มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( ตอนจบ ) ![]() เวลา 03.00 น. เสียงกริ่งโทรศัพท์ morning call ดังขึ้น สร้างความเสียดายน้องนอนอันแสนสุขที่มีเวลาเอนหลังได้ไม่ตลอดคืน ต้องจำใจลุกขึ้นไปล้างหน้า อาบน้ำ ก่อนที่จะมารวมพลกันยังห้องโถงชั้นล่างของโรงแรม เพื่อเดินทางไปยังวัดพระมหามัยมุนี ต่อไปได้ทันตามกำหนด ![]() งานนี้ ต้องขอชื่นชมลูกทัวร์สุภาพสตรีซึ่งมีจำนวนกว่า 90% ที่ร่วมใจกันรักษาเวลา จนทำให้เดินทางมาถึงวัดในเวลา 03.30 น. เป็นคณะแรกก่อนใครๆ ทำให้สามารถเลือกสถานที่เหมาะๆ เป็นแถวต้นๆ สำหรับการชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีอีกด้วย ถาดบูชาข้าวพระพุทธและดอกไม้ต่างๆ นั้น พอถวายเสร็จ จะมีเจ้าหน้าที่ของวัดมาเก็บเอง ![]() นั่งได้อีกสักพัก ก็มีทัวร์จากคณะต่างๆ และพุทธศาสนิกชนชาวพม่า เริ่มทยอยเข้ามายังบริเวณวัด จนเต็มพื้นที่เลยล่ะ มีคณะพุทธศาสนิกชนชาวไทยซึ่งเดินทางมานมัสการวัดต่างๆ ในพม่า นำโดยพระวัดป่า ร่วมใจกันสวดทำวัตรเช้า ทำให้ไกด์สาวชาวพม่า เชื้อสายไต ถึงกับเอ่ยปากชมภายหลังว่า สวดได้ไพเราะกว่าทางพุทธศาสนิกชนชาวพม่า ซึ่งมีทำนองค่อนข้างแข็ง แถมยังยกตัวอย่างสวดให้ฟังอีกด้วย ![]() พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและพม่า ซึ่งมาชมพิธีในเช้าตรู่วันนั้น ![]() พิธีดังกล่าว มาจากความเชื่อที่ว่า พระมหามัยมุนีนั้นมีชีวิต มีลมหายใจ จึงต้องทำพิธีล้างพระพักตร์ แปรงฟันให้ทุกเช้า โดยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะเป็นเจ้าอาวาส หรือรองเจ้าอาวาสที่ได้รับมอบ หากเจ้าอาวาสมีกิจจำเป็น พิธีจะเริ่มในเวลา 04.00 น. โดยเจ้าหน้าที่ในพิธีจะตั้งโต๊ะบูชาดอกไม้ธูปเทียน และเตรียมเครื่องสำหรับล้างหน้า และพระเถระจะเริ่มพิธีล้างหน้า แปรงฟันก่อน โดยใช้ฉีดพรมน้ำอบผสมแป้งทานาคา ก่อนที่จะใช้ผ้าสีขาวที่พุทธศาสนิกชนนำมาถวาย เช็ดจนแห้ง จากนั้น ท่านจะใช้แปรงทองแปรงที่ปาก แล้วเช็ดให้แห้ง ประมาณว่าตลอดพิธี มีการใช้ผ้าหลายผืนทีเดียว หลังจากนั้น จะใช้พัดทองโบกเหมือนพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ![]() หัวหน้าทัวร์เล่าให้ฟังทีหลังว่า ก่อนวันทำพิธี ทางวัดจะเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมจัดเตรียมน้ำอบ ถูเปลือกทานาคาชั้นดีลงผสมในน้ำ เตรียมไว้สำหรับเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทานาคาที่ถู ต้องถูด้านมีเปลือก มิใช่ถูตรงๆ เช่นไม้ธรรมดา จึงจะได้ยางไม้ซึ่งมีคุณภาพตรงตามต้องการ นอกจากนั้น ผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจากผ้าสำหรับเช็ดด้วย แต่ก่อนไม่จำกัดสี แต่มีฝรั่งสาวรายหนึ่ง บริจาคผ้าเช็ดหน้าสีชมพู แถมมีลายการ์ตูนที่ค่อนข้างวาบหวิวพิมพ์อยู่ในผ้าด้วย จึงได้ระบุในภายหลังว่าเป็นผ้าสีขาว ไม่มีลวดลายเท่านั้น ผ้าเหล่านี้ จะบริจาคให้ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา หลังจากเสร็จพิธีแล้ว หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ญาติโยมเริ่มทยอยกันกลับ ซึ่งหัวหน้าทัวร์ได้มอบขวดบรรจุน้ำล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีที่มีเหลืออยู่ในขันใบใหญ่แก่ลูกทัวร์คนละ 