www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

The Pursuit of Happyness , ปัญหาชีวิตก็เหมือน รูบิค - ถ้าทำไม่ได้จะ สู้ต่อ หรือ โยนทิ้ง-



หมายเหตุ : เนื่องจาก Blog เรื่องนี้หายสาบสูญระหว่าง Bloggang ปิดปรับปรุง โชคดีเก็บต้นฉบับไว้ จึงเอามาลงใหม่อีกรอบครับ + รออ่านบทความเรื่องนี้ใน เวอร์ชั่น edit ใหม่ ลงใน แม็กกาซีนเล่มใหม่ที่จะออกปลายเดือนนี้จ้า


รูบิค เป็น นวัตกรรมที่เคยสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก กับ อุปกรณ์ของเล่นลับสมองชิ้นนี้ คนเล่นมีหน้าที่เรียงสีทั้งหกด้านของลูกบาศก์ให้เป็นสีเดียวกัน ความยากมหันต์ของมัน ทำให้หลายคนเขวี้ยงทิ้งหลังจากลองไปสิบหรือสิบห้านาที บางคนพกติดตัวเล่นเป็นวันๆมุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ แต่บางคนก็มีความสามารถในการทำมันสำเร็จภายในไม่กี่นาที


รูบิค มาอยู่ในหนัง ทำให้เราได้เห็น มุมมองของ การใช้ชีวิต

เพราะ ปัญหาชีวิต บางครั้งมันก็เหมือน ปริศนารูบิค เราท้อไม่อยากสู้ต่อเพราะคิดว่าไม่มีทางสำเร็จแล้วยกธงยอมแพ้ เราคิดว่าเราคงทำไม่ได้และเลิกต่อสู้ ทั้งที่จริงแล้ว ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า เป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ เพียงแค่ เรายังทำไม่ได้ เท่านั้นเอง

รูบิค ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำไม่ได้ เพียงแต่มันยากในการที่จะเอาชนะ สิ่งใดก็ตามที่ยาก และ ยังทำไม่ได้ มิได้แปลว่า สิ่งๆนั้นเราจะทำไม่ได้


...ชีวิตในวัยทำงานของ คริส การ์ดเนอร์ เริ่มต้นอย่างมีความหวัง เขาจับธุรกิจเครื่องสแกนกระดูกขายตามโรงพยาบาล เมื่อเริ่มต้นดี เขาก็ทุ่มซื้อเครื่องสแกนที่ว่านี้ไว้เต็มบ้าน แต่อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ หากเราลงทุนหรือทำอะไรอย่างไม่บันยะบันยัง ทุ่มสุดตัวและไม่เข้าใจคำว่า พอเพียง หรือ แค่อินกับกระแสแต่ใช้ชีวิตตรงกันข้าม

ผลลัพธ์ออกมาก็อาจจะเป็นอย่าง คริส หรือ นักลงทุนหลายคนตอนพิษต้มยำกุ้ง เมื่อทุนที่ลงไปแบบไม่เผื่อทางถอยก็กลายเป็นภาระหนี้มมหาศาล สำหรับคริส สินค้าในมือกลายเป็นอุปกรณ์ส่วนเกิน และ ต้องรีบหาทางระบายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายประทังชีวิตในแต่ละวัน

หนี้ที่พัก หนี้ค่าไฟ หนี้อีกหลายใบ แถมยังมีภาษีมีหนี้ค้างชำระ เครื่องสแกนขายไม่ออก เครื่องสแกนโดนขโมย ฯลฯ ปัญหาทุกอย่างถาโถมเข้ามาในชีวิต ของ คริส ไม่หยุดหย่อน ซ้ำร้าย วิกฤติยิ่งกว่า คือ คนใกล้ตัวนั้นไม่เคยให้กำลังใจ การไม่สนับสนุนของภรรยา ทิ้งให้เขาเผชิญปัญหาเพียงลำพัง

ความตกต่ำมาถึงขีดสุด เมื่อ เขาต้องโดนไล่ออกจากที่พัก ภรรยาทิ้งเขาไป และ เงินในกระเป๋าตังค์นับเท่าไหร่ก็ไม่พอค่าอาหารในแต่ละวัน






... สิ่งหนึ่งที่หนังทำให้เราเห็น เช่นเดียวกับที่หนัง Cinderalla man เคยแสดงให้เราได้ดูว่า แม้เศรษฐกิจหรือชีวิตจะตกต่ำเพียงใด สิ่งเดียวที่พระเอกจากหนังทั้งสองเรื่องยังมีอยู่และเป็นสิ่งที่คนหลายคนสูญเสียไป คือ การไม่ยอมแพ้ และ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

