มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 11 ) ช่วงนี้เป็นรายการลงเรือตระเวนในทะเลสาบอินเลแทบทั้งวัน แถมยังพักค้างคืนที่รีสอร์ทริมทะเลสาบแห่งนี้ด้วย ![]() จากท่าเรือเมืองยองฉ่วย คณะทัวร์ต่างทยอยลงเรือที่จัดไว้ลำละ 5 คน มีอุปกรณ์นิรภัยชูชีพ ร่ม ผ้าห่มกันแดด แล่นไปตามลำคลอง ก่อนสู่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ต่อไป ![]() เป็นไฟท์บังคับให้ลูกทัวร์ลงเรือลำละ 4 - 5 คน ชนิดที่ว่าไม่มีวันที่เราไม่พรากจากกันตลอดรายการทัวร์รอบทะเลสาบในวันนี้ รูปนี้ขอยืมมาจากกล้องของน้องครับ ![]() จากกล้องของคนเป็นพี่ ขอเซลฟี่บ้างล่ะ ร่ม ผ้าห่มที่มีให้นั้น เพื่อกันไอแดด และละอองน้ำจากเรือระหว่างเดินทาง ครั้งแรกที่ไม่รู้ เลยปล่อยให้ไอแดดกระทบกับผิวเต็มที่ แถมด้วยละอองน้ำอันเย็นสบายอีกด้วย แต่ความจริงปรากฎว่า ไอแดดซึ่งสะท้อนจากผิวน้ำทั้งวันนั้น ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ทำท่าจะมีอาการตะครั่นตะครอ เลยต้องรีบหายาพาเซตามอลมาทานป้องกันไว้ก่อน ![]() จากมุมมองของพี่ร่วมคณะ ขณะที่เรือแล่นไปตามคลองเชื่อมกับทะเลสาบครับ ![]() เป็นเรือโดยสารของชาวบ้าน ความจุเต็มๆ ถ้าไม่มีสิ่งของบรรทุกไปด้วย ราวๆ 15 - 25 คน ![]() ส่วนเรือสำหรับนักท่องเที่ยวก็หรูหราขึ้นมาหน่อย นั่งได้ไม่เกินลำละ 5 คน พร้อมจัดหาเก้าอี้นั่งให้ด้วย เรือประเภทนี้ มีทั้งของบริษัททัวร์จัดหามาบริการเอง หรือนักท่องเที่ยวจะหาเช่าตกลงกันเองก็ได้ มีแซวกันเล็กน้อย เพราะเป็นคณะเดียวกัน ![]() ตอนแรกที่เห็น ผมนึกว่าเป็นปั๊มน้ำมันลอยน้ำเสียอีก พอพินิจกันถ้วนถี่แล้ว เป็นเรือขุดเพื่อรักษาสภาพแหล่งน้ำมิให้ตื้นเขินเร็วเกินไป ![]() ออกสู่พื้นน้ำของทะเลสาบแล้วครับ ผมแทบไม่เชื่อหู เมื่อได้รับข้อมูลว่า ตรงกลางทะเลสาบ จะมีความลึกไม่เกินหน้าอกของฝรั่งผู้ชายเท่านั้น จากข้อมูลในวิกิพีเดีย ระบุว่า ทะเลสาบอินเล (พม่า : อี๊นเล้ก่าน) หรือไทใหญ่เรียกว่า หนองอางเล เป็นทะเลสาบน้ำจืด ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ห่างจากเมืองตองยีประมาณ 25 กิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับสองของพม่า มีพื้นที่ประมาณ 116 ตารางกิโลเมตร อยู่ที่ระดับความสูง 2,900 เมตร (880 เมตร) ในช่วงฤดูแล้งความลึกของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ฟุต (2.1 เมตร) โดยมีจุดที่ลึกที่สุดคือ 12 ฟุต (3.7 เมตร) แต่ในช่วงฤดูฝนสามารถเพิ่มขึ้นได้กว่า 5 ฟุต (1.5 เมตร) แม้ว่าทะเลสาบจะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีสัตว์สายพันธุ์เฉพาะถิ่น หอยทากกว่า 