www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค1 , ไทยจะสิ้นชาติไม่ใช่เพราะใคร หากมิใช่เพราะไทยด้วยกัน

ว่ากันว่า...

ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนชั้นดีที่คนยุคปัจจุบันจะเรียนรู้ โดยเฉพาะความผิดพลาดทั้งหลายแหล่ หากเพียงรู้จักที่จะจดจำและนำมาทำให้ดีกว่า เพื่อที่ว่าจะไม่เดินย่ำซ้ำรอยเดิม

แต่ ส่วนใหญ่ มนุษย์ ก็มักจะหลงลืม เพราะ ความเป็นมนุษย์นี่เอง ที่ยังมีความโลภ ความต้องการเอาตัวรอด ความอยากเป็นใหญ่ ความไม่ไว้วางใจ ฯลฯ จึงทำให้ ปัญหาไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยไปก็ยังคงอยู่ และ ก็เป็นปัญหาเดิมๆเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไป เช่น

ปัญหาคนขายชาติที่ชักนำพม่าเข้ามาเผาทำลายเมือง ก็เปลี่ยนไปเป็น การปล่อยให้ชาวต่างชาติมายึดครองบริษัทยึดครองที่ดินหรือโกงกินประเทศ

ปัญหาการแก่งแย่งชิงบัลลังค์ ก็เปลี่ยนไปเป็น การเอาชนะแย่งชิงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนโดยมิได้คิดคำนึงถึงประโยชน์สุขของพวกเขาแต่อย่างใด

ปัญหาเหล่านั้นในอดีตนำไทยไปสู่การสูญสิ้นอิสรภาพ บ่งบอกว่า

ไทยพ่ายแพ้ไม่ใช่เพราะพม่า แต่ว่ามาจากความแตกแยกและขาดความสามัคคีคนไทยด้วยกัน


การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ไม่ได้มาจากพม่าเก่งกว่า แต่ มาจากการทรยศขายชาติของคนไทยด้วยกันเพื่อหวังลาภยศ และ ความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจของคนไทยด้วยกันเองโดยเฉพาะในชนชั้นปกครอง นำไปสู่ความแตกแยก เป็นชนวนเริ่มต้นของการเสียกรุง นั่นบ่งบอกว่า

ไทยจะสูญสิ้นได้ ไม่ใช่เพราะใคร หากไม่ใช่เพราะมือคนไทยด้วยกันเอง ที่ไม่จับมือเพื่อประเทศชาติแต่แย่งยื้อกันเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน


และจากประโยคสำคัญที่ตัวละครพระองค์ดำกล่าวว่า

"ราชวงศ์ใดจะรั้งแผ่นดินก็หาสำคัญไม่ ขอเพียงให้สยามได้ปกครองสยาม"


จากหนังตัวอย่างอาจทำให้ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่อหนังจบลง มันทำให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับคำพูดของพระองค์ดำ กับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เพราะนั่นหมายความว่า เราได้สูญสิ้นแผ่นดินไปเรียบร้อยแล้ว จนน่ากลัวว่า หากความแตกแยกยังเกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินใดประเทศใด วันข้างหน้า ประโยคเช่นนี้ย่อมไม่อาจหลีกหนีได้พ้น



...พระองค์ดำถูกนำไปเลี้ยงดูโดยบุเรงนอง เสมือนตัวประกันที่ฝั่งพม่าจะไว้วางใจว่าคนไทยจะไม่แข็งขืน

...อิสรภาพในชีวิตของพระองค์ดำ ถูกจองจำไปพร้อมกับ อิสรภาพของชาติไทยที่ถูกช่วงชิงในเวลาถัดมา

หากการมาของพระองค์ดำมาในฐานะเชลยหรือทาส ก็อาจจะยังดีเสียกว่า เพราะ การมาในฐานะเสมือนลูกของบุเรงนอง ยิ่งทำให้เขาเป็นเป้าหมายของความเกลียดชัง โดยเฉพาะในสายตาของคนพม่า



…ภาคหนึ่งจากสามภาคของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จบลงตรงการตัดสินใจปลดตรวนและต่อสู้เพื่อสร้างอิสรภาพให้กับตัวเองของพระองค์ดำ ก่อนที่ภาคถัดมาที่เราจะได้พบกับการปลดปล่อยอิสรภาพให้กับชาติไทย

ผมยังจำได้ว่า ...

สุริโยไท ผลงานชิ้นล่าสุดของท่านมุ้ย คือ งานที่ชวนผิดหวัง เพราะหนังทำให้ผมมีอาการเบื่อกระสับกระส่ายขณะนั่งดู ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะจบเสียที หนังมีปัญหาของการเล่าเรื่องที่จะเป็นสารคดีก็ไม่ใช่ จะไปเป็นหนังพีเรียดที่ดีก็ไปไม่ถึง เพราะหนังพยายามจะใส่รายละเอียดและเน้นความสมจริงมาก ทุกสิ่งนั้นล้นเกินไปในเวลาที่มีอยู่ จนสิ่งที่หายไปคือ “ความสนุก”

หนังยังมี การแสดงที่เต็มไปด้วยโอเวอร์แอคติ้งของนักแสดงมีฝีมือหลายๆคนจนน่าผิดหวัง และ การขนดาราดังๆมารวมตัวกันแต่กลับไม่สามารถเกลี่ยบทบาทให้ความสำคัญอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนพวกเขามาเดินชนกันในหนังใหญ่ๆ ทำให้การจดจำตัวละครเป็นเรื่องยากสำหรับคนดู มีเพียงบทท้าวศรีสุดาจันทร์ที่ฝากบทบาทได้โดดเด่นและน่าจดจำ

ข้อดีและเป็นจุดเด่นของ สุริโยไท คือ การได้เห็นภาพของชาติไทยในยุคโบราณที่เราไม่มีวันมีโอกาสได้เห็นนอกจากภาพวาดหรืองานเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวกับชีวิตในวังและประเพณีสมัยก่อน ต้องยอมรับว่า ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างสำหรับการสร้างหนังประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยเฉพาะเรื่องราวในวัง หากไม่ใช่ท่านมุ้ย คนไทยก็คงไม่มีโอกาสได้ดูภาพอดีตได้ละเอียดเท่านี้ หากนับว่านี่เป็นงานพีเรียดระดับมหากาพย์เรื่องแรกของคนไทย ถือได้ว่าทำได้ดีพอสมควร แต่ถ้าไม่พิจารณาว่าชิ้นแรกชิ้นหลัง สุริโยไท ยังเป็นงานที่มีจุดอ่อนชัดเจนเห็นชัดน่าผิดหวัง

ผมยอมรับว่า ...

สุริโยไท เป็นเหตุให้ ผมไม่ได้อยากไปดู นเรศวร เท่าไหร่นัก ดูเหมือนว่า ท่านมุ้ย จะไม่เหมาะกับหนังสเกลใหญ่ในระดับมหากาพย์เช่นนี้เพราะเมื่อเทียบกับหนังของท่านที่ผมเคยดู ไม่ว่าจะเป็น มือปืน คนเลี้ยงช้าง หรือ เสียดาย ล้วนมีความลงตัวและเข้มข้นกว่ามากนัก การเลือกไปดู ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่ใช่เพราะเป็นหนังที่อยากดูมากกกก แต่ไปดูเพราะความรู้สึกว่า ต้องดู ถ้าไม่ได้ดูก็คงไม่รู้จะเขียน blog ไม่รู้จะคุยอะไรกับใคร

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำการบ้านสองประการ ก่อนเข้าโรงหนัง

1.อ่านเบื้องหลังจากในหนังสือเพื่อจำหน้าว่าใครเป็นใคร (ผมมีปัญหาอย่างมากเวลาดูหนังสงครามแล้วตัวละครเปื้อนฝุ่นจนทำให้จำใครไม่ได้)

2. ซื้อ”ชาชัก”ก่อนขึ้นโรงหนังไปหนึ่งแก้วป้องกันอาการง่วงกำเริบเหมือนตอนดูสุริโยไท