คริส การ์ดเนอร์ แสดง ความเป็นคนสู้ชีวิต และ ยังเป็นตัวแทนของคนที่ไม่ปล่อยให้ศักดิ์ศรีต้องลดต่ำตามสถานภาพการเงิน


เขาไม่เคยยอมแพ้ แต่จะค่อยๆเรียนรู้ เช่น การต่อโทรศัพท์อีกเบอร์เพื่อติดต่อลูกค้าโดยไม่วางหูจะเร็วขึ้น ทุกครั้งที่เขาล้มเขาจะไม่บ่นตัดพ้อโชคชะตา แต่อาศัย ความมุมานะไม่ท้อถอย เครื่องสแกนใช้ไม่ได้ก็กัดฟันซ่อมจนสำเร็จ ต้องวิ่งรอกทั้งเรียน ทั้งทำงาน ทั้งอ่านหนังสือ ทั้งรับส่งลูกหาที่อยู่ที่นอนแบบวันต่อวันและบางวันเขาจนตรอกถึงขั้นต้องขายเลือดเพื่อแลกเป็นเงินกลับมา

เขาไม่เคยโมโหหรือแสดงอารมณ์พาลหงุดหงิดต่อลูกค้าที่ปฏิเสธ ไม่เคยอาละวาดหรือทำให้ลูกต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เขายังคงความเป็นสุภาพบุรุษที่ เขายังคงเป็นพ่อที่พยายามจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก

และทำให้ผมต้องนึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็กที่พ่อก็ไม่ต่างจากในหนังเท่าไหร่นัก พ่อที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวในกระเป๋าแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุข ผมเคยสงสัยว่าทำไมตอนเด็กๆเวลาไปกินไอติมอย่าง สเวนเซ่นส์ พ่อถึงนั่งดูผมกินอยู่คนเดียว จนเมื่อโตขึ้น พ่อเล่าให้ฟังว่า อยากให้ลูกได้ลองกินของดีๆเหมือนคนอื่นเขาสักครั้ง


แล้วเราละ ชีวิตที่คิดว่าสู้เต็มที่แล้วจนอยากยกธงยอมแพ้

ชีวิตที่คิดว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้วอยู่ไปก็ไร้ค่า

แน่ใจแล้วหรือว่า เราสู้เต็มที่แล้วจริงๆ แน่ใจแล้วหรือว่า การไม่มีเงินหรือมีหนี้สินมันคือการใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า



... เพราะหากเรายึดติด คุณค่าของชีวิต โดยมีภาพฝันเป็นเหมือน ความฝันของอเมริกันชน(american's dream) กับ ภาพคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานบนตึกสูง ผูกไทด์ใส่สูท ขับรถเปิดประทุน อยู่ในบ้านย่านหรูและวันหยุดไปดูกีฬากับครอบครัว โดยไม่ทันคิดเลยว่า มันคือ กับดักสวยหรูที่รองาบเหยื่ออันโอชะ

...เพราะเมื่อใดที่เราไม่ทันประมาณตน ไม่รู้จักใช้ชีวิตเท่าที่มี มีสิบแต่จ่ายร้อย มีร้อยแต่ใช้พัน มีเงินเดือนหลักพันแต่ผ่อน mazda3 ด้วยหวังอยากมีหน้าตาทางสังคม เราย่อมมีโอกาสคิดสั้นหรือรู้สึกหมดหวังกับชีวิตที่เป็นอยู่ เมื่อไร้ทรัพย์สิน ไร้เงินทอง

...ผมเคยคุยกับคนบางคน ที่เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะเป็นหนี้สิบกว่าล้าน ด้วยความคิดว่า “ต่อไปนี้คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะอยู่อย่างไร ชีวิตนี้ไร้ค่า ไม่เหลืออะไรแล้ว”

หนี้สิบกว่าล้าน เป็นตัวเลขมหาศาลจริง แต่มันทำให้ดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้จริงหรือ

ทำไมคนในถิ่นทุรกันดารหรือเอธิโอเปียหรือแอฟริกาถึงอยู่ได้ พวกเขาเหล่านั้น ก็ไร้คุณค่าด้วยหรือ

...แล้วเราก็จะพบว่า ไม่ใช่อยู่ไม่ได้หรอก แต่ เราปรับตัวไม่ได้ กับ การต้องกินอยู่อย่างอดๆอยากๆ ต้องถูกทวงหนี้บ่อยๆ ต้องทำงานหนักกว่าเก่า ต้องเดินหรือขึ้นรถเมล์แทนรถคันโก้ ฯลฯ เราไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป เราคุ้นเคยกับชีวิตที่ดีกว่านี้

