rose กับ เด็กโต๋ ความลังเลมาจากประการหนึ่งผมไม่ใช่แฟนของหนังประเภทสารคดี และ ก่อนหนังจะเข้าโรงผมได้ยินชื่อ เด็กโต๋มาก่อนแล้ว สิ่งที่ผมรับรู้ในตอนนั้นคือมันเป็นหนังสารคดีของป๊อป อารียา ซึ่งประการนี้มันไม่ได้ชวนให้ผมสนใจดูแม้แต่น้อย (กลับคิดว่าอยากดูป๊อบอารียามากกว่า) จนกระทั่งเมื่อมันได้เข้าฉายและเสียงคนดูแบบปากต่อปากขานรับไปในทางบวก เมื่อมีคนส่งข้อความแนะนำอยากจะให้ไปดู เมื่อมีคนสั่ง orderให้ไปดูแล้วให้กลับมาเขียนให้อ่าน ฯลฯ ทำให้ความสนใจของผมพุ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อถึงหน้าโรงลิโด เงิน 100 บาทของผมก็เปลี่ยนจากที่จะบริจาคให้ผีมาเป็นเด็กแทน

และมันก็เป็นดังที่ผมคาดไว้ 20 นาทีแรกของหนังเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อสำหรับผม จนเกือบเคลิ้มหลับ หนังใช้เวลาช่วงแรกเนิบช้า แม้จะเป็นสารคดีผมก็ยังรู้สึกว่ามันเรื่อยๆเกินไป แถมการมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษแต่ไม่มีคำแปลไทยในฉากที่ขึ้นตัวหนังสือบรรยายเวลา เหตุการณ์ หรือ ตัวละคร ก่อนจะเข้าเหตุการณ์ในแต่ละช่วงนั้นมันส่งผลให้คนที่ไม่เข้าใจ หรือ แปลได้ไม่ทั้งหมด (เช่น prostate cancer น้อยคนคงจะรู้ว่าพูดถึงอะไรอยู่) ไม่รู้ว่าหนังกำลังจะสื่อสารอะไรในช่วงนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆและผมไม่หลับ หนังค่อยๆทำให้คนดูเหมือนกับได้เดินอยู่กับตัวละครในเรื่องที่เชียงใหม่ สิ่งที่ดึงให้ผมกลับมาอยู่กับเรื่องราวบนจอไม่ใช่ความสนุกหรือความบันเทิง แต่เป็น คุณค่าของเรื่องราวของความบริสุทธิ์จริงใจ

...หนังถ่ายทอดความบริสุทธิ์ของเด็กๆในเรื่องออกมาให้เราได้เห็นแววตาที่ใสซื่อจริงใจไร้การปรุงแต่ง เราได้เห็นความสุขที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเมื่อพวกเขากระโจนเข้าหาทะเล เราได้เห็นน้ำตาของความปิติและเสียใจที่ต้องจบก่อนแยกย้ายกันไป เด็กๆในเรื่องไม่ได้แสดงหนังพวกเขาแค่ถ่ายทอดตัวตนออกมาจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ทุกครั้งที่พวกเขาตอบคำถามคนดูจะยิ้มหรือหัวเราะไปกับคำพูดที่ไม่เสแสร้งปั้นแต่ง พวกเขาทำให้คนดูได้รอลุ้นการไปทะเลและผ่านเหตุการณ์ในเรื่องไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่แค่เด็กๆเท่านั้น ความมุ่งมั่น และ จิตใจที่ยิ่งใหญ่ของครูในเรื่องทำให้คนดูต้องยกย่องชื่นชมอย่างเต็มหัวใจ

… หากความสุขจากการดูหนังคือความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว ส่วนนี้เป็นส่วนที่เด็กโต๋ทำได้ไม่ดีมากนัก แต่เวลาเราดูหนังเรามีความสุขได้ทั้งจากความสนุก ความดี คุณค่า ฯลฯ เด็กโต๋สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ว่าคนดูสามารถมีความสุขหลังดูหนังจบ เพราะ จุดเด่นของเด็กโต๋ไม่ใช่ความสามารถในการสร้างความบันเทิงแต่มันเป็นการนำเสนออกมาได้อย่างชัดเจนและจริงใจ และสิ่งสำคัญ เนื้อหาของสิ่งที่อยู่ข้างในมันก็ยิ่งใหญ่และงดงาม