หลังจากดูหนังจบผมพบว่า การบ้านข้อ 2 ไม่จำเป็น


ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช... ดีกว่าที่ผมคาดไว้พอสมควร ไม่ชวนให้ต้องง่วงหรือทนกระสับกระส่าย แม้ภาคนี้ค่อนข้างไปทางดราม่ามากกว่าแอคชั่น ก็ยังไม่น่าเบื่อ ท่านมุ้ยดูเหมือนจะศึกษาหาจุดด้อยของงานชิ้นก่อนและถมจุดอ่อนที่เคยมี จนหนังเรื่องนี้พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากและมีความชวนติดตามมากกว่า สุริโยไท

...การแบ่งตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นสามภาคเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะ ทำให้สามารถเน้นรายละเอียดในส่วนสำคัญโดยไม่ต้องพยายามรีบเร่งยัดข้อมูลทุกอย่างภายในสามชั่วโมงเหมือนกับเรื่องที่แล้ว

เราจะเห็นว่า บทหนังสามารถกระจายลดหลั่นความสำคัญให้กับตัวละครและทำให้แต่ละตัวนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับ สุริโยไท ที่อาจเต็มไปด้วยตัวละครมากมาย ผมกลับประทับใจเพียงแค่คนเดียว(ท้าวศรีสุดาจันทร์) แต่ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งตัวละครในเรื่องน้อยกว่า ผมเองกลับประทับใจกับตัวละครได้หลายคน ไม่ว่าจะเป็น

พระองค์ดำ ... นักแสดงเด็กคนนี้ดูมีรัศมีพลังในตัวมากพอชวนเชื่อให้ว่า เขาจะเติบโตขึ้นมายิ่งใหญ่ เป็น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในอนาคต แววตาของความเด็ดเดี่ยวโดยยังมีบุคลิกนิสัยของเด็กคนหนึ่งเหมือนเด็กทั่วไป ที่ยังรักสนุกรักเล่นทำให้เขาดูเนียนไปกับบทนี้ได้ดี

มณีจันทร์ ... เล่นได้สดใส เซี้ยวสมวัยได้ใจคนดู สังเกตจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากในโรงทุกครั้งที่เธอออกมา

และ



พระเจ้าบุเรงนอง ... การแสดงของสมภพ เบญจาธิกุล เป็นดาวเด่นของหนังภาคนี้อย่างแท้จริง การแสดงถึงความช่างพูดช่างเจรจาพาทีผสมกับความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างมีระดับ (มีโรงไหนไม่หัวเราะตอนตอบพระสุพรรณกัลยาว่า “หรือเพราะพี่นั้นหล่อ” แล้วเดินจากไปแบบเท่สุดฤทธิ์) ตัดสลับกับภาพความเข้มแข็งเอาจริงของนักรบ ทำให้เราเชื่อได้เลยว่า ความยิ่งใหญ่ของเขามิได้มาโดยโชคช่วย ตัวบทเองก็มีส่วนช่วยส่งการแสดงของเขาด้วย ในการที่ไม่สร้างภาพให้ บุเรงนอง เป็น ดาวร้ายไร้มิติ ไม่ทำให้คนพม่าเป็นผู้ร้ายในสายตาคนดู มิหนำซ้ำเรายังอดมิได้ที่จะชื่นชมความเป็น คนจริงและความสุภาพบุรุษในตัวเขาอีกต่างหาก

...ในส่วนขององค์ประกอบอื่นที่เห็นนอกจากนักแสดงเช่น เครื่องแต่งกาย , ตัวฉาก , งานโปรดักชั่น ฯลฯ เรียกได้ว่าสามารถไปโชว์ต่างชาติได้ไม่อายใคร เพียงแต่ ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรหลายฉากพอถ่ายทอดออกมาเป็นภาพรวม เช่น ตัวเมือง , ฉากรบ ฯลฯ มุมกล้องกลับไม่สามารถถ่ายทอดความยิ่งใหญ่เหมือนกับที่เคยได้เห็นในสุริโยไท

... กระนั้นก็ดีแม้หนังจะได้รับการถมจุดอ่อนมาแล้วจากสุริโยไท แต่หากจะมีจุดอ่อนมันก็ยังคงอยู่จุดเดิมๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าหนังของท่านมุ้ยที่เป็นหนังจับประเด็นสังคมเล่าเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆหรือเรื่องราวที่ไม่ต้องใส่ใจกับรายละเอียดภายนอกมากมายอย่างหนังประวัติศาสตร์ ท่านมุ้ยจะทำได้ดีกว่า แต่พอหนังต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบอื่นๆมากขึ้น มีการบ้านต้องทำมากขึ้น เช่น เรื่องราวของการสร้างฉากให้สมจริง , เครื่องแต่งกายในสมัยโบราณ , ประเพณีและการพูดสมัยอยุธยา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้หนังเก็บข้อมูลได้แม่นยำแต่ก็ทำให้ เรื่องของ”คน”อ่อนลงไปด้วย



...สังเกตได้จาก หนังทำได้สนุกชวนติดตามในช่วงเวลาที่หนังโฟกัสไปที่เรื่องราวของคนไม่กี่คนหรือตอนที่เรื่องราวไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ช่วงพระองค์ดำกำลังเติบโตเรียนรู้ ซึ่งมีตัวละครสำคัญแค่ไม่กี่คนรายล้อม เป็นช่วงเวลาที่หนังดูสนุกเพลิดเพลิน แต่เมื่อหนังเล่าเรื่องช่วงที่คลาคล่ำไปด้วยตัวละครหลายๆคน เช่น สมเด็จพระมหาธรรมราชา , สมเด็จพระมหินทร์ราช , เสนาบดี ฯลฯ หรือ เป็นฉากที่มีประเพณีมีรายละเอียดของสิ่งที่ไม่ใช่”คน” หนังจะเล่าเรื่องได้ไม่หนักแน่นชวนติดตามเท่า และมีจุดสะดุดตาให้เห็นหลุดมาอยู่เรื่อยๆ

จุดสะดุดเหล่านั้นมักเป็นเรื่องของ "ความไม่เป็นธรรมชาติ" เช่น การสนทนาของตัวละครบางตอน ที่จากประโยคของคนหนึ่งตัดจบปุ๊บแล้วไปต่ออีกคนหนึ่งต่อกันเป็นพรืดดูไม่เป็นปกติของคนเวลาพูดคุยสนทนากัน และ บางฉาก เช่น ฉากฝ่ายเหล่าเสนาบดีประชุมวางแผนกันที่ใช้เทคนิคตัดบทพูดคนนึงไม่จบแล้วไปต่ออีกคนนึง ถึงแม้ว่าจะเป็นการโต้เถียงและแสดงความเห็นก็ตาม แต่จังหวะที่เราถกเถียงกันทั่วไปมันไม่ใช่แบบนี้ มันดูตลกและดูเป็นการแสดงตามบท

รวมไปถึง ฉากแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าตัวละครที่ดูไม่สมจริงเลย มีให้เห็นเป็นระยะ เช่น ฉากล่อกแล่กไปมาของข้าราชบริวารตอนเข้าประชุมแล้วมีสงครามจนท้องพระโรงสะเทือน ดูการแสดงท่าตกใจก็รู้สึกได้เลยว่า นี่เป็นการแสดงแกล้งตกใจ หรือ ฉากแสดงความตกใจของพระสุพรรณกัลยาเมื่อเห็นตัวละครตัวหนึ่งถูกโทษหนัก ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงท่าเอามือปิดปากแต่เป็นจังหวะการแสดงตอนนั้นที่เหมือนสั่งมาจนขาดความเป็นธรรมชาติ ฯลฯ


...หนังยังมีจุดสะดุดเล็กๆน้อยๆอยู่ตามรายทาง เช่น ตัวละครพระองค์ดำกระโดดลอยตัวเตะสองขาประมาณจาพนม หรือ ตัวละครบุญทิ้งที่ยังเล่นไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ หรือ ตอนฉากนัดสาวก็ดูเด็กเกินไป หรือ พระสุพรรณกัลยาที่โตเป็นเกรซแต่พระองค์ดำยังเป็นเด็กคนเดิม ฯลฯ ส่วนเหล่านี้น่าเสียดายที่ทำให้ขัดๆแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้หนังถึงกับเสียรูปกระบวน จะมีอันที่ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่าน่ารำคาญ คือช่วงต้นที่มีการตัดเปลี่ยนฉากฉับไวแล้วมีเสียงประมาณ วืบ วืบ ด้วยหน้าจอสีขาว ซึ่งมีถี่มาก มันทำให้หนังสะดุดและโดดจากตัวหนังไปเลย