20 สายพันธุ์ และปลาเก้าชนิดพบว่าไม่มีที่ไหนในโลก บางส่วนของสัตว์เฉพาะถิ่นเหล่านี้ เช่น ปลาซิวซอ-บวา ปลาซิวกาแล็คซี่ มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์เล็กน้อยสำหรับการค้าให้แก่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และมีนกนางนวลหัวสีน้ำตาลและสีดำอพยพกว่า 20,000 ตัวในเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม และมกราคม ทะเลสาบแห่งนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่าชาวอินตา (Intha) ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปีแล้ว โดยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทำการเกษตรบนเกาะวัชพืชที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกลางลำน้ำในทะเลสาบ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2558 ทะเลสาบอินเล กลายเป็นสถานที่แห่งแรกของพม่าในเขตสงวนชีวมณฑลโลก เป็นหนึ่งใน 20 แห่งที่เพิ่มขึ้นจาการประชุมครั้งที่ 27 ของยูเนสโก ในโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) และคณะกรรมการประสานงานนานาชาติ (ICC) ![]() พอแล่นได้สักพัก เรือเริ่มเบาเครื่อง เมื่อเข้าใกล้กลุ่มชาวประมงหาปลา โดยพายเรือด้วยเท้า ยืนทรงตัวถืออุปกรณ์จับปลาบนลำเรือได้เก่งจริงๆ ![]() มีการวนเรือช้าๆ รอบเรือประมงให้ลูกทัวร์บันทึกภาพได้ถนัด ไกด์ได้อธิบายในเวลาต่อมาว่า การพายเรือด้วยเท้า เป็นวิวัฒนาการจับปลาของคนพื้นถิ่น เพื่อความถนัดในการมองปลาในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของผืนน้ำ แถมยังสะท้อนแสงจากท้องฟ้าแทบทั้งวันอีกด้วย ซึ่งได้ผลดีกว่าการนั่งพายเรือจับปลาเป็นไหนๆ ![]() บางรายใช้วิธีเอาสุ่มครอบแล้วใช้ฉมวกแทงปลาในสุ่ม ดูแล้ว ผมไม่ถนัดสักอย่าง ฮ่า... ![]() รายนี้กำลังตักสาหร่ายขึ้นบนเรือ เพื่อนำไปปูลงแปลงผักซึ่งมาจากกลุ่มผักตบชวาที่ได้จัดเรียงไว้แล้ว ปุ๋ยจากสาหร่าย และน้ำจากทะเลสาบที่อยู่ใต้แปลง ทำห้พืชผักที่ปลูกไว้นั้น เจริญงอกงามได้รวดเร็ว แถมยังไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง ทำให้ผลผลิตจากทะเลสาบแห่งนี้ สามารถส่งไปเลี้ยงชาวพม่าแทบทั้งประเทศอีกด้วย มีการแซวกันเล็กๆ น้อยๆ จากลูกทัวร์กับหัวหน้าคณะในภายหลังว่า คงเป็นการลงขันกันจ้างชาวบ้านออกมาลอยลำโชว์ให้บรรดานักท่องเที่ยวได้ชม เพราะได้ยินว่า การพายเรือด้วยเท้า นับวันจะหาคนรับช่วงได้ยาก เพราะมีเรือใช้เครื่องยนต์เข้ามาแพร่หลายนั่นเอง ![]() จากกลางทะเลสาบ เรือเริ่มแล่นประชิดริมฝั่ง มีรสอร์ทและร้านอาหารใหม่ๆ กำลังผุดขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวอยู่ไม่ขาดสาย