มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 8 ) เสียง morning call จากทางโรงแรมดังปลุกเมื่อเวลา 04.00 น.ของเวลาพม่า สร้างความคึกคักขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะวันนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า ขึ้นเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองพุกาม ด้วยเวลาช้ากว่าบ้านเราเพียง 30 นาที ทำให้คิดว่าได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ ใกล้เวลาตื่นนอนตามปกติแล้วล่ะ ![]() หลังจากหอบหิ้วกระเป๋ามารวมพลที่ lobby แล้ว น้องผมเกิดติดใจบรรยากาศ เลยชวนผมมาเก็บภาพในช่วงเช้าที่หน้าโรงแรมให้ด้วย ![]() จากสภาพถนนหน้าโรงแรม มีเพียงคนกวาดถนนทำงานอยู่เพียงเดียวดาย ต่างจากบ้านเราลิบลับ ที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่แล้ว ![]() กับเกวียนเมืองพม่า รูปร่างอ่อนช้อยเป็นพิเศษ ทรงละม้ายเกวียนเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้หาดูได้ค่อนข้างยากเหมือนกัน ![]() ตอนนี้ ชาวคณะได้ลงมารวมตัวกันพร้อมแล้ว ก็เคลื่อนพลไปยังสนามบินย่างกุ้ง (มิงกลาด่ง) เลยล่ะ มื้อเช้า ไปทานกันบนเครื่องบินเลย ![]() วันนี้ เริ่มต้นด้วยสายการบิน Golden Myanmar Airlines ครับ หัวหน้าทัวร์คงสังเกตเห็นกะเหรี่ยงท่าทางตื่นเต้นตอนขึ้นเครื่อง เลยอาสาบันทึกภาพให้เป็นที่ระลึก ![]() ระหว่างที่ทำโก้ รับประทานอาหารมื้อเช้าบนเครื่องนั้น ก็ศึกษาข้อมูลจากเอกสารแนะนำของสายการบินไปพลางๆ ชื่อสนามบินที่จะไปลง หากออกเสียงตามตัวสะกดภาษาโรมันแบบบ้านเรานั้น ค่อนข้างยากเป็นล้นพ้น เพราะสะกดตามภาษาอังกฤษด้วยลิ้นชาวพม่า ![]() เที่ยวนี้ ยังเดินทางไปไม่ถึง สะพานก๊กเต็ก ซึ่งเชื่อมระหว่างที่ราบเมืองพม่ากับที่ราบสูงรัฐฉาน ![]() 08.25 น. ถึงสนามบินยองลูแล้วครับ อากาศกำลังสว่างได้ที่เลย ![]() มีฝรั่งรอขึ้นเครื่องไปเที่ยวทะเลสาบอินเล หรือไปเมืองมัณฑะเลย์ตามอัธยาศัย หัวหน้าทัวร์เคยแอบเล่าว่า อยากจะรับคณะทัวร์ให้มากกว่านี้ แต่ติดขัดด้วยความจุเครื่องภายในประเทศนี่แหละ ถึงแม้จะมีหลายบริษัทก็ตาม เพราะบริษัททัวร์พม่าตอนนี้ มีหลายบริษัทด้วยสิ นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวอิสระที่ใช้บริการจองตั๋วออนไลน์ และผู้โดยสารตามปกติอยู่แล้ว ![]() เมื่อการโดยสารเรียบร้อย ก็ล้อหมุนออกชมเมืองเก่าพุกามกันล่ะ ![]() แห่งแรกที่ทัวร์จอดแวะนมัสการ คือพระธาตุชเวสิกอง ครับ พระธาตุชเวสิกอง เป็น 1 ใน 5 มหาสถานของพม่าที่พึงมาสักการะบูชา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธา ต้นราชวงศ์พุกาม เพื่อบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า (บางตำนานกล่าวว่ามีกระดูกหน้าผากและพระเขี้ยวแก้วด้วย) ซึ่งสร้างอยู่นานถึง 3 รัชกาลทีเดียว แล้วเสร็จในรัชสมัยพระเจ้ากยันสิทธา ![]() hobby ของหัวหน้าทัวร์อีกอย่างหนึ่งคือชอบถ่ายภาพ แถมได้เปรียบกว่าคนอื่นตรงที่ท่องเที่ยวมาก จะมีมุมภาพมากมายที่หามาประกอบภาพให้สวยงาม น่าสนใจอยู่เสมอ ดูฝีมือทุ่มทุนสร้างเถอะครับ ![]() จากการบันทึกภาพของหัวหน้าทัวร์ มีลูกทัวร์ครบคณะพอดี ![]() แต่ตอนนี้ ขอโชว์ภาพเดี่ยวก่อน ![]() ก่อนที่จะแยกย้ายกันเก็บภาพตามมุมองของแต่ละคนต่อไป ![]() มีผู้สนใจเข้ามาสักการะและมาชมกันมากมาย ไม่เฉพาะแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น ![]() มองไปมุมสูงครับ ![]() ทางด้านน้องผม ได้เห็นเหตุการณ์ที่แถมนอกเหนือจากรายการทัวร์วันนี้ คือ การแห่ลูกแก้ว หรือแห่นาครอบพระเจดีย์ ก่อนเข้าบรรพชา ![]() จากการอธิบายของไกด์ในวันต่อมา ทราบว่า ตามประเพณีบวชนาค มักมีขึ้นช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ พ่อแม่ของนาคจะนำลูกชายมาบวชเรียนเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน และที่นิยมกันมากคือมักจะหาเพื่อนมาบวชกันหลายรูป นัยว่าเป็นการกุศลเนื่องจากต้องใช้ทุนรอนไม่น้อยทีเดียวในการจัดงาน และเพื่อนนาคต่างก็ยินดี ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานด้วย เรียกว่าช่วยกันลดภาระค่าใช้จ่ายนั่นแหละ ![]() ต้องขออภัยล่วงหน้านะครับหากคำบรรยายไม่ตรงกับภาพที่ลงไว้ เพราะมัวลุยอยู่ในทุ่งเจดีย์ 4,000 องค์ จนผมออกจะงงๆ กับตัวเองว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ หัวหน้าทัวร์เล่าให้ฟังในรถมาก่อนหน้าแล้วว่าเจดีย์ที่นี่ ล้วนแต่เป็นอุเทสิกเจดีย์ คือ สร้างเพื่ออุทิศแก่พระพุทธเจ้า และมีเหล่าข้าราชบริพารขอพระราชทานที่ดินจากพระมหากษัตริย์เพื่อสร้างเจดีย์ดังกล่าว นับพันองค์ ล้วนแต่มีขนาดใหญ่โตทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้น บริเวณก่อสร้างพระเจดีย์ที่เคยเป็นป่า จึงถูกถางลงและนำต้นไม้มาเป็นเชื้อเพลิงเผาอิฐจำนวนมหาศาล ทำให้กลายเป็นทุ่งโล่งอันแห้งแล้งมาจนทุกวันนี้ ข้อนี้ผมสันนิษฐานเอง พูดไปเดี๋ยวเยิ่นเย้อ จากวัดพระเจดีย์ชเวสิกอง คราวนี้ รายการนำเที่ยวจะเข้าสูย่านเมืองเก่าพุกามกันล้วนๆ ล่ะ และแห่งแรกที่แวะชมคือ วัดอนันดา ![]() วัดอนันดา สร้างขึ้นโดยกษัตริย์จันสิทธะกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พุกาม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูล บนเทือกเขาหิมาลัยอันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระอรหันต์ 5 รูป เหล่าพระอรหันต์ได้ทูลเล่าถึงลักษณะวัดในอินเดียถวายพระเจ้าจันสิทธะ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงดำรัสให้ก่อสร้างวัดขึ้นตามลักษณะที่เหล่าพระอรหันต์ได้พรรณา แล้วตั้งชื่อว่าวัดอนันดา ตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ อาศัยอยู่ ![]() รีบบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมอันดีงาม ฮ่า... ![]() ส่วนไกด์ของกลุ่มทัวร์ เกริ่นไว้ว่า จะแต่งกายตามชุดของแต่ละชนเผ่า ตลอดระยะเวลาที่พาทัวร์ จึงเป็นนางแบบจำเป็นสำหรับลูกทัวร์กับสถานที่ต่างๆ อันเป็นการประชาสัมพันธ์กิจการของบริษัทแบบไม่เสียค่าโฆษณาไปด้วย ![]() ภายในเจดีย์วิหาร มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งมีช่องที่เจาะไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง ให้แสงสว่างส่องลงมาต้ององค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ![]() ทางเดินในเจดีย์วิหาร