...ความสุขของเด็กๆคือการได้ไปถึงทะเล ได้สัมผัสกลิ่นไอของความฝัน และ ความสุขของครูคือได้เห็นรอยยิ้มและความสุขของเด็กๆ ความสุขที่อยู่บนจอส่งต่อถ่ายทอดออกมากลายเป็น ความสุขของคนดูที่ได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขา

สิ่งที่ชอบ

1. การนำเสนอ ... จริงใจ ตั้งใจ และ ช่วงเวลา 1 ปีที่หนังเฝ้ารอและตัดต่อออกมา การที่หนังแสดงให้เห็นวิธีการที่ครูใหญ่สอนเด็กๆ แสดงให้เห็นชีวิตของพวกเขาในแง่มุมต่างๆทั้งปูมหลัง ความคิด ความฝัน ฯลฯ มันสะท้อนให้เห็นทัศนคติกับวิสัยทัศน์ที่ดีของผู้สร้าง เพราะไม่เช่นนั้น ต่อให้ถ่ายทำอย่างจริงใจใสซื่อแต่หยิบจับแค่การสู้เพื่อฝันให้ได้ไปทะเลในแง่มุมแคบๆอย่างเดียว มันก็ไม่ได้มีคุณค่าน่าจดจำอะไร

2. คุณค่าของเนื้อใน … เชื่อว่าสิ่งที่สื่อสารผ่านจอนอกจากจะทำให้คนดูได้รับรู้ อาจยังกระตุ้นให้บางคนได้ย้อนมาดูว่าตัวเองย้อนไปมองการใช้ชีวิตว่าทุกวันนี้เราใช้มันคุ้มหรือยังกับโอกาสที่เรามีมากกว่าคนอื่นๆ ยังกระตุ้นให้บางคนดูจบแล้วอยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆต่อสังคม นี่คือสิ่งที่หนังดีๆเรื่องหนึ่งพึงมีไม่ใช่แค่การสื่อสารออกมาได้ดีเพียงอย่างเดียว (เหมือนไม่นานมานี้การได้ดู Hotel Rwanda ผมเชื่อว่ามันสามารถกระตุ้นต่อมศีลธรรมคนดูให้อยากลุกขึ้นมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)

3. การตัดสินใจเลือกทำเรื่องนี้ ... พร้อมความอดทนตลอด 1ปี เป็นผลงานที่ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดเรื่องราวเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนหลากหลายแง่มุมให้คนดูได้กลับไปมองชีวิตตัวเอง ได้ให้คนอีกจำนวนมากได้รับรู้และกระตุ้นต่อมศีลธรรมในตัว

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.มีแต่ตัวบรรยายภาษาอังกฤษ … อย่างที่บอกไว้ มันเป็นตัวสำคัญที่พาคนดูไปสู่แต่ละช่วงๆที่สำคัญ คนดูที่แปลไม่ออกหรือไม่เข้าใจทั้งหมดก็จะไม่สามารถเข้าใจช่วงเวลาหรือเหตุการณ์นั้นได้ถ่องแท้ ต้องรอจนกว่าตัวละครในเรื่องพูดถึงจึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องของอะไร ยิ่งช่วงแรกๆที่หนังเรื่อยๆมาเรียงๆอาจทำให้คนดูหลับไปได้ง่ายๆ