ไกด์บอกว่า ทางการจะอนุญาตให้ชาวอินตา และอินเล ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณทะเลสาบ สร้างที่พักและร้านอาหารประเภทนี้เท่านั้น หากเป็นคนต่างถิ่น ต้องสร้างบนแผ่นดินใหญ่ ![]() หมู่บ้านริมทะเลสาบ คงเย็นสดชื่นไม่น้อย แต่เวลาไปไหนมาไหนคงใช้วิธีเดินทางโดยเรือประจำทาง ทั้งๆ ที่มีถนนเลียบทะเลสาบทั้งสองด้านนั่นแหละ เพราะสะดวกกว่ากันมากมาย ![]() รีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งครับ แขกผู้มาพักสามารถนั่งบนเก้าอี้ยาว จิบเบียร์มองดูทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างสบายใจ คิดว่านักท่องเที่ยวรุ่นหลังคงปิติทั่วหน้า เพราะผมเห็นมีก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ![]() แล้วเราก็มาถึงจุดแวะแห่งแรกในครึ่งเช้าวันนี้ ที่วัดผ่องดออู อันเป็นที่ประดิษฐานของพระบัวเข็ม พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของชาวบ้านรอบทะเลสาบอิ่นเล และชาวพม่าทั่วทั้งประเทศ พระบัวเข็มรวม 5 องค์ ได้ถูกปิดทองคำเปลวมาเนิ่นนานจนกลายเป็นก้อนกลม ไม่เหลือรูปร่างเดิม ซึ่งฝรั่งมังค่ามักให้สมญาว่า Five Balls of Gold ช่วงเทศกาลออกพรรษามีการอัญเชิญพระบัวเข็มนี้ ลงเรือการเวก พายเรือชักลากด้วยเท้าจากผู้มีจิตศรัทธา แห่ไปตามหมู่บ้านรอบทะเลสาบได้สักการะบูชากันอย่างทั่วถึง ใช้เวลาราว 20 วัน โรงเก็บเรือการเวก ตั้งอยู่บนฝั่งด้านขวามือตรงข้ามกับวัด เป็นที่น่าเสียดายที่เวลามีจำกัด จึงไม่มีโอกาสเข้าชมในครั้งนี้ ![]() ขึ้นจากเรือได้ ก็รวมพล ถอดรองเท้ารวมกันก่อน แล้วค่อยไปนมัสการพระบัวเข็ม ซึ่งประดิษฐานอยู่ชั้นบนศาลาครับ ![]() หรือใครจะบูชาด้วยผลไม้นานาชนิด ก็มีให้บริการ ส่วนมะพร้าวสีทองนั้น มาจากสีที่ทาในภายหลัง หากเป็นสีทองตั้งแต่อยู่บนต้น อาจมีการซื้อหาไปขยายพันธุ์ในฐานะสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกก็ได้ 55555 ![]() นี่แหละครับ พระบัวเข็ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พี่น้องชาวบ้านล้วนแต่นับถือมากมายเพียงใด คราวที่แห่พระบัวเข็มรอบทะเลสาบสมัยหนึ่ง ได้เกิดพายุใหญ่ ทำให้องค์พระตกไปในน้ำ ชาวบ้านช่วยกันงบได้ครบ 4 องค์ แต่ไม่พบองค์ที่ 5 ซึ่งเป็นองค์สุดท้าย ครั้นกลับมาถึงวัด ต่างก็พบว่า องค์ที่ค้นหาในทะเลสาบนั้น กลับมาประดิษฐานยังที่ตั้งเดิมเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีคราบน้ำ และสาหร่ายน้ำติดอยู่ตามองค์อีกด้วย ได้มีการสร้างเสาหงส์แสดงจุดที่พระจมน้ำให้ผู้คนผ่านไปมาได้เห็นจนทุกวันนี้ นับแต่นั้นมา