และในตอนนั้น เราก็มองปัญหาตรงหน้า เหมือน รูบิก ที่ไม่มีทางทำสำเร็จ ทั้งที่ความจริงคือ เรายังทำไม่สำเร็จ มากกว่า แล้ว หลายคนก็เลือกที่จะโยนชีวิตเหมือนโยนรูบิกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

...พวกเขาเหล่านั้น มักจะหลงลืมไปว่า คุณค่าของคนเรานั้น ไม่ได้ถูกผูกไว้กับ มูลค่าภายนอก แต่ มันอยู่ภายในตัวคน เช่น คริส การ์ดเนอร์ แม้จะไม่หลงเหลือเงินในกระเป๋าแต่เขา ยังมี คุณค่าในฐานะพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่รักลูกมากยิ่งกว่าใคร เขายังมีจิตใจที่งดงาม และ ยังมีความพยายามที่ไม่ลดน้อยถอยลง สิ่งเหล่านี้ คือ คุณค่าที่ไม่มีวันลดลงตามเงินในกระเป๋าของคนเราทุกคน

แม้จะสูญเสียความมั่นใจความเชื่อมั่นจากภรรยา แต่ การมีลูกที่เชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวพ่อ มันก็เป็นกำลังใจส่งต่อให้เขาเดินหน้าต่อไปอย่างไม่เคยคิดถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว

ลูกของคริส ในหนังเรื่องนี้ กับ ภรรยาของพระเอกใน Cinderalla man ช่วยบอกเราว่า ความศรัทธาและมั่นใจในตัวคนที่เรารัก บางครั้ง มันมีความหมายยิ่งใหญ่กว่า การได้เงินมาซักก้อนเพื่อช่วยเหลือในยามลำบาก ซึ่งอาจช่วยเราได้แค่ครั้งเดียว แต่ ความรักและศรัทธาจากคนที่รักนั้น เป็นเหมือน น้ำทิพย์ จะหล่อเลี้ยง หัวใจ ให้สู้ไปข้างหน้าได้อย่างไม่มีวันยอมแพ้ไม่ว่าจะเจออุปสรรครออยู่อีกกี่ด่านก็ตาม






.... ใน The Pursuit of Happyness หนังเดินเรื่องได้เรื่อยๆเนือยๆ ถ้าคนไม่ชอบหนังดราม่าอาจส่ายหน้าหรือพยักหน้าสัปปะหงกไปก่อน หากใครคาดหวังจะเป็นหนังความสัมพันธ์พ่อลูกจี๊ดๆซึ้งๆมาก อาจต้องผิดหวัง เพราะบรรยากาศส่วนใหญ่ของหนังค่อนข้างเศร้าซึม เราต้องทนดูชีวิตของตัวละครเคราะห์ซ้ำกรรมซัดครั้งแล้วครั้งเล่า

และนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ วิล สมิธ ได้แสดงอารมณ์มากกว่าทำเท่เหมือนในหนังหลายๆเรื่องที่ผ่านมา เขาปล่อยพลังฝีมือเล่นคู่กับลูกได้อย่างน่าจดจำ เพียงแต่ว่าปีนี้เป็นปีที่นักแสดงมีฝีมือหลายคนเข้าคิวพาเหรดกันมาเพียบ เขาเลยคงเป็นได้แค่ผู้เข้าชิงไม้ประดับบนเวที แต่หากไม่เปรียบเทียบกับใคร การแสดงของเขาสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนอยากลุกขึ้นมาสู้ชีวิตอีกครั้ง เพียงเท่านี้ ก็น่าจะเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว

หลายฉากที่เขาจะทำให้เราน้ำตาซึม โดยเฉพาะฉากเด็ดที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งไปสิ้นสุดในถ้ำ กับการสร้างจินตนาการให้ลูกชาย ไม่ต่างอะไรกับพ่อใน Life is beautiful ที่แม้จะเจ็บช้ำขมขื่นกลัดกลุ้มเพียงใด ก็พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์

อีกหนึ่งคนในหนังทีถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย คือ แธนดี้ นิวตั้น ที่เธอเล่นได้ดีทีเดียว บทของภรรยาที่เบื่อหน่าย ลำบากยากเข็ญ และ หงุดหงิดกับชีวิตปัจจุบัน จนต้องตัดสินใจทิ้งสามี เธอทำให้เราได้เห็นถึงเสี้ยวเล็กๆที่ยังรักแต่มันก็สุดจะทนกับชีวิตที่เป็นอยู่ และ สิ่งที่เธอเลือกไม่ใช่ การไปตายเอาดาบหน้า แต่ เธอเลือกที่จะไม่ไว้ใจคนที่เธอรักอีกต่อไป ซึ่งคนที่เจ็บช้ำไม่ใช่แค่สามี เธอเองก็เช่นกัน