...หากดูเอาสนุก เอาเพลิดเพลิน ตัวหนังสอบผ่านไม่มีปัญหา เพราะ เชื่อว่าน้อยคนที่จะเดินออกมาด้วยความรู้สึกน่าเบื่อ เพียงแต่ เสียดายอยู่บ้างตรงที่ บทของหนังเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเห็นได้ว่า มีลู่ทางที่จะพัฒนาให้เข้มข้นมากกว่านี้ได้ หนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเพิ่มแต่อย่างใด

เช่น ช่วงที่พระองค์ดำอยู่ในถิ่นฐานคนไทยในพม่า น่าจะแสดงให้เห็นบารมีหรือปฏิสัมพันธ์ของพระองค์กับชาวบ้าน เพื่อที่จะทำให้ฉากชาวบ้านลุกขึ้นปกป้องตอนท้ายนั้นดูชวนให้ฮึกเหิมน่าคล้อยตามมากกว่านี้ หรือ Conflict ของตัวละคร เช่น ความขัดแย้งในตัวของสมเด็จพระมหาธรรมราชาในฐานะคนไทยที่ยอมให้พม่าจนเป็นปัจจัยหนึ่งของการเสียกรุง หรือ ความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับภรรยาและลูกชายที่ไม่ต้องการให้ชาติไทยเป็นทาสของใคร ฯลฯ

ความขัดแย้งเหล่านี้สามารถขยี้หรือขยายให้เห็นชัดและน่าจะทำให้หนังมีน้ำหนักมากไปกว่า หนังพีเรียดเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ได้อย่างสมจริงน่าภาคภูมิใจ แต่ก้าวไปเป็น หนังพีเรียดดราม่าที่ดีและสามารถถ่ายทอดความเป็นประวัติศาสตร์ได้อย่างสมจริงน่าภาคภูมิใจ


สิ่งที่ชอบ

1.มณีจันทร์และบุเรงนอง ... ขาดสองคนนี้ไป เสน่ห์ของหนังคงหายไปเยอะน่าดู อดคิดไม่ได้ว่า ช่วงเวลาที่มณีจันทร์โตเป็นสาวและบุเรงนองจากไป หนังจะคงเสน่ห์ความน่าติดตามอยู่อีกหรือไม่

2.บทหนัง ... ผูกเรื่องได้น่าสนใจ มีความขัดแย้งทั้งภายในตัวบุคคลและระหว่างบุคคลที่ชวนติดตาม จากที่เคยคาดไว้ว่าไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่า พระองค์ดำโดนแกล้งโดนปองร้ายแล้วหนีกลับประเทศ หนังใส่รายละเอียดและเกร็ดน่าสนใจชวนติดตามอยู่เป็นช่วงๆ

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.จุดขัดเล็กๆน้อยๆที่กล่าวข้างต้นกับ"ความไม่เป็นธรรมชาติ"

2.การตัดเปลี่ยนฉากพร้อมเสียงวุบ วุบ และแสงสีขาววาบๆ

สรุป ...ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเป็นหนังมากกว่าและสนุกกว่า สุริโยไท โดยรวมแล้วค่อนข้างพอใจ และ คุ้มค่าต่อการเสียตังค์ไม่ใช่เพราะการรักชาติ แต่เพราะหนังดีควรค่าพอต่อการเสียตังค์ ชวนให้ลุ้นว่าภาคหน้าหนังจะเป็นอย่างไร กลัวใจว่า พอฉากแอคชั่นประเดประดังมาจนความเป็นดราม่าลดน้อยถอยลง และ นักแสดงเด็กๆอย่างมณีจันทร์และพระองค์ดำที่เล่นได้ดีต้องจากไป ท่านมุ้ยจะยังคุมหนังได้อยู่หมัดหรือไม่

ป.ล. ช่วงสองอาทิตย์นี้อ่านรีวิวหนังแผ่นไปก่อนเน้อ เพราะจากโปรแกรมหนังที่จะเข้า สัปดาห์ที่จะถึงนี้ Babel ดันเลื่อนฉายไปซะได้ กลายเป็นว่า ไม่มีหนังโรงให้ดูเลย ยังดีที่ตอนนี้มี Lost Season 2 ให้ติดแทน ขอบ่นเรื่องการวางโปรแกรมอันย่ำแย่ของคนมีส่วนรับผิดชอบหน่อย เขียนไว้ที่นี่ครับ >> //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5063968/A5063968.html

ป.ล.2... แว่วมาว่า Pulp อาจจะต้องปิดตัวลง หากระดมทุนมาทำต่อไม่ได้ ได้ข่าวแล้วก็เศร้าใจกับการที่ต้องเสียหนังสือเกี่ยวกับหนังเล่มที่ชอบมากที่สุดไปอีกหนึ่งครั้งหลังเคยเสีย ฟิล์มวิว , หนังและวิดีโอ และ Cinemag (หรือเราจะเป็นตัวซวยไปสัมภาษณ์เสร็จเลิก ประมาณ เข้าแก๊งค์ไหนหัวหน้าแก๊งค์ตายหมด)



ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว)
เมื่อ "หนัง" ให้อะไรมากไปกว่า "ความบันเทิง"





ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 22 มกราคม 2550
Last Update : 22 มกราคม 2550 9:22:33 น. 42 comments
Counter : 6336 Pageviews.

 
นี่เป็น comment แรกของผมในบล็อกนี้ ก่อนที่จะเข้าไปดูผมหวังไว้ว่าตำนานสมเด็จพระนเรศวรน่าจะเป็นหนังที่ออกมาดีกว่าสมเด็จพระศรีสุริโยไทแล้วก็เป็นจริงดังที่หวังไว้ ความน่าเบื่อในตัวหนังถึงแม้จะยังมีอยู่บ้างแต่เมื่อเทียบกกันแล้วถือว่าน้อยกว่ากันมากไม่ถึงกับที่ต้องให้หนังรีบจบจะได้ออกจากโรงซักที โดยรวมของหนังแล้วผมถือว่าแค่พอใช้ ส่วนที่ดีของหนังก็ยังคงเป็นความตระการตาของเครื่องแต่งกายและฉากต่างๆเหมือนเดิมซึ่งถือว่าทำได้ดีเยี่ยมแล้ว และตัวของนักแสดงทั้ง บุเรงนอง พระองค์ดำ และ มณีจันทร์ โดยเฉพาะบุเรงนองต้องยอมรับว่าเป็นตัวเด่นของหนังอย่างแท้จริงแสดงได้ประทับใจผมมาก แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ผมรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ อย่างตัวละครที่แสดงเป็นบุญทิ้งตามความรู้สึกผมการแสดงของเค้าออกจะแข็งเกินไปและขาดความมีชีวิตชีวาในตัวละครคิดว่าต้องปรับปรุงอีกมาก และอีกหลายๆฉากผมว่ายังขาดอารมณ์ร่วมและความสมจริง เช่นในฉากชนไก่หลายๆอย่างดูแล้วน่าจะทำให้เค้นอารมณ์ร่วมของคนดูได้ดีกว่านี้ และที่มาของไก่รวมทั้งการออกชนก็ดูสั้นและกะทัดรัดไปผมไม่เชื่อกับการได้มาแล้วนำไก่ไปชนเดิมพันเลยสองวันติดๆซึ่งไม่สมจริงในความรู้สึกของผม หรืออย่างฉากที่มณีจันทร์โดนงูกัดถ้าเน้นความสัมพันธ์ของพระองค์ดำกับมณีจันทร์หรือจะเล่นมุขผมว่าน่าจะใช้เหตุการณ์อื่นดีกว่า(ถ้าทั้ง2ฉากประวัติศาสตร์กล่าวไว้อย่างนั้นผมก็ขออภัย) และก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับที่ว่าน่าจะมีการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยที่เป็นเชลยกับพระองค์ดำให้มากกว่านี้ซึ่งทำให้ขาดความรู้สึกที่ว่าชาวบ้านรักและจงรักภักดีที่จะลุกขึ้นสู้และตายแทนได้จริงๆเหรอ โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าเป็นหนังที่ผมดูแล้วไม่เสียดายเงินที่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปดู แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าดีพอจนน่าประทับใจ


โดย: Perosto IP: 124.120.167.205 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:4:52:55 น.  