สรุป … การได้ดูหนังสารคดีในโรงภาพยนตร์สำหรับคนไทยไม่ใช่โอกาสที่จะได้พบเห็นบ่อยนัก นั่นเป็นผลเสียต่อทั้งผู้สร้างและคนดู มันคือการปิดโอกาสสำหรับคนดูที่จะได้รับรู้โลกใหม่ๆของภาพยนตร์ และ ปิดโอกาสการพัฒนาของหนังสารคดี เพราะเมื่อไม่มีคนดู คนทำก็น้อยลง การแข่งขันที่จะทำออกมาก็ลดลง และก็ทำให้คนดูได้ดูหนังสารคดีไทยดีๆน้อยลงตามกันไปเป็นวงจร ถือว่าปีนี้เป็นปีที่เปิดศักราชหนังสารคดีเมื่อมีทั้งเสือร้องไห้และเด็กโต๋เข้าฉายให้เราได้ชมกัน น่ายินดีกว่าที่ว่า เด็กโต๋ไม่ได้มีดีเพราะมันเป็นหนังสารคดีไม่กี่เรื่องที่เข้าฉายโรง ไม่ได้มีดีเพราะป๊อบอารียา แต่มีดีเพราะคุณค่าในตัวของมันเอง หนังไม่ใช่สารคดีที่ถึงขั้นดูสนุกชวนติดตามมากมายแต่มันเป็นหนังที่หากคนดูได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้หลับไปต้องมีความสุขเมื่อหนังจบลง เป็นหนังที่นอกจากฉายโรงเพื่อการค้าแล้วน่าจะได้มีโอกาสให้เด็กๆในโรงเรียนได้ดูเพื่อนๆของเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป



ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป

ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง


Create Date : 27 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 27 ธันวาคม 2548 1:41:36 น. 34 comments
Counter : 2434 Pageviews.

 
อยากดู ๆ ๆ


โดย: เต็งฮุ้นลิ้ม วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:2:02:12 น.  

 
เขียนดีตามเคยค่ะ


โดย: Pat :o) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:35:01 น.  

 
เพราะว่า ได้เห็นทะเลมาตั้งแต่เด็กๆ
และตอนนี้ที่ทำงานก็อยู่หน้าทะเล ได้เห็นทะเลทุกวัน
เลยนึกไม่ค่อยออกว่า ความรู้สึกของคนที่ได้เห็นทะเลครั้งแรกจะเป็นยังไง
คงจะแปลกใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน บรรยายไม่ถูก..

อ่านแล้ว ทำให้ยิ่งอยากดูเรื่องนี้เข้าไปอีก
ทั้งที่ ตอนแรกคิดว่า อ่านแล้ว ก็คงจะช่วยลดความอยากดูลงบ้าง
เป็นอีกคนนึงที่มีโอกาสได้เลือกเรียน ได้เลือกทำงาน
แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เลือกโอกาสที่ดีให้กับชีวิตรึยัง
ถ้าพรุ่งนี้ตาย ก็คงจะเป็นอีกคนนึงที่ใช้ชีวิตได้ไม่คุ้ม
อยากจะพยายามใช้ให้คุ้มมากกว่านี้ ทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น

แค่อ่านบทความ ก็รู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้ ให้อะไรเยอะจริงๆ
ขอบคุณที่ไปดูตาม order ให้จ้า

ปล.เดี๋ยวไปหา Hotel Rwanda มาดูบ้างดีกว่า ^^


โดย: SFFC IP: 61.91.107.8 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:50:55 น.  

 
อ่านแล้วอยากดูมากขึ้นค่ะ


โดย: Sugar and spice วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:19:40:56 น.  

 
ดูมาแล้วครับ ช่วง 20 นาทีแรกผมไม่ได้แค่เคลิ้มล่ะครับ ผมหลับไปเลยแหละพี่ (แหะๆๆ) อาจจะเพราะเพิ่งออกจากโรงตอนดู Oliver Twist แล้วมาต่อด้วยเรื่องนี้เลย แต่ตอนหลังหนังก็ทำให้ชวนติดตามได้มากขึ้นนะครับ

รอบที่ผมดูวันอาทิตย์ที่แล้ว ไม่มีซับภาษาอังกฤษนะครับ สงสัยฝรั่งที่ไปดูรอบนั้นคงอารมณ์เสียน่าดู...

แต่พี่ป๊อปน่ารักมากๆๆเลยครับ ได้ลายเซ็นมาด้วย อิอิ


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:20:22:01 น.  

 

เดี๋ยวให้เพื่อนๆ มาอ่านที่นี่ครับ

เขียนออกมาได้ดีจิงๆ เลย


โดย: + MenGie + วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:20:25:08 น.  