หากจะมีสิ่งที่ผมไม่ชอบนัก คือ ตอนจบของหนังที่ค่อนข้างเป็นเทพนิยายชวนฝัน ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือประเภท “พ่อรวยสอนลูก” มากเกินไป จนทำให้คนดูบางคนอาจชักสับสนว่า Happyness ที่หนังต้องการนำเสนอว่าพระเอกกำลังแสวงหา(pursuit) คือ สิ่งใดกันแน่ หรือเป็นแค่การวิ่งไล่คว้า ความฝันของอเมริกันชน ความสุขของโลกทุนนิยม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

สิ่งที่ชอบ

1.วิล สมิธ ... ผมไม่ได้ดู อาลี ที่เขาว่ากันว่า วิล สมิธ เล่นดี แต่จากหนังของวิล สมิธทั้งหมดที่เคยดูมา เรื่องนี้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขา

2.การสู้ชีวิต ... ดูจบเกิดความรู้สึกประมาณ ‘สู้โว้ยยย’ เรายังสู้ไม่เต็มที่หรอก เกิดความรู้สึกไม่อยากจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ และ รู้สึกดีที่เห็นคนจนตรอกแต่ยังคงรักษาจิตวิญญาณและศักดิ์ศรีความเป็นคนอยู่ต่อไป

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.ตอนจบ ... หนังให้อะไรกับคนดูมาก แต่ การจบเช่นนี้อาจทำให้คนดู จับตรงบทสรุปได้แค่ว่า ‘สู้แล้วรวย’ เท่านั้น

สรุป ...เป็นหนังดราม่า เล่าเรื่องไปข้างหน้า ไม่ค่อยพยายามบีบคั้นหรือใส่ช็อตเด็ดเพื่อเร้าอารมณ์จนเกินเหตุ หนังมา พร้อมกับ อุปสรรคที่พัดเข้ามาในชีวิตตัวละครครั้งแล้วครั้งเล่า เหมาะมาก สำหรับผู้ที่กำลังท้อแท้ หรือ หมดกำลังใจ หนังอาจเรียบเรื่อยไปหน่อยแต่เมื่อถึงจุดสุดท้าย เชื่อว่าน่าจะได้อะไรดีๆกลับมาแน่นอน



ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว)
เดือนแห่งความรัก มอบ"หนังสือรัก"แด่คนที่คุณรัก ฮิ้ววว






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป



Create Date : 14 มีนาคม 2550
Last Update : 14 มีนาคม 2550 0:29:37 น. 27 comments
Counter : 8989 Pageviews.

 
แม็กกาซีนเล่มใหม่ที่จะออกปลายเดือนนี้จ้า

--- ใบ้ได้มั้ยครับ เป็นควรามลับรึเปล่า ว่า เขียนให้เล่มไหนเอ่ย

เห็นหน้าคุณ ในpulp เล่มล่าสุดแล้วนะครับ

อย่างที่จินตนาการไว้

หวังว่า จะไม่ใช่เล่มสุดท้ายนะเออ วันนี้เวียนไปดูที่แผง ยังไม่เห็นเล่มใหม่ออกมาวางเลย


โดย: จอมผีดิบมันตรัย IP: 125.27.20.17 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:0:39:42 น.  

 
^
^
Pulp เขาลาค่อนข้างแน่นอนแล้วครับ จนกว่าจะหานายทุนใหม่ได้ คิดแล้วก็เศร้าใจ

ผมชอบ ความเห็นในเฉลิมไทยมาก ที่มีคนตอบเกี่ยวกับการจากไปของPulp ไว้ว่า

"ทิ้งให้แฟนหนังสือเดียวดาย ท่ามกลางหนังสือหนังมากมายที่ไม่เจ๋งเท่าเทียม"

... ส่วนเล่มใหม่นั้น ยังไม่รู้ว่าเขาให้บอกหรือเปล่าอะครับ เพราะหนังสือยังไม่เปิดตัว เลยไม่กล้าเขียนถึง ไว้ถ้าบอกได้จะรีบบอกโดยพลัน (แต่ช่วงนี้อ่านเรื่อง Final score ของ จขบ. ใน Cream ก่อนได้เน้อ ได้ทีขอโฆษณา ซักกะหน่อย )


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:0:47:55 น.  

 
แวะมานั่งเล่นคะ ชอบหนังเรื่องนี้สุดๆๆๆไปเลยหละ ประทับใจ หนังจบอารมณ์ไม่จบ


โดย: หนูคิสเซอร์วิส (KissAhoLicGal ) วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:6:17:37 น.  