 
อยากดูเรื่องนี้มากเหมือนกันอ่ะค่ะ เพราะว่าโฆษณามานานแล้ว เสียดายแต่ที่อยู่ ตปท...


โดย: Mocha Macchiato วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:6:50:01 น.  

 
ยังไม่ได้ไปดูค่ะเรื่องนี้
แต่ว่าจะไปดูเหมือนกัน
ต้องรวบรวมพลพรรคก่อนค่ะ

มีความสุขทั้งวันนะค่ะ


โดย: fonrin วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:6:51:32 น.  

 
ชอบคุณน้ำผึ้งอ่ะ สวยมาก ๆ


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:7:53:26 น.  

 
เรื่องนี้ บอกตรงๆว่า ยังไม่อยากไปดูเลยครับ
ด้วยเหตุผลคล้ายคุณ aorta ตรงที่ผิดหวังกับสุริโยไทครับ ดูมันล้นๆ แล้วก็ชวนหลับจริงๆ

เสาร์ที่ผ่านมาจึงไปดู perfume แทน จากการอ่าน Blog นี้ คาดว่า เร็วๆ นี้อาจเปลี่ยนใจไปดูหนังเรื่องนี้ครับ


โดย: takky_sc IP: 203.155.94.129 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:8:45:51 น.  

 
ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ค่ะ ชอบคุณสมภพมาก ๆ เล่นได้ดีจริง ทำเอาเราหลงรักบุเรงนองไปเลย


โดย: ผู้สาวเมืองยศ วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:11:40:58 น.  

 
ความขัดแย้งภายในของสยามประเทศ เป็นชนวนนำมาซึ่งความเจ็บปวดจากการเสียกรุงครั้งนี้

ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเรียนรู้


โดย: mda IP: 203.159.0.10 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:12:50:54 น.  

 
งึมๆ ยังไม่ได้ดูค้าบ รอ K-day 80 บาท วันพุธเนี้ยะแหละ


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:12:52:29 น.  

 
คล้ายๆ จะคิดเหมือนกันแต่ไม่ใช่ แตกต่างเพราะรายละเอียด อาจจะเป้นเพราะว่า จุดูหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังประวัติศาสตร์ เน้นที่เนื้อหาและเหตุผลในการดำเนินไป ซึ่งก็มีผิดๆ พลาดๆ ส่วนการแสดง เทคนิค จุว่ามันก็ โอเค นะ ดูเพลินๆ

จุเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในบล็อกด้วยค่ะ ถ้าว่างๆ ก็แวะไปอ่านได้นะคะ อ้อ.... หนังสือของคุณ ซื้อไว้แล้วค่ะ /( นอกเรื่อง ที่กล่องคอมเมนท์ ภาพยนต์เรื่องนี้ ฉากนี้ ทำเอาจุเสียน้ำตา แบบว่า โดนใจ )


อ้อ จุลืมการลิงค์ไปเสียแล้ว เลยก๊อปมาให้ดูค่ะ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=juti&group=9


โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:14:02:02 น.  

 
เรารู้สึกว่ามันขาดๆ เกินๆ บอกไม่ถูก

การตัดต่อเพื่อ "ประหยัดเวลา" ด้วยการที่เอาภาพจับไปที่สีหน้าเลยขณะที่ยังเป็นบทสนทนาอยู่

การแฟลช (ที่เป็นแสงสีขาวๆ) มีเยอะจนน่าเบื่อค่ะ




แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องดูจนครบค่ะ

เอ..ตกลง ๓ ภาคเหรอคะ

เหมือนๆ อ่านที่ "ท่าน" เคยมาตอบ ท่านบอก ๒ ภาคนา


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:15:02:39 น.  

 
^
^
๓ ภาคจริงๆ ครับ (เหมือนเป็นหนัง Trilogy มหากาพย์ของฝรั่งเลยเนอะ) ...
ภาค ๑ องค์ประกันหงสา ฉาย 18 มกราคม (วันกองทัพไทยที่ประกาศใหม่)
ภาค ๒ ช่วงประกาศอิสรภาพ น่าจะฉาย 1 กุมภาพันธ์
ภาค ๓ ช่วงศึกยุทธหัตถี ฉาย 5 ธันวาคม
รายได้ทั้งหมด หลังจากหักค่าโรงหนังแล้ว "ท่าน" จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงต่อไปครับ


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:16:24:13 น.  

 
ภาคสามฉาย 5 ธันวาคมเลยเหรอครับ - -*
ทำไมมันไกลงี้อะ???

ผมว่าถ้าฉาย 5 ธันวาจริง ท่านมุ้ยน่าจะมีเวลามากกว่านี้ในการเก็บรายละเอียดนะครับ จะได้ลดความไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้ออกไปได้บ้าง โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะฉายวันกองทัพไทย เพราะว่าหนังอลังการและโปรโมตบ้านแตกขนาดนี้ไม่ต้องฉายให้ตรง event ไหนคนก็แห่ไปดูอยู่แล้ว (อีกอย่าง วันกองทัพไทยก็ไม่ได้หยุดให้ใครไปดูหนังด้วยอะ - -*)

โดยเนื้อเรื่องผมว่าก็โอเคแหละครับ การแสดงก็ดีเยี่ยมพอกันทั้งคุณสมภพ คุณศรัณยู คุณสันติสุข(คุณสมภพ เยี่ยมมาก!!) และน้องดาด้าสุชาดา เช็คลีย์ที่น่าร้ากน่าหยิก

ฉากตกใจ + ฉากจาพนม... เพื่อออออ - -* อันนี้เหวอมาก

คุณเกรซ แก่เกินไปสำหรับบทพระสุพรรณกัลยาครับ ไม่ได้ว่าเรื่องการแสดงเลยนะ แต่ว่าแก่เกินไปจริงๆ (แถมคุณปวีณายังเล่นเป็นพี่น้องกับคุณน้ำผึ้งอีก หน้าตาไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยครับ)

ฉากที่ใช้เด็กๆ หลายฉาก ยังให้อารมณ์เหมือนละครทีวีแนววัยซนคนมหัศจรรย์

และ... น้องบีเจที่เล่นเป็นพระนเรศวร (จำชื่อจริงไม่ได้ซะที สุ อะไรซะอย่าง) ที่ผมชอบแววตาดุดันและสีหน้านิ่งๆของเขามากๆ แต่ว่าการพูดภาษาโบราณยังแข็งเกินไปนิด ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่านี่แหละคือมาดของผู้นำ มาดของว่าที่กษัตริย์ มาดของคนในวังที่ต้องไว้กิริยา แต่ก็คิดว่าน่าจะพูดได้คล่องปากกว่าที่เป็นอยู่ในหนัง

นอกจากความไม่เป็นธรรมชาติที่ว่าแล้ว อีกอย่างที่ค่อนข้างขัดใจคือดนตรีประกอบครับ ที่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับหนังสงครามแอ๊คชั่นทั่วๆไปของฮอลลีวู้ด (ซึ่งผมก็รู้สึกมาตั้งแต่หนังตัวอย่างแล้ว) และอารมณ์โดนเบรกมากมายเมื่อเพลง end title ดันเป็นเพลงภาษาอังกฤษซะนี่!


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:19:51:51 น.  

 
ยังไม่ได้ดู แต่ขอเข้ามาอ่านก่อนละกันนะครับ
ขอบคุณนะครับ


โดย: T_Ang วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:21:08:46 น.  

 
เห็นเป็นเช่นนี้เหมือนกันครับ

ถ้ามีโอกาส จะเข้าไปชมอีกสักรอบ เพราะชอบบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ที่ฉายเรื่องนี้ เหมือนดูหนังกลางแปลงในห้องแอร์ ที่มีเก้าอี้นุ่มๆให้นั่ง และที่สำคัญไม่มียุงกัด


โดย: mrvee IP: 203.113.80.12 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:21:43:14 น.  