 
หนังเข้าแล้วเหรอเนี่ย


โดย: หลังจอ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:0:07:34 น.  

 
เต็งฮุ้นลิ้ม ... มีโอกาสก็ลองไปดูนะครับแล้วกลับมาคุยกันว่าเป็นยังไง / ยินดีด้วยกับบล้อกเปิดใหม่นะครับ

Pat :o) ... ขอบคุณครับ

SFFC ... แล้วผมจะส่งเลขที่บัญชีให้โอนเงินมานะครับ ต้องการให้ไปดูเรื่องไหนอีกก็โอนเงินมาล่วงหน้า

Sugar and spice ... ที่ผมไปดูเรื่องนี้ก็เพราะอ่านที่คนอื่นเขียนถึงจนอยากดูเหมือนกันครับ

+ MenGie + ... ขอบคุณครับ

หลังจอ ... เข้ามาอาทิตย์นึงแล้วครับที่ลิโด และ ล่าสุดประกาศว่าอยู่ต่อถึง 7 ธันวาคม ครับ


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:0:34:41 น.  

 
อยากดูมั่งจัง


โดย: abc IP: 58.10.101.115 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:50:09 น.  

 
ออกยังอะคะ?

อาทิตย์หน้าจะยังอยู่มั้ยน้อ ถ้าจะได้ดูก็ต้องอาทิตย์หน้าแหละค่ะ (ภาวนาให้ไม่ติดทริปอยู่ค่ะ)


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:18:29 น.  

 
ชอบฮะ...

ลิโด ขยายเวลาฉายถึงวันที่ 7 ธันวาคม...

วันละ 2 รอบ 14.30, 18.45 น.


โดย: T-rex IP: 58.10.250.81 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:55:04 น.  

 
อยากดู แต่ยังไม่ได้ดูเลย ถ้าขยายเวลาจริง จะไปดูให้ได้เลย


โดย: m จัง IP: 203.151.208.3 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:22:09 น.  

 
ดูมาแล้วครับ ซาบซึ้งประทับใจมากๆ และขอบคุณคุณ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" มากๆ ที่เขียนออกมาได้ดีมาก ทำให้ผมอยากกลับไปดูเรื่องนี้อีกครั้ง และร้องไห้อย่างมีความสุขไปกับมัน


โดย: hamee IP: 202.183.190.14 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:09:01 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้มากถึงมากที่สุดฮะ
ยิ่งได้อ่านหนังสือบทสัมภาษณ์ของคุณป็อบและคุณนิสาด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้ชอบหนังเรื่องนี้ไปกันใหญ่

ขอบคุณ คุณป็อบและคุณนิสาด้วยครับ
ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า
"หนังสารคดี - ดีๆ"

ป.ล. "มีแต่ตัวบรรยายภาษาอังกฤษ "
- อันที่จริง หนังเรื่องนี้มีเวอร์ชันไทยด้วยนะครับ (หมายถึงมีเวอร์ชันที่แสดงซับเป็นภาษาไทย ซึ่งเวอร์ชันนี้ฉายในรอบการกุศล)

แต่รอบฉายปกติ ...เข้าใจว่าต้องการให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสดูด้วยน่ะครับ จึงใช้เป็นซับอังกฤษแทน


โดย: it ซียู IP: 161.200.255.161 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:29:23 น.  

 
ดู 2 รอบแล้วค่า ชอบมากๆ สนับสนุนเต็มที่ค่ะ


โดย: มันจะดีเหรอคะ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:59:09 น.  

 
ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังฉายอยู่หรือเปล่า แต่จะพยายามไปดู


โดย: R-booh IP: 203.151.53.107 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:17:40 น.  

 
แล้วทำยังไงเด็กๆที่อยู่ ต่างจังหวัดจะได้ดูหนังเรื่องนี้บ้าง


โดย: เด็กบ้านนอก IP: 203.188.58.101 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:35:52 น.  

