ในตอนที่แล้ว ผมพานั่งรถไฟจัดเฉพาะ Circular Train จากชุมทางบางซื่อ ผ่านชุมทางฉะเชิงเทรา ชุมทางคลองสิบเก้า ชุมทางแก่งคอย และเข้าสู่แผ่นดินอีสานจนถึงสถานีจันทึก วันนี้เราไปกันต่อนะครับ
จากสถานีจันทึก เส้นทางจะเลาะเขาริมอ่างเก็บน้ำลำตะคอง
ด้วยลักษณะพื้นที่เป็นหินผุปนกับดินลูกรัง มักเกิดปัญหาดินข้างทางพังสู่ทางรถไฟสายนี้ในช่วงฝนที่ผ่านมา จนปิดเส้นทางเพื่อซ่อมหลายหน แม้แต่เสาโทรเลขริมทางยังไม่พ้นภัยนี้
ผ่านสถานีคลองขนานจิตร ซึ่งเป็นหนึ่งในสองแห่งที่ก่อสร้างใหม่พร้อมแนวทางรถไฟที่ย้ายหนีน้ำขึ้นมาจากบริเวณอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ที่ผู้คนในสมัยนี้ มักจะไม่ทราบกันนัก
ช่วงขาไป ขบวนรถยังไม่ได้แวะจอดสถานีนี้ครับ
สภาพหินข้างทางที่ร่วงมาทับเส้นทางรถไฟ ที่ถูกงัดออกไปพ้นทางแล้ว
สังเกตเสาโทรเลขข้างทางด้วยนะครับ ที่ยังใช้เสาชั่วคราวรองรับสายแทนเสาเดิมซึ่งทำจากเหล็กรางรถไฟเก่า ก่อนถูกดินข้างทางพัดหายไป
ตอนนี้ขบวนรถได้แล่นเข้าใกล้สถานีคลองไผ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวเขื่อนลำตะคอง และนิคมสร้างตนเองลำตะคองด้วยครับ
หากใครที่เคยนั่งรถยนต์ไปเที่ยวเขื่อนลำตะคอง คงจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่ามาตามเส้นทางรถไฟ
แล้วรถไฟจัดเฉพาะเพื่อการท่องเที่ยว Circular Train ได้นำคณะทัวร์เข้าสู่สถานีคลองไผ่ซึ่งเป็นสถานีปลายทางโดยสวัสดิภาพ และจอดให้บรรดาลูกทัวร์เดินถ่ายรูปตามสถานีรถไฟเป็นเวลา 20 นาที
ช่วงที่เดินทางมาถึงสถานีคลองไผ่ ก้มมองดูนาฬิกา บอกเวลา 15.30 น.แล้วครับ
ชักเป็นห่วงแล้วสิว่า จะกลับเข้าถึงกรุงเทพฯ สักกี่ทุ่มหนอ ?
ไหนๆ ดั้นด้นเดินทางมาไกลถึงสถานีคลองไผ่แล้ว ถือโอกาสลงเดินสำรวจบริเวณรอบๆ สถานีกันหน่อยล่ะครับ
สังเกตจากสีที่ทาอาคารจนเป็นสีเอกลักษณ์ของการรถไฟฯ นั้น ช่างดูคลาสสิกจริงๆ
รวมถึงรูปทรงอาคารบ้านพักนายสถานีด้วยครับ ซึ่งสมัยนี้ได้กลายเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนไปหมดแล้ว
กลับไปทางย่านสถานี เจอหลัก
"ศิลาลิขิต" แล้วสิครับ ไปดูกันหน่อยว่าเขียนไว้อย่างไรบ้าง
ที่ผมไม่เรียกว่าศิลาจารึกนั้นเพราะไม่ได้สลักไว้ครับ ใช้พู่กันจุ่มสีเขียนเป็นตัวอักษรเท่านั้น
ต้องใช้สายตาถึงสามคู่ และเค้นพลังสมองกันนานพอสมควร จึงแกะลายมือเขียนไว้ว่า
"ก.ม.288+180.90
จุดเริ่มต้น
ทางรถไฟเลียบ
อ่างลำตะคอง
1 ธ.ค.10"ถ้าผิดพลาดประการใด ขอได้อภัยด้วยครับ น่าเสียดายหลักฐานประวัติเส้นทางช่วงนี้จริงๆ ที่ควรจะรับการดูแลให้ดีกว่านี้
ผู้ร่วมแกะ
"ศิลาลิขิต" ท่านนี้ คงจะภูมิใจกับหลักฐานชิ้นนี้มาก จึงขอให้ผมบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วย
หน้าตาอาจภูมิฐานไปสักนิด แต่อาชีพหลักของท่านนั้นเป็นถึงผู้พิพากษาทีเดียว
ได้เวลาเสียงโทรโข่งจากผู้จัดเริ่มดังเรียกคณะทัวร์กลับขึ้นรถล่ะครับ
เพื่อเดินทางไปชมทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำลำตะคองที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด บริเวณสถานีคลองขนานจิตร
และแล้ว ขบวนรถจัดเฉพาะเพื่อการท่องเที่ยว ได้เวลาออกเดินทางกลับจากสถานีคลองไผ่
หากท่านใดที่นั่งรถทัวร์สายอีสานผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลำตะคอง ของกรมทางหลวง และสวนน้าชาติ ที่เขายายเที่ยง ถ้ามองไปยังอีกฟากหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ จะเห็นทางรถไฟสายอีสาน และสถานีเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง คือสถานีคลองขนานจิตร นั่นเอง
คราวนี้ เรามองจากฝั่งสถานี มองไปยังศูนย์บริการทางหลวงกันบ้างล่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวสองรายนี้ ค่อนข้างจะ Happy เป็นพิเศษ ขณะช่วยกันบันทึกภาพจากมุมมองที่ไม่เคยเยือนมาก่อน
ลองซูมจนสุดกำลังกล้อง ได้ภาพมาแค่นี้เองครับ
เฮฮาบันทึกภาพกันได้ไม่นาน ต้องมานั่งเงียบเหงาทั้งบนรถไฟและอาคารสถานีเป็นทิวแถว เพราะฝนชะช่อมะม่วงดินแดนอีสาน เทลงมาพอดี
นี่ก็อีกกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังเซ็งกับบรรยากาศยามนั้นครับ
เวลาผ่านไปราว 15 นาที สายฝนจึงค่อยสร่างซาลง พร้อมๆ กับได้เวลาออกเดินทางต่อพอดี
นายสถานีคลองขนานจิตร โบกธงเขียวปล่อยขบวนรถล่ะครับ
สถานีแห่งนี้ ไม่มีถนนใดๆ ผ่าน แถมประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอีกด้วย ทางหน่วยงานที่แก่งคอยจึงจัดรถ บทน. (โบกี้บรรทุกน้ำ) มาจอดให้บริการน้ำสะอาดแก่บรรดาพนักงานได้ใช้สอยทุกเดือน มิได้ขาด
น่าจะมีเบี้ยกันดารแถมให้ด้วยนะ...
(รอติดตามตอนสุดท้ายด้วยนะครับ)