 
เมื่อวันก่อนน้องชวนไปดูหนัง .. พอเราถามว่าเรื่องอะไร น้องตอบว่าชื่อเรื่องนี้แหละ เราหัวเราะก๊ากเลย(ประมาณว่าชวนไปดูหนังอะไรเนี่ย)

พอดูจบแล้วก็ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่นะ (เวลาผ่านไปไวกว่าที่คิด แต่ตอนหลังๆก็..อืม เมื่อไหร่จะจบซักทีนะ) ตอนเราดูนั้นไม่รู้ว่าภาค 1 นี้จะมีแต่ตอนพระองค์ดำเป็นเด็กอย่างเดียว ก็เฝ้ารอเมื่อไหร่จะโตซักที แหะๆ

มณีจันทร์น่ารักจริงๆ แม่เราชมเปาะเลยค่ะ

ท่านบุเรงนองนี่ตอนเรียนประวัติศาสตร์ คุณครูเราก็ออกจะให้เครดิตท่านมากอยู่แล้วว่าเป็นกษัตริย์ที่ทั้งเก่งและเป็นสุภาพบุรุษ เราจึงออกจะชอบมาตลอด ..มาดูเรื่องนี้ก็ ขำจริงๆดังคุณผมฯว่าค่ะ "หรือเพราะพี่นั้นหล่อ" ๕๕ จังหวะเด็ดจริงๆ

สรุปว่าสนุกตรงช่วงที่ไม่ได้เล่าประวัติศาสตร์เนอะ ตรงที่เล่าๆๆตัดฉากๆตัวละครเยอะๆแบบสุริโยไท นี่ดูไม่รู้เรื่องหลายทีทีเดียว


โดย: ลูกหนอน. วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:9:44:13 น.  

 
ดูมาแล้วค่ะ สนุกดีนะชอบมากๆเลย

ชอบบุเรงนองมากๆเลย


โดย: ต้นนุ่น IP: 124.121.74.199 วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:20:03:56 น.  

 
เพิ่งไปดูมาเหมือนกันค่ะ เฉยๆ เหมือนดูประวัติศาสตร์ไทยโดยไม่ต้องอ่าน แต่คุณผมอยู่ข้างหลังคุณ วิจารณ์ได้ตรงใจมากค่ะ"ความไม่เป็นธรรมชาติ" เห็นด้วยมากๆ นอกจากจะได้ขำบทเกี้ยวสาวของพระเจ้าบุเรงนองแล้ว ก็ได้ขำความไม่เป็นธรรมชาติของตัวละครนี่แหละ(เป็นคนเส้นตื้นอ่ะนะ) ยังงัยก็รอดูภาคต่อไปค่ะ ปล. อีกอย่าง ไม่ได้อยากไปดูเพราะอยากดูมาก แต่ไปดูเพราะ "ต้องดู " คำนี้ใช่เลย


โดย: helentha IP: 203.155.28.9 วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:10:36:13 น.  

 
อ่านมาเรื่อยๆ ก็เฉยนะครับ มาตกใจเรื่อง Pulp นี่ล่ะ เซ็งเลย อย่างนี้ก็ไม่มีหนังสือหนังเล่มไหนที่กล้าพูดเกี่ยวกับหนังไทยตรงๆ แล้วซิ...เศร้า เซ็ง


โดย: Ten Fifty-Nine IP: 66.214.171.133 วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:12:04:34 น.  

 
สำหรับไมใช่หนังแย่นะครับ แต่ยอมรับจริงๆ เฟดขาวที่ใช้ ทำเอาผมไข้ขึ้นเลย

ไม่ถูกโรคมาตั้งแต่สมัยตัดต่อตอนเรียนแล้ว ดูแล้วไม่สบายตามากๆ (สำหรับผม)


โดย: เอกเอง IP: 58.8.181.72 วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:20:52:00 น.  

 
+ เพิ่งได้ดูมาเมื่อวาน ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคห. ของคุณ จขบ. และหลายๆ ท่านข้างบนๆ ที่ว่ากันมา คือเรื่องนี้มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย ... ถ้าเทียบกับ 'สุริโยไท' นั้น เรื่องนี้บทดีกว่าจริงๆ (โดยเฉพาะตอนเกี่ยวกับเรื่องราวของคนที่ต้องการโฟกัส ที่ไม่ใช่ฉากรบในประวัติศาสตร์) เรื่องนี้บทดูเป็นเอกภาพ ไม่กระจัดกระจาย การเล่าเรื่องและการแทรก "ประโยคประวัติศาสตร์" และ "เรื่องราวในตำนาน" ก็ทำได้ค่อนข้างดี ... ที่สำคัญคือ มี "ความลงตัว" และ "ความสนุก" ชวนให้น่าติดตามมากกว่า
+ ภาคนี้ บุเรงนองของคุณสมภพ เป็นตัวขโมยซีนจริงๆ ครับ มีมิติ ดูเป็นสุภาพบุรุษนักรบ ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม (บทเข้าพระเข้านาง ทำได้ฮามั่กๆ) / เด็กๆ ก็เล่นได้เป็นธรรมชาติดี ... น้องที่เล่นเป็นองค์ดำ แคสมาได้ดีทีเดียว ดูมีมาดและมีบารมีอยู่ในตัว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นเด็กซนๆ อยู่เช่นกัน ... น้องมณีจันทร์ โตขึ้นมาต้องสวยน่ารักแหงมๆ เยย (อีกแว้ว) ... ส่วนน้องบุญทิ้ง ถึงแม้หลายคนจะติในการแสดง แต่เค้าก็เป็นตัวแทรกมุกตลก ที่ช่วยทำให้บรรยากาศในหลายๆ ฉากดูผ่อนคลายยิ่งขึ้น

+ หมดจากคำชม ก็มาถึงคำติกันบ้าง ... ส่วนใหญ่ก็คงคล้ายๆ กับที่เห็นกันนั่นแหละครับ
- การตัดซีนโดยใช้แฟลชขาวบ่อยๆ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนดูละคร และทำให้อารมณ์ค่อนข้างสะดุด
- เรื่องการแคสพระสุพรรณกัลยาเป็นคุณเกรซ เห็นด้วยเช่นกันว่าดูกระโดดเกินไป เพราะช่วงที่พระนเรศวรอยู่พม่า ก็แค่ 6 ปีเอง ทำไมตอนไปพี่สาวยังดูเหมือน 14-15 อยู่เลย ผ่านไปแค่ไม่เกิน 6 ปี ถึงได้ดู 'แก่' ขึ้นได้ขนาดนั้น ... ไม่ถึงว่ามาดเธอสมควรได้เป็น ... แต่น่าจะหาคนที่มีอายุอ่อนลงมาเยอะๆ หน่อย เพราะพระนเรศวรท่านยังไม่โตเลย
- พระราเมศวร (คุณสถาพร) ที่เป็นโอรสองค์โตที่บุเรงนองนำมาไว้ที่กรุงหงสาเป็นองค์ประกันเช่นกัน ... ทำไมบทถึงหายสาบสูญไปเลย ผมจำประวัติศาสตร์ไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเช่นไร ... แต่อย่างน้อยถ้าถึงแก่พิราลัยก็น่าจะพูดถึงบ้าง
- ตอนที่ออกญาจักรี (คุณไพโรจน์) ไปขอให้พระวิสุทธิกษัตรี (คุณปวีณา) ช่วยทรยศต่อชาติโดยการลอบใส่กระสุนดินดำลงในโลงศพ ... ถ้าดูตามความรู้สึกแล้ว เธอไม่น่าตัดสินใจทำได้ ... เพราะเธอแค้นพระสวามี (คุณฉัตรชัย) มาตั้งแต่ที่ยอมให้พรากองค์ดำ กับเป็นต้นเหตุแจ้งข่าวจนทำให้น้องสาวเธอ (คุณน้ำผึ้ง) ต้องฆ่าตัวตายมาแล้ว ... อีกอย่างถ้าทำ เธอก็น่าจะรู้ว่าต้องเสียกรุงแน่ ... และพี่ชายเธอ (พระมหินทร์-คุณสันติสุข) ก็ต้องพบจุดจบแน่นอน ... ระหว่างผัวที่กำลังแค้นอยู่ (และก็น่าจะรู้ว่าบุเรงนองไม่ทำอันตรายเค้าแน่ๆ) กับพี่ชายตัวเองและราชวงศ์ข้างตัวเอง (สุพรรณภูมิ-ที่ไม่ใช่ข้างสามี-ราชวงศ์พระร่วง) ... เธอน่าจะเลือกพี่ชายและราชวงศ์ตัวเองมากกว่านะครับ
- "ฉากจา พนม" นั่น ฮากระจายเหมือนกัน คิดได้ไงเนี่ย - -'
- เพลงปิดท้ายที่เป็นเพลงฝรั่งนั่น ให้ความรู้สึก 'โดด' สุดๆ เช่นกันครับ ... ไหงมาตกมาตายตอนท้ายได้หว่า?