 
วันนี้ไปดูมาเหมือนกันค่ะ ขอสารภาพว่าน้ำตาไหล (แอบอายนิดหน่อย แหะ แหะ) หนังดีจริงๆค่ะ น่าจะมีออกมาเป็นวีซีดีนะ


โดย: ซากุระหน้าร้อน IP: 61.90.74.178 วันที่: 11 ธันวาคม 2548 เวลา:20:20:23 น.  

 
ตามมาเม้นท์ค่ะ
ก่อนอื่นขออนุญาต add friend's blog น๊า

ต้องไปดูมั่งละ


โดย: นกจ๊า IP: 203.113.80.141 วันที่: 17 ธันวาคม 2548 เวลา:20:32:39 น.  

 
อืม..เห็นว่าขยายเวลาถึงวันที่ 7 ธ.ค. ....
หนูอยากดูวันศุกร์นี้อ่ะ (23 ธ.ค....) ..ทำไงดี...
ไม่ได้อยากดูเพราะคำชมของ blog นะ แต่ตั้งใจอยากดูมาตั้งแต่รู้เรื่องว่าจะฉายแล้ว...
เรื่องนี้จะฉายความฝันวันข้างหน้าของเราได้เลย ..เราเคยไปอยู่ในค่ายอาสาที่อมก๋อย....แล้วเราเริ่มคิดทันทีว่า เมื่อไหร่ที่หมดห่วงหมดภาระที่ต้องรับผิดชอบแล้ว (เช่นภาระทางบ้าน) เราจะไปเป็นครูบ้านนอก!!!! ไปอยู่เขาล่ะ เรพาะเด็กพวกนั้น ขาดโอกาสที่ดี ๆ แต่ไม่ขาดชีวิตที่ดีเลย เค้ามีจิตใจที่มาก และพอเพียงกับชีวิตที่เป็นอยู่ น้อยคนนักที่จะเห็นแก่ตัว ซึ่งผิดกับมหานครกรุงเทพบ้านเราซะนี่กระไร..เฮ้อ....


โดย: kof_n_khai IP: 58.11.98.38 วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:22:17:57 น.  

 
^
^
... ดีใจกับเด็กๆเหล่านั้นที่จะมีว่าที่คุณครูอย่างคุณ kof_n_khai ส่วนเรื่องหนัง ผมเชื่อว่าต้องมีที่ทางให้มันได้ฉายอีกครั้ง แต่จะเป็นรูปแบบไหนอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไปครับ


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:22:59:37 น.  

 
ดูแล้วค่ะ... ดูตั้งแต่วันแรกที่เข้า... ชอบมาก...
อยากให้เด็กในกรุงที่ไม่ค่อยรู้ค่าของเงิน ที่ไปหัวหินกับครอบครัวได้ทุกสุดสัปดาห์ได้ดูจังเลย...
เลยขอเอาข่าวมาฝากจากพันทิพค่ะ
"สำหรับคนที่พลาดชมภาพยนตร์เรื่อง เด็กโต๋ หรืออยากจะชมอีกครั้ง ในวันที่ 29 ธันวาคม 2548 – 11 มกราคม 2549 ภาพยนตร์เรื่อง เด็กโต๋ จะกลับมาฉายอีกครั้งที่โรงภาพยนตร์ ลิโด เวลา 18.30 น. วันละ 1 รอบเท่านั้น"


โดย: Kung IP: 203.209.120.132 วันที่: 28 ธันวาคม 2548 เวลา:23:12:48 น.  

 
ดีจังเลยฮับ เห็นแม่บ่นว่าอยากดูเรื่องนี้มากเลย จะได้พาท่านไปดูช่วงหยุดปีใหม่นี่แหละ


โดย: ืnutnazi IP: 161.200.16.38 วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:14:15:24 น.  

 
เด็กโต๋เพิ่งมาลงโรงให้คนเชียงใหม่ได้ดูเมื่อ 30-31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. เราไปดูวันที่ 1 เป็นของขวัญปีใหม่ที่ให้คุณค่ากับชีวิตของเรามากๆ เสียน้ำตาให้กับความบริสุทธิ์อันแสนประทับใจไปแบบไม่เสียดายเลย


โดย: เด็กเชียงใหม่ IP: 61.91.35.82 วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:15:42:17 น.  