1 ขวดเล็กเพื่อเป็นศิริมงคลต่อไป น้ำในขวดบรรจุนี้ สามารถใช้เหยาะลงในบาตรน้ำมนต์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาหรือในงานมงคลต่างๆ ก็ได้ ถึงเวลากลับไปรับประทานอาหารมื้อเช้าที่โรงแรม ก่อนที่จะออกเดินทางไปชมสถานที่ต่างๆ ตามรายการในช่วงเช้าต่อไป ![]() กินอาหารมื้อเช้าเสร็จ ต่างแยกย้ายขึ้นไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าลงมารวมกันที่ล็อบบี้ อ้าว... วันนี้จะกลับเมืองไทยแล้วนี่นา มัวเพลินกับรายการทัวร์จนเกือบลืมเวลากลับแน่ะ ![]() ผ่านโบสถ์คริสต์ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่อดีตเจ้าของอาณานิคมทิ้งไว้ให้ มีอยู่หลายแห่งด้วยสิ ทำให้ผมนึกถึงนวนิยายสมัยเด็ก มักจะกล่าวถึงพระเอกซึ่งเป็นเจ้าทางรัฐฉาน จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจากอังกฤษ ท่าทางผู้ดีเต็มขั้น รูปหล่อด้วยนะ ![]() ผ่านโรงแรมใหญ่ ทราบว่าเจ้าของเป็นคนไทย ![]() วนเวียนอยู่ในเมืองได้สักพัก รถมาหยุดให้ลูกทัวร์ได้มีโอกาสจับจ่ายซื้อหาข้าวของกลับเมืองไทย ร้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ริมพระราชวังมัณฑะเลย์ด้านตะวันตก ![]() บรรยากาศเริ่มจะพลุกพล่านด้วยยวดยานนานาชนิด กับผู้คนกำลังจะไปทำงาน หัวหน้าทัวร์บอกว่า ทางเทศบาลกำลังปรับปรุงทางเท้าริมคูเมืองพระราชวังให้กลายเป็นทางสำหรับจ๊อกกิ้งของชาวเมืองผู้รักสุขภาพยามเช้าและยามเย็น ผมคิดว่า ถ้าวิ่งครบรอบวังสัก 1 รอบ สุขภาพคงดีทันตาเห็นล่ะครับ แค่ 4 กม.เท่านั้นเอง แถมอากาศสดชื่น ปราศจากมลพิษอีกด้วย ![]() ร้านแห่งนี้ขายหยกและเครื่องประดับสำหรับสุภาพสตรี โดยได้รับการรับรองจากรัฐบาล และมีใบเสร็จสำแดงให้กับลูกค้าด้วย หากศุลกากรที่สนามบินขอเรียกดู หยก เป็นหินสีที่เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของผู้สวมใส่ ดังนั้น หมอจีนสมัยโบราณจึงใช้เป็นที่สังเกตอุณหภูมิจากตัวคนไข้ โดยไม่ต้องสัมผัสหรือแมะเส้นเลย น้องผมถามถึงกำไลหยกที่พับได้โดยมีสลักทองคำล็อกปิดไว้แต่พนักงานในร้านส่ายหัวบอกว่าไม่มีจำหน่าย เลยได้ความรู้ใหม่ว่า กำไลหยกแบบนั้น ชาวพม่าถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ชำรุด เป็นอัปมงคลเแก่ผู้สวม แต่มีคนหัวใสนำไปตกแต่งโดยใส่สลักทอง จำหน่ายยังต่างประเทศอันเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิต โกยเงินเข้าประเทศอีกแน่ะ ด้านหลังร้าน ยังเป็นที่จำหน่ายสินค้าประเภทถั่วตัด และชานมของพม่า เรียกว่าลูกค้าหากมาถึงร้านนี้แล้ว โอกาสที่จะกลับไปมือเปล่าเห็นจะไม่มี เดินวนเวียนอยู่ในร้าน สายตาก็สอดส่ายไปพบตุ๊กตาเรซิ่น แสดงให้เห็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ดูแล้วเล็กน่ารักจริงๆ ![]() พอสอบถามราคาขาย กลับจำหน่ายเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เลยต้องถอยทัพ ขอเก็บแต่รูปถ่ายกลับบ้านดีกว่า ![]() อาจเป็นของแปลกใหม่ เพิ่งมีผู้ริเริ่มทำ ราคาจำหน่ายจึงค่อนข้างสูง คงรอให้เวลาผ่านไปอีกสักหน่อย หากมีผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ราคาอาจลดลง ![]() หลังจากร่วมกันละลายทรัพย์จนเป็นที่พอใจแล้ว