 
ชอบเรื่องนี้ค่ะ ตอนที่คริสได้งานหลังฝึกงานเสร็จข้าพเจ้าเขื่อนแตกค่ะ อิอิ


โดย: Rive Gauche วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:7:52:02 น.  

 
+ ตอนแรกผมยังกะว่าหนังจะเครียดกว่านี้แฮะ เพราะจากหนังตัวอย่าง มันดูออกจะซาบซึ้งใจก็จริง แต่ก็ดูเป็นหนังแนว Drama/Business อยู่ดี (ซึ่งผมไม่ค่อยชอบดูเท่าไหร่) ... จังหวะในการใส่อารมณ์และคำพูดซึ้งๆ ก็ไม่ถึงกับจับยัด มาแบบได้จังหวะจะโคน ... แล้วผมเป็นคนชอบดูหนังดราม่าอยู่แล้วด้วยมั้งครับ บวกกับคาดหวังไว้ไม่เยอะ ก็เลยรู้สึกว่ามันดีกว่าที่คิดไว้ตอนก่อนเข้าไปดูอยู่หน่อยนึง

+ วิลล์ สมิธ ดูหง่อมเชียว แต่ก็แสดงความมุ่งมั่นได้ดี / แธนดี้ นิวตัน ซีนอารมณ์เธอทำได้ดีทีเดียวแหละ (ยังนึกอยู่ว่าถ้าเอา จาด้า พินเกตต์ สมิธ มาเล่น คงกลายเป็นหนังอุตสาหกรรมครอบครัวไปเลยเนอะ), เจ้าหนูลูกวิลล์ ก็มีแววดาราอยู่ในตัว ... บทหนัง บางช่วงก็ดูใส่อารมณ์ดราม่าไปนิด อะไรชีวิตคนเรามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนั้น(วะ) กับอีกอย่าง พระเอกสามารถจัดการกับชีวิตที่ต้องดูแลลูกชาย พร้อมๆ กับฝึกงานและเตรียมสอบ แล้วตอนเย็นก็ต้องวิ่งไปเข้าคิวนอน(ฟรี)ที่โบสถ์ ตอนเช้าเสื้อผ้าเรียบกริบไปทำงานต่อได้ดีขนาดนั้นเชียวเหรอ?!?

+ ที่คุณ จขบ. เขียนไว้ว่า หนังเน้นมากไปหน่อยว่า 'Happ(i)yness' ในเรื่องนี้คือเงิน ... พอดีมันคงเป็นที่เคสนี้มั้งครับ ที่จากคนแทบไม่มีอะไรกิน อยู่ไปแบบวันต่อวัน (ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีศักยภาพอยู่พอสมควร) แล้วพลิกผันกลับมากลายเป็นเศรษฐีได้ในที่สุด ... จริงๆ แล้ว นักธุรกิจไทยหลายท่าน ชีวิตยังพลิกผันกว่านี้ด้วยซ้ำ จากที่เคยรวยอู้ฟู่ ... พอฟองสบู่แตก กลับกลายเป็นหนี้นับสิบนับร้อยล้าน ถ้าคนที่ไม่สู้ ก็คงคิดฆ่าตัวตายหรือฆ่ายกครัว ดังที่เกิดเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ... แต่ก็มีอีกหลายคน ที่อาศัยช่องทางที่มีอยู่ หรือช่องทางใหม่ที่มองเห็น สร้างเนื้อสร้างตัวจนกลับมารวยได้อีกครั้ง (คนที่เคยรวย มักจะรู้ว่าทำยังไงถึงจะรวยได้อีก)
........... แต่จริงๆ แล้ว เงินอาจเป็นเพียงแค่ส่วนนึงที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น สามารถซื้อความสุขหรือความฝันบางอย่างได้ ... แต่ก็คงไม่ทุกอย่าง ... ดังนั้น แต่ละคนควรหาให้เจอว่าความสุข (Happiness) ของตัวเองคืออะไร แล้วก็หาวิธีที่ทำให้เกิดความสุข (Pursuit) โดยที่ไม่ทำความเดือดร้อนหรือเบียดเบียนแก่ตัวเองและผู้อื่น [ก็คล้ายกับอริยสัจ 4 นั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนจากหาหนทางดับทุกข์ เป็น หาหนทางแห่งความสุข] .......... เมื่อนั้น ชีวิตคนเรา ก็คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นแล้วอ่ะครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:9:41:25 น.  

 
ตอนจบแบบนี้ ทำให้คุณ วาริน นิลศิริสุข ใน SP ถึงกับตั้งข้อสังเกตเลยว่า คำว่า Happyness แบบนี้เป็นเพราะว่าตัวของ Chris Gardner เองนั้นไม่รู้จักความสุข "ที่แท้จริง" หรือเปล่า...