ดูสูงโปร่งโล่งตาด้วยครับ วิหารแห่งนี้ เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพุกาม มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขเด็จยื่นออกไปทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกามอีกด้วย ![]() ขอนำภาพพระพุทธรูปมาให้เห็นกันชัดๆ ครับ ![]() กับลวดลายอันอ่อนช้อยด้านนอกเจดีย์วิหาร ถ้าผิดที่ ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ฮ่า... ![]() ครั้งหนึ่ง พระชินอรหันต์ ซึ่งเป็นพระมอญ ได้เดินทางมายังเมืองพุกาม และสามารถทำให้พระเจ้าอโนรธาเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งพระองค์ได้แต่งทูตไปทูลขอพระไตรปิฎกจากพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์เจ้าเมืองสะเทิม แต่ถูกปฏิเสธ แถมถูกวิจารณ์ด้วยว่าชาวพม่าเป็นพวกป่าเถื่อนอีกด้วย ถ้าพูดตามประสาชาวบ้านก็คือ งานเลยเข้าเพราะปากของตัวเองล่ะ คราวนี้ พระเจ้าอโนรธาจึงยกทัพไปตีเมืองสะเทิม และอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับไปเมืองพุกามพร้อมเชลยซึ่งประกอบด้วย พระสงฆ์ ช่างฝีมือ นักปราชญ์ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งควบคุมตัวพระเจ้ามนูหะ และพระมเหสี ไปจองจำที่เมืองพุกาม ![]() พระเจ้ามนูหะ ได้จำหน่ายสมบัติเพื่อสร้างวัดประกอบงานบุญของตัวเอง แต่ตัววิหารคับแคบ พอครอบคลุมองค์พระที่จัดสร้างเท่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นความคับข้องใจของตนเอง ซึ่งมีชื่อว่า วัดมนูหะ ![]() ดูสภาพภายในวิหารเอาเองเถิด ![]() ผู้เข้าไปชมยังรู้สึกอึดอัดเลย จึงมักเรียกกันว่า "พระอึดอัด" ![]() ระยะห่างจากพระพุทธรูปกับผนังวิหารครับ ![]() ห้องด้านหลังพระวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปางไสยาสน์ ซึ่งพระพักตร์หันไปทิศตะวันตก เชื่อกันว่า พระเจ้ามนูหะ ต้องการสื่อความหมายถึง ความตายเท่านั้นที่จะให้พระองค์มีอิสระภาพ ![]() มุมมองจากอีกด้าน กลายเป็นพระพุทธรูปหน้าบึ้งยังไงก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ![]() พ้นจากความอึดอัด กลับเข้าสู่ความใหญ่โตกว้างขวางกันอีกครั้งหนึ่ง กับวิหารสัพพัญญู พระเจ้าอลองสิทธุโปรดให้สร้างเจดียวิหารองค์นี้ขึ้น ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ถือเป็นเจตียวิหารสองชั้นแห่งแรกในศิลปะพุกาม โดยปรากฏการซ้อนกันของเรือนธาตุชั้นล่างกับชั้นบน ชั้นล่างเป็นแกนกลางขนาดใหญ่รับน้ำหนักเจตียวิหารในผังแบบคฤหะ - มณฑปด้านบน เจตียวิหารสองชั้นนี้ ได้รับความนิยมต่อมาในศิลปะพุกามตอนปลาย โดยเจดีย์สำคัญที่ใช้เจดีย์สัพพัญญูเป็นต้นแบบ ได้แก่ เจดีย์สูลามณี และเจดีย์ติโลมินโล ![]() ติดใจกับรถม้าซึ่งวิ่งอยู่ในบริเวณเมืองเก่าพุกาม เลยขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกจากความเอื้อเฟื้อของหัวหน้าทัวร์ ![]() ขนาดความใหญ่โตนั้น กล้องถ่ายรูปยังเก็บภาพไม่หมดเลยครับ ![]() ต้องถอยห่างออกมาตั้งหลักอีกนิด ถึงจะได้รูปสมบูรณ์ กล่าวกันว่า เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามทีเดียว ![]() ภายในวิหารสัพพัญญู ![]() ความวิจิตรของฝีมือช่างสมัยก่อน หากภาพผิดพลาด ผมขออภัยเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ ![]() ขอข้ามไปที่วัดติโลมินโลเลยนะครับ วัดแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้านันต่าวมยา เป็นเจดีย์ที่มีความเป็นมาแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ ด้วยในสมัยพระเจ้านรปติสิทธู ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชายา เมื่อทรงจะตั้งองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังค์ ก็ไม่อาจตั้งราชบุตรในอัครมเหสีได้ทันที เพราะทรงเคยรับปากพระชายาองค์หนึ่งซึ่งคอยบริบาลพระองค์ขณะประชวรอย่างดียิ่งว่า จะทรงพิจารณาราชบุตรจากชายาองค์นี้ให้ขึ้นครองราชย์ด้วย เมื่อไม่อาจคืนคำที่ให้ไว้ได้ จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใด จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์สืบต่อไปจากพระองค์ ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านันต่าวมยา) ซึ่งเป็นราชบุตรอันเกิดแต่ชายาองค์ที่บริบาลพระเจ้านรปติสิทธู ชาวพม่าจึงเรียกพระเจ้านันต่าวมยาว่า กษัตริย์ฉัตรตั้ง และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย และเรียกว่า เจดีย์ติโลมินโล การคัดเลือกโดยวิธีแปลกๆ อย่างนี้ก็มีด้วย อย่างไรก็ตาม นักปราชญ์ชาวพม่าบางรายได้ตีความว่า ติโลมินโล อาจเพี้ยนเสียงมาจาก ไตรโลกมงคล หรือ ผู้ได้รับพรอันเป็นมงคลจากสามโลก นั่นเอง ![]() ขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกเช่นเคยครับ ![]() ภายในวิหารติโลมินโล ![]() ส่วนภายนอกวิหารนั้น ล้วนแต่มีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกต่างๆ ให้ผู้สนใจได้เลือกหากันมากมาย ![]() รูปวาดก็มี ทั้งวาดเองหรือโรยทรายสีด้วยครับ แถมจำหน่ายกระบอกไม้ไผ่ลงรักใส่ภาพอีกด้วย ![]() หากมีแรง ซื้อหาขนกลับไปบ้านได้เลย ![]() มิใช่ทำตัวเป็นนักเลงโตเหยียบข้าวของรังแกเด็กครับ แต่ลืมถอดแว่น หน้าตาเลยดุไปหน่อย ![]() หุ่นกระบอกก็มีขาย แต่แปลกตรงที่ลูกทัวร์คนไทยมักจะไม่ค่อยซื้อหา เกรงว่าจะขยับได้เองเวลาไม่มีใครเชิดต่างหาก ปานละครเรื่อง "ห้องหุ่น" ประมาณนั้น ![]() ลูกทัวร์กำลังให้ความสนใจกับหุ่นกระบอกที่แขวนอยู่รอบบริเวณวัด ![]() มาดของทีมงานอันประกอบด้วยหัวหน้าทัวร์กับไกด์ ยามผ่อนคลายอิริยาบทครับ แอบได้ยินไกด์กล่าวว่า หัวหน้าทัวร์ ลำดับอายุเป็นรุ่นน้าของเจ้าตัวเลยล่ะ ส่วนหัวหน้าทัวร์บอกว่า หากมีไกด์หน้าใหม่รายใด ทางบริษัทจะส่งตัวมาฝึกงานที่พม่าเป็นครั้งแรก อันมีเรื่องจุกจิกหยุมหยิมมากมาย หากผ่านการทดลองงานแล้ว สามารถรับมือกับกลุ่มทัวร์ของบริษัทกลุ่มไหนก็ได้ ![]() รายการนำชมในครึ่งวันแรก จะสิ้นสุดลงที่วิหารธรรมยันจี ซึ่งมีเกร็ดประวัติอันค่อนข้างโหดไม่น้อย ![]() สันนิษฐานเชื่อว่า ผู้สร้างวัดธรรมยันจี คือ พระเจ้านะระตู่ เพื่อไถ่บาปที่ฆ่าพระบิดาและพระเชษฐาของตนเอง พระปณิธานของพระเจ้านะระตู่ มีพระประสงค์ให้เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด และสวยงามที่สุดกว่าวัดอนันดา และเจดีย์สัพพัญญู วิหารแห่งนี้มีชื่อเสียงที่สุดในการเรียงอิฐ แม้แต่ประตูก็ก่ออิฐเป็นวงโค้งจนแทบไม่เห็นรอยต่อ มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า อิฐเหล่านี้ เวลาช่างเรียงเสร็จแล้วจะประกบกันสนิทแน่นจริงๆ เวลาที่พระเจ้านะระตู่เสด็จมาตรวจงาน พระองค์จะทดสอบโดยเอาเข็มสอดเข้าไปในระหว่างแผ่นอิฐ ถ้าสอดเข็มเข้าไปได้ ช่างคนนั้นจะถูกตัดแขน ช่างทำอิฐต้องปาดด้านหน้าให้เรียบสนิทที่สุด ก่อนนำเข้าเตาเผา ผนังที่ได้จึงเรียบสนิทไร้รอยต่อ เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่แสดงให้เห็นว่าเทคนิคการก่อสร้างของชาวพุกามนั้นเลอเลิศมาก สิ่งก่อสร้างจึงสามารถยืนหยัดท้าสายลมแสงแดดมายาวนานได้นับพันปี บาปกรรมของพระองค์ ทำให้ไม่มีศรัทธาที่สามัญและบริสุทธิ์ของประชาชนมาร่วมสร้าง การสร้างวิหารแห่งนี้จึงต้องใช้วิธีเกณฑ์แรงงานมาอย่างกดขี่ข่มเหง จนประชาชนล้มตายไปมากมาย และได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน ![]() ภายในวิหารธรรมสันจี มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ถึง 2 องค์ ทำให้ดูแปลกตาแก่ผู้มาพบเห็น สันนิษฐานว่าองค์หนึ่งคือพระสมณโคดม ส่วนอีกองค์นั้น เป็นพระศรีอารยเมตไตรย์ ช่างโบราณอาจจะจงใจปั้นพระศรีอารยะเมตไตรย์ (ที่คนเชื่อว่าคือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่จะมาจุติบนโลกมนุษย์) ไว้ล่วงหน้าก่อนจะเสด็จมาก็เป็นได้ หรือพระเจ้านะระตู่มีพระบัญชาให้ปั้นไว้ เพื่อแสดงว่าพระศรีอารยริยเมตไตรย์เสด็จมาโปรดสัตว์ในแผ่นดินของพระองค์แล้ว ![]() อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงครองราชย์ได้เพียง 5 ปี มีพระสนมซึ่งเป็นธิดาของเจ้าแคว้นหนึ่งของอินเดีย ซึ่งรังเกียจพระองค์ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย จนไม่ยอมให้เข้าใกล้อีก เลยสั่งประหารพระสนมองค์นี้ พอข่าวไปถึงพระบิดา จึงส่งทหาร 8 นาย ปลอมเป็นพราหมณ์เข้ามาในวัง ครั้นสบโอกาสจึงฆ่าพระองค์เสีย และฆ่าตัวเองตายตามไปด้วย (แต่บางตำนานกล่าวว่าทรงเข้าไปแทรกแซงการค้าระหว่างลังกากับเขมรที่ผ่านทางคาบสมุทรมลายา ทรงจับเจ้าหญิงลังกาขณะเดินทางไปเขมร และไม่ยอมค้าช้างกับลังกา... กษัตริย์แห่งกรุงลังกาจึงยกกองทัพเรือข้ามมหาสมุทร แล่นเรือขึ้นมาตามลำน้ำอิรวดี เข้ายึดเมืองพุกาม แล้วฆ่ากษัตริย์นราสุในปี พ.ศ.1708 เพียงเวลาขึ้นปีที่ 4 ของรัชกาล ขณะที่วิหารธรรมยันจีเสร็จเพียงโครงสร้าง เป็นเหตุให้พุกามว่างเว้นกษัตริย์เป็นเวลาถึง 9 ปี) ![]() ถึงตอนนี้ ชาวคณะเริ่มสอดส่ายสายตามองดูร้ายขายเครื่องดื่มที่อยู่ตามจุดต่างๆ ในบริเวณวัด แต่ยังเกรงว่าไฟธาตุของตนยังไม่เข้มแข็งเหมือนชาวบ้านร้านถิ่น เลยสะกดใจไว้ ![]() แต่กิเลสยังมายั่วใจอีก เมื่อเห็นแผงจำหน่ายส้มตำ มีลูกค้ามาอุดหนุนกันไม่ว่างเว้น (พม่าก็มีส้มตำขายนะ แต่รสชาติเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีใครมาเล่าให้ฟัง) หัวหน้าทัวร์คงสังเกตเห็น เลยพาชาวคณะขึ้นรถไปยังร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี หลังจบรายการทัวร์ช่วงเช้า เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. |
บทความทั้งหมด
|