รถทัวร์เริ่มล้อหมุนไปทางทิศใต้สู่เมืองอมรปุระ อดีตเมืองหลวงเก่าของพม่าอีกแห่งหนึ่ง ด้วยระยะทางราว 20 กม. เราได้มาถึงจุดท่องเที่ยวสุดท้ายของรายการทัวร์ คือ สะพานอูเบ็ง ![]() สะพานอูเบ็งนี้ พระเจ้าปดุงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อข้ามทะเลสาบคองตะมาน เมืองอมรปุระ เพื่อให้ราษฎรสัญจรไปมาโดยไม่ต้องเปียกน้ำ ไม้ที่นำมาสร้างมาจากการรื้อถอนพระราชวังที่เมืองอังวะ ช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างคือ อูเบ็ง อันเป็นชื่อเรียกสะพานแห่งนี้ในเวลาต่อมา ด้วยความยาวทั้งสิ้น 1.2 กม. จึงนับได้ว่าเป็นสะพานสร้างด้วยไม้สักที่มีความยาวที่สุดของประเทศ เข้าใจว่าที่เป็นไม้สัก เนื่องมาจากเป็นไม้ที่นิยมนำมาปลูกสร้างพระราชวังนั่นเอง ซึ่งสมัยนั้น พม่ายังมีป่าไม้อยู่มากมาย สะพานนี้เริ่มตั้งแตหน้าวัดมหากันดายน สิ้นสุดลงที่หน้าวัดเจ๊าต่อจี ระหว่างทาง จะมีศาลาพักร้อนอยู่ประมาณ 3 - 4 แห่งอีกด้วย ![]() เคยมีผู้นับเสาสะพานแห่งนี้ได้ถึง 1,280 ต้น แต่ปัจจุบันนี้คงไม่เท่าเดิม เพราะชำรุดผุกร่อนไปมาก จนบางช่วง ทางการต้องซ่อมสร้างใหม่โดยใช้เสาคอนกรีตแทน ![]() มองจากตัวสะพานไปยังฝั่งวัดมหากันดายนครับ ![]() ครั้นจะเดินข้ามไปตลอดสะพาน เห็นจะสู้แดดที่กำลังแรงขึ้นทุกขณะไม่ไหว สองพี่น้องเลยหามุมเหมาะๆ เพื่อถ่ายรูปกลางสะพาน ![]() แต่ยังไม่ค่อยถูกใจมุมภาพนัก ร้อนถึงหัวหน้าทัวร์ซึ่งเดินอยู่ใกล้เคียงนั้นต้องเข้ามาจัดการ ![]() เห็นไหมล่ะ ? มุมภาพดีกว่ากันมากมาย 55555 ![]() กับอีกภาพแถมท้ายที่หน้าศาลาพักร้อน ![]() เดินกลับมาขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ที่ฝั่งวัดมหากันดายน คงทราบกันแล้วว่า วัดแห่งนี้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรมใหญ่ที่สุดในพม่า มีพระสงฆ์สามเณรเล่าเรียนอยู่ที่นี่ถึง 1,200 รูปทีเดียว ![]() ก่อนออกเดินทางกลับ น้องผมติดใจรถสามล้อเครื่องสีสดที่จอดอยู่ใกล้ๆ เลยกดภาพเป็นบำเหน็จมือส่งท้าย เลยขอยืมภาพมาเผยแพร่ต่อล่ะ ฮ่า... ![]() ครบทุกรายการที่จัดนำเที่ยว คราวนี้ก็ถึงเวลากลับบ้านกันเสียที ![]() เก็บตกย้อนหลังกันอีกนิดครับ เริ่มจากประตูเมืองมัณฑะเลย์ เข้าสู่ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข NH 1 (ย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์) ![]() แต่ผมเกรงว่าท่าทางจะไม่ด่วนจริงสิครับ ดูจากการสัญจรเอาเถิด ![]() แถมอีกสักภาพก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะถึงทางแยกเข้าสู่สนามบินแล้วล่ะ ![]() บ้านเราใช้ปูนตราช้าง ส่วนบ้านเขาใช้ปูนตราแรด ดูสิว่าใครจะแข็งแรงกว่ากัน ? แรดคู่ด้วยนะ... ฮ่า ![]() และแล้ว รถทัวร์ได้มาส่งชาวคณะเดินทางถึงชานชาลาชั้น 2 ของสนามบินโดยสวัสดิภาพ ![]() เจ้าตัวบอกขอภาพไว้เป็นที่ระทึก เอ๊ย !!! เป็นที่ระลึกกับป้ายชื่อสนามบินมัณฑะเลย์ เพราะมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เอ้า...