จะไม่มีการแห่พระครบทั้ง 5 องค์อีกเลย ![]() ขอซูมภาพให้เห็นใกล้ๆ กันอีกนิดครับ ![]() แวะชมตลาดจำหน่ายข้าวของในบริเวณวัดสักหน่อย ![]() ครั้นแล้ว ก็มีเสียงป่าวประกาศจากหัวหน้าทัวร์ว่า ได้เวลารับประทานข้าวกลางวันแล้ว แต่ขอความร่วมมือจากลูกทัวร์ช่วยออกกำลังขาสักนิด เดินผ่านสะพานข้ามคลองข้างวัดไปยังร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตรงข้ามตัววัดพอดี ![]() สภาพทางเดินผ่านหมู่บ้าน ดูเป็นกันเองไม่หยอก ![]() ขอนุญาตนำภาพพี่ร่วมคณะมาเป็นแบบสร้างบรรยากาศในร้านอาหารครับ แขนเสื้อของพี่เขายังมีสติ๊กเกอร์ของสายการบินเมื่อเช้าแปะติดอยู่เลย แน่นอนว่า อาหารมื้อนั้น ต้องมีเมนูมันทอด ผักทอด ต้ม นึ่ง แนมกับน้ำพริกด้วย เป็นผลผลิตจากทะเลสาบอินเลทั้งสิ้น ทำเอาอิ่มอร่อยพุงกางไปตามๆ กัน ![]() บริเวณวัด ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามท่าเรือของร้านอาหารพอดี ![]() น้องผมขอเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ไผ่ มีพนักพิงศรีษะสักครู่ ก่อนลงเรือล่องทะเลสาบต่อไป ![]() เริ่มออกเดินทางภาคบ่าย โดยมีจุดหมายที่หมู่บ้านทอผ้าใยบัว บ้านอินป่อค่อน ![]() เป็นร้านชื่อ Khit Sunn Yin ซึ่งเป็นโรงงานผลิตผ้าประเภทนี้ด้วย มองครั้งแรก ยังงงๆ กับสายบัวที่กองอยู่ตรงหน้าว่าเขาทำอย่างไรกันหว่า ? ![]() พอลูกทัวร์ขึ้นมามุงดูครบแล้ว อินางที่ประจำอยู่เครื่องปั่นเส้นใย ก็กระวีกระวาดลุกขึ้นมาสาธิตให้เห็นถึงกรรมวิธีนำเส้นใยจากสายบัวกันล่ะ ขั้นตอนแรกก็ใช้มีดตัดก้านบัว แต่ให้เหลือเยื่อใย แล้วดึงออกจากกัน จะมีเส้นใยอันยาวยืดปรากฎขึ้น ใช้กระสวยพันเส้นใยนั้นจนกระทั่งหมดท่อนที่ตัด จึงตัดท่อนต่อไป ความยาวประมาณหนึ่งคืบเท่านั้น ท่อนสายบัวที่หมดเยื่อใยนั้น จะถูกโยนลงเข่งข้างๆ ดังที่เห็น ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกองสายบัวที่วางไว้ ค่อยไปหากองใหม่ที่ยังชุ่มน้ำมาเตรียมการต่อไป ถ้านางประจันต์ ลูกสาวของท้าวกกขนากได้เรียนรู้กรรมวิธีทอผ้าใยบัวจากที่นี่ล่ะก็ หนุมานคงมีงานทำอีกมากมาย ฮ่า... ![]() ให้นักท่องเที่ยวลองสัมผัสเส้นใยบัวว่า มีความเหนียวเพียงใด แทบไม่น่าเชื่อว่าเส้นใยบัวที่ใครๆ เห็นว่ามีความบอบบางนั้น จะสามารถนำมาทอเป็นผืนผ้าได้ มาจากภูมิปัญญาของชาวบ้านแท้ๆ เชียว ![]() เสร็จแล้วก็เอามาปั่นเป็นเส้นยาว เหมือนกรรมวิธีทอผ้าทั่วๆ ไป คงไม่ต้องเล่าถึงการต่อเส้นใยนะครับ อิ อิ ![]() หลังจากตากลมจนแห้งดีแล้ว ก็ถึงขั้นตอนมัดลวดลาย เตรียมย้อมเส้นใยกันล่ะ ขั้นตอนนี้คงไม่เป็นที่แปลกใจสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องย้อมผ้า ทอผ้ากระมัง ? ![]() แอบไปดูหลังร้าน ตามไปดูถึงกรรมวิธีย้อมเส้นใยครับ ![]() เนื่องจากเส้นใยบัวที่ได้ มีจำนวนน้อย และเส้นบาง ถึงเนื้อผ้าจะนุ่ม เย็นสบาย แต่ราคาจำหน่ายก็ค่อนข้างสูง จึงมีการทอผสมกับเส้นใยจากผ้าฝ้าย เพื่อทำให้มีราคาจำหน่ายลดลง เบากระเป๋าลูกค้าไปด้วย ![]() ไกด์สาวกำลังนำชมการทอผ้า ![]() ลวดลายของเนื้อผ้าที่มาจากเครื่องทอ ทราบว่าเป็นลวดลายของชาวไต ![]() อีกสักภาพ ก่อนลาจากหมู่บ้านอินป่อค่อนครับ ![]() คราวนี้ เส้นทางจะลัดเลาะระหว่างแปลงผักลอยน้ำของชาวบ้าน ที่มีอยู่ตลอดทาง ![]() นัยว่า ผลไม้ที่ปลูก อันมีชื่อเสียงที่สุดจากทะเลสาบอินเลที่จำหน่ายไปทั่วประเทศ คือ มะเขือเทศ หวาน กรอบ และอร่อยอย่าบอกใคร แถมปลอดจากมลพิษ และยาฆ่าแมลงอีกด้วย ![]() แห่งต่อไปที่แวะ คือ หมู่บ้านทำบุหรี่ขี้โย หรือ บุหรี่ไชโย บ้านน้ำปั่นครับ บุหรี่ขี้โย ใช้ใบตองแห้งรีดให้เรียบห่อกับยาสูบโรยด้วยขี้โยม้วนเป็นแท่งๆ แบบบุหรี่สมัยนี้ แต่มีขนาดใหญ่ และยาวกว่า เวลาสูบ นอกจากควันโขมงแล้ว จะมีเศษไฟจากขี้โยร่วงเป็นระยะๆ ซึ่งคนสูบและคนรอบข้างต้องระวังตัวกันเอาเอง ขี้โย ทำมาจากเปลือกมะขามบดหยาบ นัยว่าทำให้บุหรี่มีกลิ่นหอม ไล่แมลงได้ดีนัก คราวนี้มีโอกาสเดินทางมาดูกิจการถึงถิ่นเลยล่ะ ![]() ใบตอง จะรีดให้เรียบ ก่อนเก็บไว้มวนบุหรี่ในโอกาสต่อไป ![]() บุหรี่ขี้โยที่มวนเรียบร้อยแล้ว เตรียมมัดห่อก่อนออกสู่ตลาด ![]() เหล่าพนักงานมวนบุหรี่ครับ ![]() คราวนี้ พี่ร่วมคณะได้ลุกขึ้นออกเดินไปดูอุปกรณ์ชำร่วยที่ใช้ในการสูบบุหรี่ขี้โยที่ทางร้านวางจำหน่าย ปล่อยให้แฟนนั่งดูกรรมวิธีมวนบุหรี่ด้วยความสนใจ ![]() มีวางจำหน่ายหลากประเภท (ยกเว้นไม้ขีดไฟ) หรูหราขนาดทำจากเครื่องเขินก็มี ![]() ส่วนตัวผมนั้น ไม่สนใจหรอกครับ เพราะเคยเห็นตั้งแต่ป้ออุ้ย ยายผม พ่อผมสูบบุหรี่ตั้งแต่ผมยังเด็ก เพียงแต่ไม่สูบบุหรี่ขี้โยเท่านั้น แต่เวลามวนยังใช้ใบตองแห้ง กระป๋องยา มักจะเป็นกระป๋องน้ำมันเครื่องเก่าๆ ที่ไม่ใช้แล้ว หรือกระป๋องโอวัลตินรุ่นเก่า ฉลากกระดาษนั่นแหละ คุ้นกับกลิ่นบุหรี่มานาน จนไม่ติดใจสูบ นับว่าเป็นกุศลมหาศาลทีเดียว ![]() มานั่งรอที่ระเบียงหน้าร้าน มองดูสุ่มจับปลาที่วางขายแก่นักท่องเที่ยวผู้สนใจ แถมมีฉมวกแทงปลา ที่แม่นด้วยสิ เพราะปลาที่ถูกแทงนั้น เป็นปลาทำจากไม้ครับ 55555 ![]() ชุดสาวชาวไต หยิบมาจากที่วางโชว์ในร้าน แสดงโดยนางแบบจำเป็น ไกด์สาวนั่นเอง ![]() ถ้าเป็นบ้านติดถนนล่ะก็ คงหลากหลายด้วยยี่ห้อรถยนต์เป็นแน่แท้ ถึงเวลาที่คณะทัวร์ ออกเดินทางไปชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายแล้ว