 
จิงหรอที่เค้าว่ารัฐบาลชุดนี้ลดค่าอาหารกลางวันจาก 20 เป็น 12 บาท


โดย: หนูนา IP: 203.146.116.101 วันที่: 9 มกราคม 2549 เวลา:19:32:07 น.  

 
อยากดูเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนั้นยุ่งๆเลยไม่ได้ดูเลย ทั้งที่รอมาตั้งนาน หวังว่าคงมีการนำมาฉายใหม่บ้างหรือออกเป็นดีวีดีเร็วนี้
เลยยังไม่ได้อ่านความคิดเห็นของคุณเลย เพราะอยากดูด้วยตัวเองก่อน


โดย: SnowBelL IP: 210.246.161.53 วันที่: 10 มกราคม 2549 เวลา:10:42:19 น.  

 
ผมเองเป็นคนอ.สะเมิง ที่ใช้ชีวิตอยู่ใน กรุงเทพฯมานานแล้ว ไปดูมาแล้วชอบมากๆมันทำให้ย้อนกลับตอนที่เราอยู่ในวัยเด็กว่า เราก็อยู่ในอารมณ์นั้นเหมือนกันแอบเห็นคนนั่งข้างๆร้องไห้เมื่อครูผู้หญิงกล่าวประโยควา ครูไม่ใช่เรือจ้างแต่ครูคือเรือที่ไม่เคยคิดค่าจ้าง ดูแล้วตื้นตันใจเมื่อเห็นเด็กๆและครูสวดมนต์ให้ครูใหญ่เมื่อเขาไม่สบาย
สรุปดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบมากๆ หนังสื่ออารมณ์ของเรื่องได้ดีจนทุกคนคล้อยตาม เพราะสังเกตุว่ามีเสียงสะอื้นเป็นระยะและเสียงหัวเราะเมื่อถึงจุดไครแมกซ์


โดย: ปอ IP: 58.11.70.138 วันที่: 12 มกราคม 2549 เวลา:8:51:58 น.  

 
หากว่ามีโอกาสช่วยเมล์กลับมาบอกทีว่า จะหาดูได้ที่ไหน เพราะยังไม่สามารถลงไปดูที่กทม. ได้ เราอยู่ต่างจังหวัด ขอบคุณมาก


โดย: chici_p@hotmail.com IP: 202.12.97.100 วันที่: 24 มิถุนายน 2549 เวลา:17:15:34 น.  

 
แอบรักเด็กโต๋ๆๆๆๆๆ อยู่ต้างนัน


โดย: dfb25@thaimail.com IP: 203.150.105.254 วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:12:30:50 น.  

 
ดูแล้วครับ เจ๋งมากเลย รักน้องป๊อปขึ้นอีกโขเลย


โดย: คนขับช้า วันที่: 28 กันยายน 2549 เวลา:6:11:41 น.  

 
พ่อฉันเป็นครูเด็กโต๋ที่แท้จิง


โดย: dozen1_2@hotmail.com IP: 118.172.66.36 วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:21:55:05 น.  

 
เพื่อได้ดูครับ รู้สึกประทับใจมาก


โดย: เด็กอยากโต๋ IP: 202.28.62.245 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:19:31:29 น.  

 
อยากรู้จังว่า เด็กโต๋ตอนนี้เขาทำอะไรกันอยุ่

นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว คงจะเรียนจบกันแล้ว และตอนนี้เขาทำอะไรกันบ้าง

โดยเฉพาะตัวเอกในเรื่องทั้งสามคน



โดย: กี้ IP: 182.52.201.55 วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:15:12:18 น.  

 
คิดถึงหนังเรื่องนี้ คิดถึงเด็ก ๆ ในเรื่อง พวกเขายังเป็นคนดีของ เด็กโต๋อยู่หรือป่าว ใครรู้ช่วย บอกหน่อยว่า ตอนนี้พวกเขาทำอะไร ที่ไหน อยากตามชีวิตแบเรียลริตี้ครับ

น่าติดตาม ชีวิตคนดี ๆ


โดย: กี้ IP: 182.52.201.55 วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:15:14:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
27 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.