+ ดูจาก timeline แล้ว ภาค 2 นักแสดงเด็กทั้งหมดน่าจะถูกเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ยกชุด ... และถ้าจำประวัติศาสตร์ไม่ผิด ตอนเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๑ นี้จะเป็นระยะเวลา 15 ปี ... โดยในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นคือ
- พระนเรศวรฯ ถูกส่งขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกแทนพระราชบิดาที่ลงมาเป็นกษัตริย์ (ที่พม่าแต่งตั้ง) ที่อยุธยา
- พระมหาธรรมราชา (คุณฉัตรชัย) สวรรคต ... พระนเรศวรขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยองค์ต่อมา
- บุเรงนองสวรรคต (คงเป็นกลางๆ ภาค ๒) ... นันทบุเรง (คุณจักรกฤษณ์) ขึ้นเป็นพระเจ้าหงสาฯ องค์ต่อมา
- ลวงพระนเรศวรไปลอบปลงพระชนม์ ... แต่มหาเถรคันฉ่อง (คุณสรพงศ์) ช่วยบอกให้ทราบ ... ไทยจึงถือโอกาสตัดไมตรีและประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง
- เพราะฉะนั้นก็ต้องมาดูกันต่อไป ว่านักแสดงที่ถูกเปลี่ยนตัว และมีคนใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามานั้น จะสามารถ 'เอาหนังอยู่' เหมือนในภาค 'องค์ประกันหงสา' นี้หรือไม่ครับผม


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:10:16:06 น.  

 
ลืมไปอีกนิด ... ถ้าคิดจริงๆ แล้ว ตอนที่รู้ตัวไส้ศึกแล้วว่าเป็นใคร พระวิสุทธิกษัตริย์ น่าจะแจ้งให้พระมหินทร์รู้ด้วยซ้ำ ... เพราะตอนที่ทหารไปทูลไม่ทรงเชื่อ ... แต่ถ้าน้องสาวมาทูลเอง น่าจะเชื่อได้ ... ทำไมถึงปล่อยไว้ให้บริหารกองทัพจนกรุงแตกได้เช่นนั้นครับ ... มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย


โดย: บลอทช์ยู IP: 202.69.140.233 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:10:28:35 น.  

 
เรื่องพระวิสุทธิกษัตริย์นี่ผมมองว่ามันอาจเป็นความไม่เท่าเทียมของชายหญิงในยุคโน้นมั้งครับ เกิดเข้าไปบอกพระมหินทร์ก็อาจจะโดนตอกกลับมาว่า "ผู้หญิงจะมารู้เรื่องอะไรกับการเมืองการศึก"


โดย: nanoguy IP: 203.113.34.7 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:14:03:59 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะครับ แต่คิดว่า พรุ่งนี้คงได้ไปดูแน่ ๆ

2 ภาค ได้มีการประกาศวันลงฉายที่แน่นอนแล้ว แต่ถ้าภาค 3 รอไปฉายถึง 5 ธันวาโน้น ผมว่า ทำไมไม่ฉาย 2 ภาคแรก กลางปีเลยล่ะครับ เพราะไม่งั้นเราคงดูเหมือนกับมันยังไม่จบและดูเหมือนขาด ๆ ไป

ขนาด The Matrix ภาค 3 ยังห่างกันแค่ 6 เดือน หรือไม่ถึงดีซะด้วยซ้ำ ....

ขอชมว่า พี่เขียนคอมเมนต์ได้เจ๋งมาก ๆ เลยครับ ผมอยากเขียนได้แบบพี่จัง


โดย: ... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... IP: 58.9.55.241 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:15:22:27 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะครับ แต่คิดว่า พรุ่งนี้คงได้ไปดูแน่ ๆ

2 ภาค ได้มีการประกาศวันลงฉายที่แน่นอนแล้ว แต่ถ้าภาค 3 รอไปฉายถึง 5 ธันวาโน้น ผมว่า ทำไมไม่ฉาย 2 ภาคแรก กลางปีเลยล่ะครับ เพราะไม่งั้นเราคงดูเหมือนกับมันยังไม่จบและดูเหมือนขาด ๆ ไป

ขนาด The Matrix ภาค 3 ยังห่างกันแค่ 6 เดือน หรือไม่ถึงดีซะด้วยซ้ำ ....

ขอชมว่า พี่เขียนคอมเมนต์ได้เจ๋งมาก ๆ เลยครับ ผมอยากเขียนได้แบบพี่จัง


โดย: ... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... IP: 58.9.55.241 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:15:22:41 น.  

 
เพิ่งไปดูมาเมื่อวานนี่เองค่ะ ... โดยทั่วไปรู้สึกโอเค หนังไม่ได้น่าเบื่อเลย

อ่านคำวิจารณ์แล้วรู้สึกว่า มีส่วนที่รู้สึกคล้ายๆ กันเหมือนกันนะคะ ตรงข้อไม่ชอบ ... แสงวาบขาวเนี่ย ทำเอาปวดตาจริงๆ
ส่วนที่ชอบก็คือเด็กๆ ทั้ง 3 คนค่ะ รู้สึกว่าน้องๆ น่ารักมากๆ ยิ่งน้องที่เล่นเป็นพระองค์ดำ เขาเล่นได้ดูแล้วเชื่อว่า เด็กคนนี้จะโตขึ้นมาเป็นคนมีอำนาจบารมีจริงๆ
ส่วนบทของบุเรงนองเนี่ยต้องขอยกนิ้วให้เลยจริงๆ ค่ะ (แต่แอบกระซิบเพื่อนว่าตอนฉากจีบสาวๆ เนี่ย ขอเอาบุเรงนองคนก่อนมาเล่นได้มั้ย ฉันจะเชียร์บุเรงนองสุดใจขาดดิ้นเลย )

อาทิตย์หน้าเล็งไว้ 3 เรื่อง กระเป๋าคงแฟบพอดี .. แล้วจะแวะมาเยี่ยมบล็อกอีกนะคะ


โดย: kenmania วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:4:43:45 น.  

 
ไม่ชอบเพลงประกอบบางช่วงที่มีเสียงร้อง อา.......... อา...........
ฟังดูแล้วออกเป็นแขก ๆ ไม่เป็นไทย


โดย: ดิ้ว IP: 58.9.25.149 วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:6:47:34 น.  

 
ฉากที่พระองค์ดำไปช่วยบุญทิ้งที่สะพานนี่ชวนให้นึกถึงจา พนมจริงๆเลยค่ะ ตอนนั้นเรานึกในใจว่านี่องค์ดำหรือองค์บากกันแน่เนี่ย

รู้สึกเสียดายซีนอารมณ์หลายๆซีนที่น่าจะมีแต่ไม่มี เช่นตอนที่แต่ละคนต้องจากเมืองไทยไปอยู่พม่าทั้งพระองค์ดำ พระสุพรรณกัลยา รู้สึกว่าน่าจะมีบทร่ำลากับพ่อแม่บ้าง รู้สึกว่ามันห้วนๆไปหน่อยค่ะ

เราชอบบุญทิ้งนะคะ น่ารักดี


โดย: azzurrini วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:20:07:22 น.  

 
บังเอิญเจอเวบนี้เข้า
โชคดีมากๆ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ


โดย: หวาน IP: 202.12.74.5 วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:13:35:17 น.  