ผมเองดูเรื่องนี้แล้วก็ไม่ได้อะไรมากมายหรอกครับ... ถ้าเกิดไม่มี Will Smith แล้ว หนังเรื่องนี้คงเป็นหนังดราม่าดาษๆทั่วไปที่ไม่มีอะไรเลย


โดย: nanoguy IP: 203.113.34.9 วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:0:16:57 น.  

 
ผิดจากที่คาดพอสมควรเลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าจะเป็นหนังครอบครัว ให้กำลังใจ แบบชีวิตเจออุปสรรคแล้วก็ผ่านไปได้ คิดว่าคงจะซึ้งๆ เรียกน้ำตาได้ง่ายๆ

เอาเข้าจริงกลายเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง เรียบๆเรื่อยๆ ไม่มีการเร้าอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น เรียกน้ำตาแทบไม่ได้ แต่มันก็มีช่วงที่ทำให้รู้สึกเศร้าและหดหู่กับชะตาชีวิตของตัวละครเหมือนกันค่ะ(เรียกว่าเศร้าโดยไม่ต้องบิ๊วท์ ว่างั้นเถอะ )

ถึงจะแอบง่วงเป็นพักๆ แต่พอจบแล้วเราชอบทีเดียวค่ะ รู้สึกว่ามันหนักแน่นแล้วก็ดู"จริง"ดีน่ะ สิ่งที่ชอบมากๆคือพระเอกเรื่องนี้ไม่เอาแต่"ฟูมฟาย"และก็"สงสารตัวเอง"ค่ะ

อีกอย่างที่ชอบมากคือ ไดอะล็อกและคำคมต่างๆค่ะ

เห็นด้วยค่ะว่าไม่น่าจบแบบ"ความสุขคือเงิน" แต่ตอนที่ดูถึงตอนจบ ก็รู้สึกตื้นตันดีเหมือนกันนะคะ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องจบแบบนี้

ปล. ชอบลูกชายพี่วิลล์จัง


โดย: azzurrini วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:15:01:05 น.  

 
ตอนแรกถึงว่าทำไม Happyness ในชื่อเรื่องสะกดแปลกๆ พอไปดูเรื่องนี้ก็เลยถึงบางอ้อ

ชอบมากเลย ดูไปน้ำตาซึมไปตลอดเรื่อง อยากร้องไห้แบบเขื่อนแตกในโรงมากๆ แต่เกรงใจคนที่นังอยู่ข้างๆง่ะ


โดย: พุดดิ้งสีชมพู IP: 58.8.145.54 วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:21:23:09 น.  

 
รูบิค ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำไม่ได้ เพียงแต่มันยากในการที่จะเอาชนะ สิ่งใดก็ตามที่ยาก และ ยังทำไม่ได้ มิได้แปลว่า สิ่งๆนั้นเราจะทำไม่ได้

ช่างเป็นข้อความที่น่าประทับใขมากเลยครับ

เพียงแต่ว่า ผมทำได้หกหน้าแล้วอ่ะ


โดย: Viola IP: 203.113.51.202 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:22:25:19 น.  

 
อยากขอสูตรรูบิคค่ะ รบกวนส่งให้ w_mommam@hotmail.com

thank you very much


โดย: แอม IP: 203.144.198.220 วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:17:45:39 น.  

 
อืม ผมคิดไม่เหมือนแฮะ
ผมกลับชอบตอนสุดท้ายที่สุด

ถ้าพอจำได้ ในหนังจะมีคั่นว่า...
This part of my life called ...

ชอบมากๆ พอถึงตอนที่มันบอกว่า
This part of my life called .. Happiness
ผมเข้าใจว่า คนส่วนมากที่บ่นกันว่า
ชีวิตไม่มีความสุขนั้น เป็นเพราะคาดหวังให้ทุกๆส่วน (part) นั้น เต็มไปด้วยความสมหวัง
แต่จริงๆแล้ว ความสุขมันเป็นเพียงส่วนเล็กๆในชีวิต ที่เราต้องออกวิ่งตามหา

ส่วนอีก 95% ของชีวิตนั้น มันไม่ใช่ความทุกข์
มันเป็น The persuit ( of happiness ) ....

เหอ เหอ ก็ความเห็นส่วนตัวนะครับ
ถ้ามันมั่วเกินไป ก็ขออภัยนะครับ
^^"


โดย: ottoman IP: 69.3.229.205 วันที่: 25 กรกฎาคม 2550 เวลา:4:47:24 น.  

