หลังจากอิ่มท้องกับร้านโจ๊กหน้าโรงแรม คืนห้อง แล้วกดเบอร์มือถือของลูกพี่แมงกะไซต์รับจ้างที่รับมาจากท่ารถมาส่งที่โรงแรมเมื่อวาน ปรากฎว่าโทรฯ ไม่ติดสักที สงสัยว่าแกจดให้เบอร์มาผิดแน่ๆ
งั้นก็อดได้ตังค์จากผม โบกมือเรียกแมงกะไซต์ที่หน้าโรงแรมไปส่งสถานีขนส่ง ซื้อตั๋วของบริษัท ตรังร่วมมิตรขนส่ง คันสีชมภูติดแอร์ เที่ยวแรกซึ่งออกเวลา ๐๘.๓๐ น. ถ้ารอเที่ยวต่อไปจะออกเวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น. โน่นแหละ ไปตั้งแต่เช้าปลอดภัยที่สุด
ครั้นได้เวลา รถเริ่มล้อหมุนไปตามถนนอ้อมเมือง เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๔๑๖ สตูล - ปะเหลียน - ตรัง นั่งชมทิวทัศน์สองข้างทางเพลินเลยครับ
อ้อ... ถ้าขับรถแถวปักษ์ใต้เจอวัวมีนวมหุ้มปลายเขาแบบนี้ ๑๐๐% บอกได้ว่าเป็นวัวชน เวลาขับรถควรเลี่ยง เพราะค่าวัวอาจแพงกว่าวัวทั้งฝูงก็ได้
นั่งดูวิวสองข้างทางเพลินจนรถกระทั่งผ่าน อ.ละงู และ อ.ทุ่งหว้า อันเป้นอำเภอสุดท้ายก่อนเข้าสู่เขต จ.ตรัง
แผนที่เส้นทางหลวงที่อ้อมโค้งจนเป็นปุจฉาสำหรับผมว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ? จนได้คำตอบจาก google earth ว่าแนวเส้นทางจะหลบป่าชายเลนนั่นเอง
พอเห็นสถานที่จริงเข้าเลยถึงบางอ้อว่าเป็นย่านอำเภอทุ่งหว้าอีกด้วย แถมถ้าตรงไปถึงลำน้ำจะเป็นชุมชนปีนังน้อย ถ้าเลี้ยวไปทางขวาจะผ่านที่ว่าการ อ.ทุ่งหว้า และไปยัง จ.ตรัง ในที่สุด
พอพ้นเขต จ.สตูล จะมีด่านของกองกำลังศรีสุนทรตั้งอยู่และมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจผู้คนบนรถ เข้าใจว่า สตูล เป็นจังหวัดชายแดน อาจมีคนลักลอบเข้าเมืองหรือมีสินค้าหนีภาษีผ่านมาก็ได้ เลยตั้งด่านสกัดไว้ก่อน
เห็นโรงแรมทรงเรือเดินสมุทรแบบนี้ เกือบทุกท่านคงเดาได้ว่ามาถึง จ.ตรัง แล้วล่ะ แต่ผมไม่ขอเล่าซ้ำอีกนะครับ เพราะเคยมาหลายหนแล้ว
แน่ะ กั๊กไว้เฉยๆ เลย
จากตรังก็รอนแรมมาถึงกระบี่ เมืองที่ผมคิดว่าอยากมาเห็นถึงตัว อ.เมืองฯ เพราะคราวที่แล้ว มาได้แค่ อ.คลองท่อม และสระมรกตเท่านั้น
ตอนนี้ เด็กรถขอไปลงไปประทับตราลงเวลาที่ป้อมตำรวจทางหลวงก่อน
ช่วงบ่าย หลังจากผ่านสนามบินนานาชาติกระบี่แล้ว ผมก็มาถึงสถานีขนส่งจังหวัดกระบี่ ที่นี่ เด็กรถบอกว่ารถจะจอดพักเป็นเวลา 20 นาที
ที่เป็นไอ้หน้าดำนั้น แดดกำลังส่องมาข้างหลังเต็มที่เลยครับ จะใช้วิธีใดๆ แก้ไขก็ไม่เป็นผล เลยปล่อยให้เลยตามเลย
เนื่องจากตัวเมืองกระบี่ตั้งอยู่ห่างสถานีขนส่งราว ๔ กม. เลยขอติดตาม street view จาก google earth มาชมเมืองที่ท่าเจ้าฟ้าไปพลางๆ ก่อน
อีกมุมหนึ่งของท่าเจ้าฟ้าครับ
จากกระบี่ รถออกแล่นต่อไปสู่ จ.พังงา มีภูเขาหินปูนสวยๆ เช่นที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ คราวเสด็จประพาสแหลมมลายู แต่ก็เช่นเคยครับ เนื่องจากเรามาทาง อ.ทับปุด รถเลยจอดรับส่งผู้โดยสารที่นอกเมืองพังงา
งั้นก็ตาม street view เข้าไปดูตัวเมืองเช่นกัน
อีกมุมหนึ่งของตัวเมืงพังงาครับ มีรถสองแถวต่อแบบปักษ์ใต้จอดโชว์หน้ากล้องด้วย
ระหว่างทางจากพังงาลงมาภูเก้ต ผมว่าผมเห็นบ้านระโสม ที่คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ มาเป็นแรงงานในเหมืองแร่ด้วย แต่เก็บภาพไม่ทันครับ รวมถึงเขตทางรถไฟสายสุราษฎร์ธานี - ท่านุ่น อีกด้วย แต่ไม่ยักกะสร้างสักที จนกระทั่งผมแก่หง่อมแล้ว
แถมมีเส้นทางเลี่ยงบ้านโคกกลอยมาบรรจบกับทางหลวงสายนี้ ก่อนที่จะข้ามทะเลที่ช่องปากพระ กับสะพานท้าวเทพกษัตรีย์ - ท้าวศรีสุนทร และคุณนพมารอรับตรงสี่แยกท่าเรืออยู่แล้ว คงกลัวผมหลงกระมัง ?
ความจริงแล้ว สี่แยกท่าเรืออยู่ใกล้บ้านของแกนั่นแหละครับ นัดมารับตรงนั้นเลย สะดวกกว่า
ยอมรับเลยว่า ภูเก็ตยุคนี้ต่างจากยุคที่ผมมาเที่ยวเมื่อปี ๒๕๑๕ เป็นไหนๆ รถราคับคั่ง ไม่แพ้กรุงเทพฯ ดังนั้น ผมยอมให้คุณนพซึ่งเป็นเจ้าถิ่นและผู้ชำนาญการ นำทางแต่โดยดี
มาถึงบ้านเช่าคุณนพ คำแรกที่เอ่ยคือยกลองกองจากแบโก๊ะให้แกไปแจกเพื่อนฝูงโดยเร็ว เพราะงอมเต็มที่แล้ว ถึงกระนั้น คุณนพยังทิ้งลองกองที่งอมเกินเวลาตั้ง ๑ ใน ๔ ของกล่องแน่ะ
ตกเย็น แกบอกให้ผมอาบน้ำ แต่งตัวใหม่ แล้วจับขึ้นรถไปยังร้านอาหารใกล้ท่าเรือไปพังงา แล้วไปฉลองในโอกาสที่ป๊ะกั๋นตามประสาคนที่มาจากแดนไกล
ขอบคุณคุณนพมากมายครับ สำหรับการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงผมในเย็นวันนั้น