 
อีกคนที่จะลืมไม่ได้ เรื่องการแสดงที่รู้สึกเนียนดีจิงๆคือ บทของพระมหาเถรคันฉ่องหละ รู้สึกเป็นพระนักรบ ได้อย่างดีจิงๆ


โดย: ปิ๊งป่อง IP: 161.200.255.162 วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:15:09:31 น.  

 
เห็นด้วยเลยครับ ผมก็ชอบเรื่องนี้มากกว่าสุริโยทัย


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:0:21:59 น.  

 
เรานะ นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว หลายตอนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นตอน ที่คุณปวีณาร้องออกมาว่า "พี่ชายเราตาย" ทั้งๆที่สมเด็จพระมหินทร์ฯเป็นน้อง + ท่าตกใจอันคิกขุของคุณเกรซ + ท่า จาพนม ของสามเณรบีเจที่ห่มจีวร แต่กางขาได้ 180 องศา
และยังไม่รวมถึง การตัดไปมา ด้วยแสง วูบวาบ เหมือน ดูละครช่อง 7 เวลา พระเอกคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 3 ตอน ที่แล้ว
แต่โดยรวม ก้อ ดีและขอชื่นชมทีมผู้สร้างค่ะ คุณพ่อ คุณแมดูแล้วก้อชอบ เราก้อเลยรู้สึกดีที่ได้พาท่านมาดู

โดย: หนูพิม IP: 199.40.204.246 วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:16:11:22 น.  

 
ประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้มากค่ะ พอดูจบแทบจะอดทนรอดูภาค 2 ไม่ไหว ชอบทั้งบทภาพยนตร์ที่ชวนติดตาม และมีมุกตลกๆ แทรกอยู่ตลอด และดาราเด็กแสดงได้ดีน่ารักมากๆ

มีข้อติงเล็กน้อย คือช่วงอายุของพระองค์ดำและพระสุพรรณกัลยาดูต่างกันเยอะเกินไปหน่อยค่ะ


โดย: แมวเมิน IP: 161.200.255.162 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:42:25 น.  

 
ไม่ประทับใจเท่าไหร่ บทเหมือนจะหลง ๆ คล้าย ๆ กับสุริโยทัย แม้จะดีขึ้นบ้าง คือ เข้าประเด็นขึ้น แต่ก็ยังกว้าง ๆ ไปหน่อย ดูแล้ว บางทีรู้สึกว่า มันนานจัง เหมือนหยิบเอาประวัติศาสตร์มาตัดออกเป็น 3 ท่อน แล้วหยิบเอามาเล่นเลย ขาดการปรับแต่งให้สมบูรณ์กับเวลา 2-3 ชม. คือ คล้าย ๆ จะเกลี่ยหนังได้ไม่เท่ากันกับเวลา

เรื่องจุดให้จับผิด ทั้งความเด็ก, แก่ พี่, น้อง อะไรพวกนั้น ผมไม่นับ เพราะเป็นเรื่องยิบย่อย ไปแก้กันเอง เอาออกง่าย แต่อยากพูดถึงอะไรที่มันลึกกว่านั้น ก็คือ เรื่องของ บท

หนังเหมือนแค่เริ่มขึ้นมา แล้วก็ย้ายไปโฟกัสที่คนนู้นบ้าง คนนี้บ้าง จนบางทีทำให้ลืมตัวสำคัญของเรื่องอย่างพระนเรศฯ แล้วก็แค่รอให้เนื้อเรื่องพาไปสู่การหนีของพระนเรศฯ ซึ่งก็ดูไม่สมเหตุสมผล อยู่ ๆ ก็แค่พูดอะไรออกมาลอย ๆ เรื่องของ action นี่แทบจะสอบตกกันเลย ซีนสงครามไม่ได้พัฒนากว่าสุริโยทัย แทบยังจะห่วยกว่าอีก

ฉากย่อย ๆ อย่างการใช้ไม้เท้าขว้างเคียวของพระคันฉ่อง ก็เกิดจากความจงใจ ผมก็รู้ แต่มัน "เกิน" ไปหน่อยในความรู้สึกของผม ฉากผู้ร้าย 2 คนมาทำร้ายพระนเรศฯ ที่พระนเรศชนะบนสะพาน ก็ดูเป็นไปไม่ได้ เด็กอ้วน ๆ อย่างภาพของพระนเรศฯในหนัง มันขัดกับความเก่งที่เอาชนะผู้ชายตัวใหญ่ ๆ 2 คนได้ และก็ยังมาดึงไอ้ 2 ผู้ร้ายที่ว่านี่ ที่กำลัง "จมน้ำ" ขึ้นมาได้เฉย เด็ก 2 คน ดึงผู้ใหญ่(ที่ตัวอย่างกับควาย) ที่จมน้ำ ง่ายงั้นเชียวหรือ? ถ้าจะให้ทำใจได้มากขึ้น อาจจะเอาตัวไปยันกับต้นไม้ หรืออะไรประมาณนั้น เพื่อสร้างแรงรั้งไว้บ้าง

พอ!


โดย: อาร์ท_ศราวุธ IP: 203.158.118.15 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:41:19 น.  

 
ไปดูมาแล้ว แต่ว่าไม่ได้สังเกตอะไรมากมาย ไม่ได้คิดมาก คิดเยอะอะไร ดูแบบสบาย ๆ ก็สนุกมาก แล้วก็มีแอบซึ้งบ้างเป็นพัก ๆ ดูแล้วแอบแค้นพม่าว่าเจ้าคารมและเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่จ้อบเยย โกรธธ


โดย: praewjang IP: 202.28.181.9 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:33:11 น.  

 
ชอบน้องดาด้าค่ะ (มณีจันทร์ ตอนเด็ก) น่ารักดี อิอิ
มีเรื่องผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นคือ
"เสด็จพี่ และ เสด็จน้อง "จะเอาไงแน่
น้องที่เล่นเป็นพระองค์ดำเรียกเสด็จน้า(แสดงโดยสันติสุข)ก้อต้องน้องแม่สิ ส่วนตัวแม่ (ใครแสดงจำไม่ได้) กลับเรียกเป็น เสด็จพี่ จะเอาไงแน่ ??
ไม่ชอบตอนตัดฉากที่เป็นสีขาวเหมือนกันค่ะ มันเยอะจนน่ารำคาญ

อ้อ พระเจ้าบเยงนอง แสดงฮาดีค่ะ ที่นั่งดูก่ะเพื่อนจะแบบขำๆ ตอนที่เรียกพระสุพรรณฯเป็นเสด็จน้อง แล้วแทนตัวเองว่าพี่ นั่งดูกันก้อจะแบบ โอ้วว เสด็จพี่ พี่พ่อหล่ะสิ หุหุ หน้าตากรุ้มกริ่มทีเดียว อิอิ จะรอดูภาค 2 ค่ะ


โดย: wing[s] IP: 125.24.132.6 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:27:50 น.  

 
หนุกดีนะเราว่า ก้อปลุกกระแสความรักชาติในตัวคนไทยได้ดี สื่ออารมณ์ความรู้สึกได้สุดๆอ่ะ ดูไปก้ออย่าซีเรียสมาก ข้อผิดพลาดมันต้องมีชัวร์ๆอยู่แล้ว แต่คือบางคนมันเป็นอย่างงี้ไง ชีวิตนี้ไม่คิดอะไรแร้ว นอกจากตั้งหน้าตั้งตารอติคนไทยด้วยกันอย่าเดียว คำว่าหนังไทยดีไม่มีอยู่ในหัวสมองพวกเพ่แก หลงฝรั่งจนหน้ามืดตามัว อะไรที่เป็นต่างประเทศดีโม้ด ไทยทำแค่ไหนก้อไม่ได้เกิดร้อกกก... ชาติจะล่มจมเพราะคนพวกนี้แหละ (อย่าว่าแต่หนังฝรั่งเร้ย อึ๊ฝรั่งมันยังอยากจะกิน)


โดย: 2-ชาวโยเดีย IP: 210.4.139.129 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:15:39 น.  