 
เรื่อง นี้ซึ้งมาก
วิล สมิธเล่นดีมากเลย
น้ำตาไหล หลายตอนมากๆเลยอ่ะ
เด็กก้อน่าสงสารอ่ะ T^T


โดย: ชอบจัง IP: 124.121.46.211 วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:12:54:33 น.  

 
ดูแล้ว เหมือนมันตื้นตันอยู่ข้างในอย่างบอกไม่ถูก และผมชอบตอนสุดท้ายมากๆเลย ตอนที่เค้าได้งาน เป็นอะไรที่มันปราบปลื้มแล้วเหมือนกับว่ายิ้มทั้งน้ำตาอะ (แต่ร้องให้อยู่ข้างใน)


โดย: YoiChi IP: 202.57.178.112 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:13:08:56 น.  

 
เพิ่งได้ดู ชอบเช่นกัน
เอ Happyness นี่เขียนถูกไหมครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:23:54:28 น.  

 
9/10 คะแนน

ผมไม่ค่อยได้หนังแนวสู้ชีวิตเท่าไหร่ ที่ผ่านมาก็มี Million Dollar Baby และอีก 1-2 เรื่องจำชื่อไม่ได้

แต่เรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ดูจบแล้ว รู้สึกฮึด และสร้างกำลังใจได้ดีเหลือเกิน...เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับคนที่กำลังท้อแท้ หรือกำลังตกงาน ลองหามาดูนะครับ

ส่วนตัวคิดว่า อาชีพ เซลล์ เป็นอาชีพที่เงินดีมากๆถ้าคุณทำได้ ซึ่งในอเมริกาถือเป็นอาชีพที่ทำเงินสูงที่สุดเลย ในบรรดาลูกจ้าง

แต่พระเอกนั้นอาจจะไม่รู้จักการวางแผนการตลาดที่ดี ซึ่งของๆเค้าขายยากแต่มันก็ผลตอบแทนสูง ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงผมก็คิดว่าเค้าสามารถทำอาชีพเซลล์ได้สบาย ถ้าไม่ติดปัญหาครอบครัว

อย่างไรก็ตาม เค้าก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเลือก อาชีพBroker


โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.181.222 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:29:45 น.  

 
เข้าไปดูเรื่องนี้ในโรงเพราะเรื่องที่อยากดูไม่มีรอบ จากที่ตอนแรกไม่อยากดูเพราะเบื่อดราม่าแต่พอกลางๆเรื่องกลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สนุกจริงๆ
วิลสมิธเล่นดีมาก บอกตรงๆว่ามุมมองที่มีต่อนายคนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ปล.น่าสงสารวิลสมิธนะ วิ่งแบกไอ้เครื่องสแกนไปมา ท่าจะหนัก


โดย: โดนัท IP: 220.42.58.207 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:13:39:05 น.  

 
เรื่องนี้มีแล้วแต่ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้นดูก่อนว่าเก็บไว้มุมไหนของห้อง แล้วจะกลับมาอ่านรีวิวอีกทีนะคะ


โดย: Kitsunegari IP: 124.120.160.23 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:16:19:36 น.  

 
รีวิวได้เยี่ยมสุดๆ เลยค่ะ และดีใจที่มีคนชอบเรื่องนี้เหมือนเรา
แต่ในความคิดของเรา จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ เพราะ "Haapyness" ของ Chris Gardner คือการทำให้ชีวิตลูกชายเค้าไม่ลำบากนี่คะ หนังก็บอกอยู่แล้วว่าช่วงนั้นเป็นยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ภาษี ฯ รายได้ที่ดีกว่าคงเป็นคำตอบแรกของความสุข เราดู Special Featureใน DVD ค่ะ Chris Gardner ตัวจริงมาที่กองถ่าย เค้าแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะทีมงานเซตฉากมาเหมือนกับภาพอดีตของเค้ามาก โดยเฉพาะฉากในห้องน้ำ และที่ออฟฟิศ โบสถ์ก็ไปถ่ายทำสถานที่จริง ทำให้เราชอบเรื่องนี้มากๆ เลย แบบว่าชีวิตต้องสู้จริงๆ

ปล. ลองอ่านชีวประวัติเค้าสิคะ จะรู้ว่า Chris Gardner เป็นคนที่มีจิตใจดีมากๆ เลยค่ะ ชื่อหนังสือเหมือนกับชื่อหนังเลยค่ะ The Pursuit of Happyness


โดย: ลิโลกะโปเต้ IP: 61.90.250.17 วันที่: 23 ธันวาคม 2550 เวลา:1:17:30 น.  

 
เพิ่งดูจบเมื่อกี้นี้เองค่ะ...

ดูจบแล้ว..รู้สึกดีมากๆ...

มีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย...



โดย: ยัยตาโต... IP: 124.121.103.60 วันที่: 20 มกราคม 2551 เวลา:19:30:58 น.  