จัดปาย ![]() ครั้นแล้ว ก็เดินลากระเป๋าเดินตามหัวหน้าทัวร์ไปที่หน้าเคาเตอร์ check in ของ แอร์ เอเซีย ประจำสนามบินมัณฑะเลย์โดยมิรอช้า ![]() ส่วนตัวผม ได้เหลียวซ้ายแลขวา หวังจะร่ำลาไกด์สาวประจำคณะที่อำนวยความสะดวกสารพัดอย่างให้การท่องเที่ยวได้รับความสะดวกในครั้งนี้ พบว่า กำลังง่วนอยู่กับการแลกเปลี่ยนเงินตรากลับเป็นสกุลเงินบาทกับลูกทัวร์กลุ่มใหญ่ เลยร่ำลาเพียงในใจก่อนกลับมารวมกลุ่มที่หน้าเคาเตอร์ check in ตามเดิม ได้ยินแว่วๆ จากเจ้าตัวพูดว่า จะกลับไปเมืองพุกาม เพื่อรอต้อนรับคณะทัวร์กลุ่มใหม่ของบริษัทต่อไป ![]() เมื่อผ่านการ check in และด่านตรวจคนเข้าเมืองขาออกของพม่าแล้ว มาสะดุดใจกับเคาเตอร์โชว์รถยนต์รุ่นใหม่ เอียมอ่องของค่ายรถยนต์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน น้องผมซึ่งกลับเป็นผู้สันทัดกรณีอธิบายให้ฟังว่า เป็นเรื่องการโฆษณาตามปกติในสนามบินต่างประเทศ โดยเจ้าตัวได้เห็นของจริงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องของสายการบินกาตาร์ คราวไปเที่ยวตุรกีในเดือนถัดมา และที่โน่น เป็นของยี่ห้อลัมโบกินีด้วยซ้ำไป ฟังแล้วดีใจ ที่ผมไม่ร่ำรวยถึงขนาดนั้นครับ ![]() ครั้นแล้ว กลิ่นไอของบ้านเราก็มาถึง เครื่องบินแอร์บัสของ แอร์ เอเซีย ระหว่างดอนเมือง - มัณฑะเลย์ ร่อนลงที่สนามบิน บรรดาผู้โดยสารที่จะไปเมืองไทยต่างผลุดขึ้นยืน แล้วเดินต่อแถวไปยังประตูทางเข้าเครื่องโดยพร้อมเพียงกัน ก่อนหน้านั้น มีเครื่องบินของบ้านเราอีกบริษัทหนึ่ง กำลังจะออกเดินทางจากมัณฑะเลย์ ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และอีกบริษัท คือ China Eastern รอออกเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเช่นกัน ![]() ลาล่ะครับ แผ่นดินพม่าที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศที่มาเยือนแล้วเหมือนอยู่ไม่เป็นสุข นอนที่โน่นนิด ที่นี่หน่อย แล้วชีพจรลงเท้าออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นอีกแล้ว อิ อิ ![]() มีโอกาสมองแผ่นดินพม่าเป็นครั้งสุดท้าย คงเป็นดินแดนในรัฐฉาน ![]() ไม่นานนัก เครื่องได้ไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก อาจให้พ้นระดับเมฆซึ่งวันนี้มีมากเป็นพิเศษ หรือเข้าสู่เพดานบินระหว่างประเทศก็ได้ ![]() หมดโอกาสที่จะเห็นแผ่นดินเบื้องล่าง ก็หันมาสนใจเรื่องอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งทางบริษัทจัดเลี้ยงอยู่กลางเวหา นึกแล้วโก้ไม่หยอก ที่นั่งรับประทานอาหารเหมือนเทวดาบนฟ้า หากชักเมฆสักก้อนมาเช็ดมือหลังมื้ออาหาร คงจะหรูนะ ![]() คิดว่าคงแถวๆ อ่างทองครับ เครื่องเริ่มบินวนอยู่พักใหญ่ ด้วยสาเหตุอะไร นักบินไม่ยอมบอก ก่อนที่จะหันหัวตรงไปยังสนามบินดอนเมือง ![]() เตรียมร่อนลงแล้ว เห็นคลองรังสิตกับถนนสาย รังสิต - นครนายก อยู่เบื้องล่าง ![]() พบกับความจอแจของกรุงเทพฯ ไวดังฝัน มองออกไปนอกอาคาร จึงได้รู้สาเหตุที่ทำให้เครื่องต้องเสียเวลาอยู่พักใหญ่ คราวนี้ ผมได้มีโอกาสร่ำลาหัวหน้าทัวร์ซึ่งกำลังแพ็กกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน ขอบคุณกันยกใหญ่ที่ทำให้ทัวร์คราวนี้ สนุกกว่าที่คาด เอาบุญมาฝากทุกท่านที่ติดตามชม ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนจบมา ณ โอกาสนี้ อายุบวรครับ... ![]() โดย: สมาชิกหมายเลข 4507140
![]() |
บทความทั้งหมด
|