ที่วัดงาเพจอง หรือวัดแมวกระโดดนั่นเอง ![]() นั่งเรือลัดเลาะไปตามซอย เอ๊ย !!! คลองที่เชื่อมต่อถึงกัน อีกพักหนึ่ง เราก็ถึงศาลาท่าน้ำวัดงาเพจอง มีเรือนำนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศแวะมาเยี่ยมชมด้วย ![]() วัดแห่งนี้ นอกจากจะมีชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวรุ่นก่อนๆ ว่า ท่านเจ้าอาวาสได้ฝึกแมวจนสามารถกระโดดลอดบ่วงโชว์ให้ดูได้ด้วย แต่ปัจจุบัน การแสดงนั้นได้งดไปนานแล้ว อาจมาจากการแสดงหลายรอบ จนแมวเหนื่อย หรือท่านมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ต้องเดินทางไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ โดยมีหัวหน้าทัวร์ และไกด์ที่สนิทสนมกับท่าน คอยเป็นโยมอุปัฎฐากระหว่างที่ท่านพักรักษาตัว ปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจในวัดซึ่งเป็นไม้ทั้งหลัง เห็นจะเป็นมณฑปไม้สวยๆ ที่ท่านเก็บสะสมไว้ให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้ชมเท่านั้น เสียดายที่บรรยากาศค่อนข้างมืด ภาพที่ได้เลยไม่ค่อยชัดเจน ![]() ถึงจะมีข้อห้ามที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตก สามารถปฏิบัติตามโดยไม่เคอะเขินแต่อย่างใด ![]() ผมว่า อย่าเพิ่งทะเลาะกันด้วยต่างเหตุผลเลยครับ ![]() สายลม ละอองน้ำ กับแดดอ่อนในยามเย็นวันนั้น สร้างความเพลิดเพลินในการเดินทางกลับสู่ที่พักอย่างบอกไม่ถูก ผมกำลังคิดถึงกว๊านพะเยา ในสมัยยังเด็ก ![]() พี่ผู้หญิงร่วมคณะ โปรยข้าวตอกให้เหล่านกนางนวลที่บินเหนือทะเลสาบ แต่ได้รับความสนใจจากนกน้อยมาก สอบถามกันทีหลัง พบว่าต้องดีดนิ้วมือให้สุ้มเสียงกันก่อน พอนกบินวนมาใกล้ๆ ก็โปรยออกไปให้นกโฉบกิน หากเป็นนกนางนวลแถวบางปู ที่คุ้นเคยกับกากหมูมากกว่า คงใช้วิธีการแบบนี้ไม่ได้อีก เพิ่งนึกออกว่า ยังไม่มีนกพิราบระบาดมาถึงพม่าแฮะ พูดจริงๆ นะ เอ้า !!! ![]() นั่งดูแสงอาทิตย์อัสดงลับเหลี่ยมเขาเบื้องหลังทะเลสาบอินเล ตามมุมภาพที่แนะนำจากหัวหน้าทัวร์ครับ ตกเย็น เสียงพูดคุยกันจอแจของเหล่าบรรดาลูกทัวร์ที่เริ่มจะคุ้นเคยหลังจากเดินทางร่วมกันมาหลายวันแล้ว แถมห้องอาหารที่นี่ยังไม่มีทัวร์คณะอื่นเข้ามาพักด้วย จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวปานเป็นของคณะทัวร์นี้เพียงเจ้าเดียว หลายรายบอกว่า มีแผนไปเที่ยวตุรกี ช่วงหลังจากรายการทัวร์นี้แล้ว บางราย เพื่อนฝูงแหย่ว่า เป็นเจ้าแม่เกาหลี เพราะเดินทางไปเที่ยวที่นั่นบ่อยครั้งมาก จนคุ้นเคยปานบ้านของตัวเอง วันรุ่งขึ้น ต้องตื่นตามเวลาปลุก 04.00 น.อีกแล้ว เพื่อให้ทันเที่ยวบินไปมัณฑะเลย์ |
บทความทั้งหมด
|