ตามที่ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า จุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัด โครงการบำเพ็ญพระกุศลการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติวันที่ 4 กรกฎาคม อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2552 สำหรับโครงการฯในปีนี้ จะจัดขึ้น 2 แห่งด้วยกัน คือ โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก กลุ่มที่ 2 ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กรุงเทพฯ และโครงการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังมะเร็งตับ ที่ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิทยภูมิ ภัทรนุธราพร ผอ.โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้มุ่งหวังให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ไม่เหมาะสมและให้ความสำคัญของการตรวจคัดกรอง เพราะการคัดกรองสามารถตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งจะนำผล ไปสู่การรักษาที่ดีกว่าและหายขาดได้ โดยในโครงการแรกเลือกคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเป็นโรคมะเร็งที่พบมากใน 3 อันดับแรกของไทยทั้งเพศชายและหญิง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก กลุ่มที่ 2 นี้ รับจำนวน 1,500 ราย ให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้มีอายุ 50-65 ปี ที่ไม่มีประวัติเป็นโรคมะเร็งและไม่เคยได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในการคัดกรองนี้ทำด้วยวิธีการตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธีพิเศษทางชีวเคมี มาช่วยในการคัดกรองโรค ซึ่งเมื่อเข้าร่วมโครงการแล้วจะมีการตรวจซ้ำในเดือน 3, 6 และ 12 และจะมีการตรวจติดตามผลทุก 1 ปี จนครบ 5 ปี จากนั้นผู้มีความเสี่ยง หรือผู้ที่ตรวจได้ผลบวก จะได้รับการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ต่อไป ซึ่งผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 0-2576-6600-5 หรือ www.cccthai.org
ผอ.รพ.จุฬาภรณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนโครงการคัดกรองและเฝ้าระวังมะเร็งตับจัดทำขึ้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ทั้งนี้เพราะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะมะเร็งตับ ทั้งมะเร็งเซลล์ตับ ที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง และโรคมะเร็งท่อน้ำดี ที่มีสาเหตุมาจากการเป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ โดยได้เริ่มโครงการไปแล้วในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยการให้บริการตรวจประชาชน อ.พนมไพร จำนวน 1,000 คน ที่มีอายุ 55-65 ปี การคัดกรองทำด้วยการตรวจเลือดและการตรวจคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ สำหรับผู้ที่พบข้อบ่งชี้ที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งและจะเฝ้าระวังโรคต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งโครงการนี้จะดำเนินการขยายไปตลอดทั้งปี เพื่อครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงทั้งอำเภอ.