 
นพชัย (เก้า)เล่นเป็นบุญทิ้งเนี่ยเท่-หล่อมักมัก


โดย: lk_btpingping IP: 58.9.162.207 วันที่: 20 มีนาคม 2550 เวลา:11:00:03 น.  

 


โดย: บวรพจน์ พยาไชย IP: 58.10.12.85 วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:15:48:44 น.  

 
หนังสนุกมากเลยครับ ดูแล้วยิ่งอยากดูภาค 2
วิจารณ์ได้ดีครับ


โดย: donkiyote IP: 125.26.233.27 วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:16:09:49 น.  

 
- หนังยังขาดความตรึงใจไปพอสมควรไม่ทำให้
เกิดความรักต่อตัวละครที่แสดงเป็นบุคคลต่างๆ
ที่มีจริงในประวัติศาสตร์ ทั้งสุริโยทัย และ
นเรศวร ตัวละครเล่นใช้ได้ แต่เอาภาพมาตัดต่อ
อารมณ์กลับกระโดดไปกระโดดมา ทั้งคำพูดและสีหน้า ดนตรีและแบคกราว์ บางฉากดังไป
บางฉากไม่ค่อยเข้าเนื้อเรื่อง
- ฉาดมืดที่ใช้ความเงียบ เช่นพระนเรศ นำทัพเข้าตีหลังเมืองคัง มีคบเพลิงสว่างมากผิดปกติ ข้าศึกน่าจะเห็น พอคบเพลิงดับหมด บรรยากาศดีกว่า
- ฉากบางฉากเล็กไป ศึกครั้งนั้นบอกคนดูว่าพม่ายกทัพมาเท่าไหร่ แต่ฉากจริงมุมเล็กไปไม่ค่อยตื่นตาเท่าที่ควร
- หนังจบแล้วไม่มีอารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อวีรชนและกษัตริย์ไทยเลย จบแล้วอารมณ์หยุดตามหนัง
- ทำให้คนดูมีอารมณ์คล้อยตามเรื่องความรักชาติ
น้อยไป
- ที่นั่งหัวเราะเพราะว่าคำพูดตลกตามเนื้อเรื่องมากกว่า
* บางระจันเดินเรื่องและต่อเนื่องได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเหนือกว่า
*ยกตัวอย่างหนังเทศ นิดนะ เกรดดิเอเตอร์
เขาเดินเรื่องดี อารมณ์ต่อเนื่อง เนียนตา
หนังจบแล้วอารมณ์ยังรักพระเอก และสงสาร
อยู่เลย เขาทำให้คนดูมีอารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อตัว
ละครใช้ได้ดีทีเดียว
*นเรศวร1 สร้างได้ดีกว่าสุริโยทัย
*นเรศวร2 สร้างได้เนียนกว่า ภาค1
*หวังว่าภาค3 ต้องดีและเนียนกว่าทุกภาค
*หรือจะสร้างเรื่องอื่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เอา 4 เรื่องมาทำการบ้านมากๆ ต่อไปหนังไทยประเภทนี้อาจดีในระดับสากล
*เอาเป็นว่าจะสนับสนุนหนังไทยประเภทนี้ทุกเรื่องเพราะเอาตัวหนังสือในประวัติศาสตร์จริง
มาถ่ายทอดเป็นภาพต่อเนื่องให้คนดู


โดย: กรุงเก่า IP: 124.120.187.216 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:22:17:41 น.  

 
- หนังยังขาดความตรึงใจไปพอสมควรไม่ทำให้
เกิดความรักต่อตัวละครที่แสดงเป็นบุคคลต่างๆ
ที่มีจริงในประวัติศาสตร์ ทั้งสุริโยทัย และ
นเรศวร ตัวละครเล่นใช้ได้ แต่เอาภาพมาตัดต่อ
อารมณ์กลับกระโดดไปกระโดดมา ทั้งคำพูดและสีหน้า ดนตรีและแบคกราว์ บางฉากดังไป
บางฉากไม่ค่อยเข้าเนื้อเรื่อง
- ฉาดมืดที่ใช้ความเงียบ เช่นพระนเรศ นำทัพเข้าตีหลังเมืองคัง มีคบเพลิงสว่างมากผิดปกติ ข้าศึกน่าจะเห็น พอคบเพลิงดับหมด บรรยากาศดีกว่า
- ฉากบางฉากเล็กไป ศึกครั้งนั้นบอกคนดูว่าพม่ายกทัพมาเท่าไหร่ แต่ฉากจริงมุมเล็กไปไม่ค่อยตื่นตาเท่าที่ควร
- หนังจบแล้วไม่มีอารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อวีรชนและกษัตริย์ไทยเลย จบแล้วอารมณ์หยุดตามหนัง
- ทำให้คนดูมีอารมณ์คล้อยตามเรื่องความรักชาติ
น้อยไป
- ที่นั่งหัวเราะเพราะว่าคำพูดตลกตามเนื้อเรื่องมากกว่า
* บางระจันเดินเรื่องและต่อเนื่องได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเหนือกว่า
*ยกตัวอย่างหนังเทศ นิดนะ เกรดดิเอเตอร์
เขาเดินเรื่องดี อารมณ์ต่อเนื่อง เนียนตา
หนังจบแล้วอารมณ์ยังรักพระเอก และสงสาร
อยู่เลย เขาทำให้คนดูมีอารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อตัว
ละครใช้ได้ดีทีเดียว
*นเรศวร1 สร้างได้ดีกว่าสุริโยทัย
*นเรศวร2 สร้างได้เนียนกว่า ภาค1
*หวังว่าภาค3 ต้องดีและเนียนกว่าทุกภาค
*หรือจะสร้างเรื่องอื่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เอา 4 เรื่องมาทำการบ้านมากๆ ต่อไปหนังไทยประเภทนี้อาจดีในระดับสากล
*เอาเป็นว่าจะสนับสนุนหนังไทยประเภทนี้ทุกเรื่องเพราะเอาตัวหนังสือในประวัติศาสตร์จริง
มาถ่ายทอดเป็นภาพต่อเนื่องให้คนดู


โดย: กรุงเก่า IP: 124.120.187.216 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:22:50:01 น.  

 
ความคิดเห็นโดยรวมที่อ่านมาผมเข้าใจความรู้สึกของทุกท่านที่ได้แสดงความรู้สึก เคยดูสุริโยทัยแล้ว แต่ตอนนี้ไม่กล้าดูนเรศวรไม่ว่าจะภาคใหน แต่ถึงอย่างไรหนังควรจะให้ความรู้สึกทึ้งในความเป็นไทยมากกว่านี้ (สุริโยทัย) ผมชมว่าฉากในวังหรือเขตพระที่นั่งสรรเพชร์มหาปราสาททำได้ดีแต่นำเสนอมิติและมุมมองไม่กว้างพอ แคบไป ออกจากวังผมว่าไปไม่ถึง ร้อยเมตรจากพระราชวังความเจริญทางอารยธรรมในสมัยนั้นก็ไม่นำเสนอเห็นมีวัง และทุ่งนาป่าที่ปนอยู่ด้วยกันผมเชื่อว่ากรุงอโยธยานั้นมีความยิ่งใหญ่มากกถ้าจะออกจากกรุงอโยธยาคงต้องขี่ม้ากันเป็นวันเพราะเมืองเขาอณาเขตกว้างขวางมากบ้านเรือน.วัดต้องมีเป็นล้านๆหลังแต่ไม่ค่อยนำเสนอให้สมพระเกีตรย์ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในสมัยนั้นอันตรายมากและยิ่งส่งออกโกล์อินเตอร์ด้วย เสียดายเงินที่สร้างต้องที่ไปเสียจุดอื่นๆเสียหมด มันน่าจะอลังการมากกว่านี้เมืองสยามที่ต่างชาติเขาชื่นชมและบันทึกไว้ก็มีภาพเขียนฝาผนังก็มี ภาพประชาชนอยู่ตามซุ้มบานเรือนอย่างมีความสูข ถ้าทำได้เหมือนภาพเขียนฝาผนังก็คงจะดีน่าจะแทรกเนื้อหาเหล่านี้จะได้สมพระเกีตริย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย


โดย: ชาญ IP: 203.209.41.225 วันที่: 27 กันยายน 2551 เวลา:15:26:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.