 
Will smith สุดยอดจิงๆคับ เรื่องนี้ ดูหนังที่วิล สมิธเล่น ชอบทุกเรื่อง แม้หนังบางเรื่อง เนื้อมันจะห่วยๆก็ตาม แต่มีวิล สมิธขายได้ดีจิงๆ แต่เรื่องนี้อย่างที่ เจ้าของBlogกล่าวเลย วิล สมิธ แสดงอารมณ์ มากกว่า ทำเท่ห์เหมือนหนังเรื่องอื่น
ถ้าให้คัยคนอื่นมาเล่น คงไม่คิดจาดูแน่เลย อย่าว่ากันนะ

และอีกอย่างเวลาดูหนังชอบหาคำพูดที่มันโดนๆและหนังเรื่องนี้มีเยอะมากที่สุดเลย


โดย: งุงิ IP: 203.118.97.101 วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:13:26:17 น.  

 
เหมือน คุณยัยตาโต ว่าอะคับ เรื่องนี้ก็จบดีแล้วนะ
บางทีแฮปปี้แนสของ คริส อาจจะเป็น คริสโตเฟอร์ อีกอย่างที่ทำให้คริส เค้าไม่ยอมแพ้ก็ คงเป็นเพราะลูกชาย
คิดดู ถ้า เรารักคัยซักคนมาก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อเค้าได้ ทำทุกอย่างดีที่สุดด้วย

แล้วถ้าคริส เค้าไม่มีลูกชายหละ เป็นคำถามนะ เค้าจะมีความมุ่งมั่น มากมายขนาดนี้รึป่าวอ่ะ? มีคนคิดเหมือนกันบ้างมั้ยอ่า อยากรู้จัง

**ขอชมคุณottoman หน่อยนะคับที่ทำให้นึกได้ พอมาคิดอีกทีความสุขมันก็เป็น ส่วนเล็กๆของชีวิตเหลือเกิน This part of my life called .... Happiness
This part จิงๆ


โดย: งุงิ IP: 203.118.97.101 วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:13:36:14 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้มากเลย ทำให้เรารู้ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น จะว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรกลับเรา "ก้อแรงบรรดาลใจในการใช้ชีวิต แม้บางทีชีวิตมันจะโหดร้ายกับเรา" รู้สึกดี ดีที่ได้ดู ชอบประโยคนี้เหมือนกัน "This part of my life called .... Happiness" เพราะมันไม่ได้จบตรงที่เค้ารวย แต่จบตรงที่เค้าทำสำเร็จ เพราะเค้าทำสำเร็จเค้าถึงได้รวยจริงไหมค่ะ เราคงไม่ต้องรวยขนาดเค้า แค่ได้มีช่วงหนึ่งที่ทำได้สำเร็จเหมือนเค้าก้อน่าจะพอ


โดย: imnotyrbabe (imnotyrbabe ) วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:16:29:17 น.  

 
ความสุขเป็นสิ่งที่ต้องไล่ล่า...อย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะที่บางคนอยู่อย่างสุขสบาย แต่ใครอีกหลายคนที่สุดแสนจะยากลำบาก
- หนังที่ดี -


โดย: donkiyote IP: 118.173.251.175 วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:7:53:11 น.  

 
ดีจังเรยค่ะ


จะเอาไปวิเคราะห์พอดี


++


โดย: โดนัท IP: 124.120.122.74 วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:13:28 น.  

 
ผมกลับชอบตอนจบ เพราะมันเปนเรื่องของเซลส์แมนที่ต่อสู้กับชีวิต ดังนั้นความสุขที่เค้าได้รับไม่ใช่การส่งเสริมทุนนิยม แต่เป็นที่สิ่งเค้าพากเพียรต่างหาก ไม่จำเป็นว่าคนที่อยู่ในโลกทุนนิยม จะต้องเป็นสิ่งไม่ดีเสมอไปครับ


โดย: alwaystong IP: 211.222.175.100 วันที่: 5 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:32:51 น.  

 
กะลังตาบวมอยู่..ซึ้งและให้กำลังใจได้ดีมาก ขอบคุณเจ้าของblogค่ะ


โดย: ใบย่านาง IP: 117.47.162.142 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:19:36:12 น.  

 
อ่านรีวิวแล้วนึกถึงพ่อขึ้นมา. พ่อเราก็คงสู้แบบนี้เพื่อเรามาตลอดทั้งชีวิตเหมือนกัน. รักป๋าที่สุดในโลก ได้ยินมั้ยคะ


โดย: คนนอนดึก IP: 115.67.38.155 วันที่: 14 กรกฎาคม 2556 เวลา:22:43:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.