Xinchao Vietnam ( 1 )
สวัสดีครับ...

ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปติดตามคณะทัวร์ของสภาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านของเรา คือ เวียตนาม นับว่าเป็นรายการทัวร์ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลที่สุดในชีวิตของผม

การไปครั้งนี้ ไม่ได้ไปฟรีนะครับ แต่ไปในประเภทผู้ติดตามคณะ โดยออกค่าใช้จ่ายเองเป็นเงิน 14,000 บาท และต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตพร้อมรับรองไปล่วงหน้า เพื่อประสานงานก่อนการเดินทางด้วย

พอไปถึงขอนแก่นเข้าจริงๆ ปรากฎว่ามีผู้ติดตามคณะเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ ตัวผม เพราะต้องนั่งรถทัวร์ตะลอนๆ ไปเวียตนามตอนเหนือ ตั้งแต่วันที่ 20 - 23 เมษายน 2556 ซึ่งรายการนั่งรถทัวร์ ทำให้หลายคนดูแล้วส่ายหัวขอสละสิทธิ์ รอรายการที่ไปโดยเครื่องบินดีกว่า



ครั้นได้เวลา 00.30 น.ของวันที่ 18 เมษายน 2556 รถทัวร์ที่จะพาคณะไปนั้นเข้ามาจอดเทียบที่ มข.

เป็นรถจดทะเบียนใน สปป.ลาว ส่วนคนขับนั้น เป็นชาวเวียตนาม สร้างบรรยากาศไปเมืองนอกตั้งแต่เรื่มเดินทางเลยล่ะ แต่ไกด์ประจำรถนั้นเป็นชาวนครพนม พูดภาษาเวียตนามคล่องเป็นน้ำไหล สร้างความมั่นใจกับคณะทัวร์ว่าไม่มีการพาไปหลงแน่นอน

ทราบในภายหลังว่า เหตุที่จดทะเบียนรถในลาว เนื่องจากรถจากต่างประเทศที่เข้าไปในลาวนั้น จะต้องมีพาสปอร์ตสำหรับรถยนต์ และประกันภัย พร้อมทั้งเตรียมรับมือกับปัญหาจิปาถะในลาว เลยจดทะเบียนรถในลาวให้สิ้นเรื่องสิ้นราวครับ

ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังหลับอุตุฝันหวานอยู่นั้น รถของคณะทัวร์กำลังไต่เขายึกๆ ข้ามภูพาน และไปถึงจังหวัดนครพนม สุดปลายคมขวาน เมื่อเวลารุ่งสางพอดี และให้คณะทัวร์อิ่มกับมื้อเช้าที่โรงแรมวิวโขง แกรนด์วิว ก่อนเดินทางออกนอกประเทศที่นั่น



พอได้เวลา 08.00 น. รถทัวร์ล้อเริ่มหมุน จากตัวเมืองนครพนมไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ประทับตราออกนอกพระราชอาณาจักรที่นั่น โดยไกด์ เป็นผู้ดำเนินการรวบรวมพาสปอร์ตของลูกทัวร์ไปดำเนินการ โดยให้ลูกทัวร์บันทึกภาพเป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย



พอเวลาล่วงเลยไปได้ประมาณ 20 นาที ไกด์ได้เรียกลูกทัวร์กลับมาขึ้นรถ เพื่อข้ามสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 3 ซึ่งทอดยาวผ่านทางหลวงสายหนองคาย - บึงกาฬ - นครพนม - มุกดาหาร - อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ สู่แผ่นดิน สปป.ลาว



เมื่อก่อน ผมเคยได้ยินว่า รถประจำทางจากหนองคายไปนครพนม ใช้เวลาเดินทางร่วมวันทีเดียว ผมยังทึ่งไม่หาย ในความห่างไกลของสองจังหวัดนี้

แต่ตอนนี้ ไม่แปลกใจแล้วครับ เพราะมีการตั้งจังหวัดบึงกาฬ ขึ้นมา



แล้วก็พบกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของ สปป.ลาว ตั้งอยู่ข้างหน้า ซึ่งคณะทัวร์ต้องลงจากรถเพื่อแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ โดยมีการบันทึกภาพเป็นรายบุคคล เพื่อทำประวัติ หากเป็นการเข้าเมืองโดยใช้พาสปอร์ตเป็นครั้งแรกครับ

และที่ด่านแห่งนี้ พาสปอร์ตของผมซึ่งขาวสะอาดมาร่วม 4 ปี เริ่มมีตราประทับเป็นครั้งแรก

เช่นกัน ไกด์ได้กำชับว่า อย่าได้ถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ของด่านขณะปฏิบัติหน้าที่ อาจถูกยึดกล้องโดยไม่มีการคืนก็ได้



เวลาผ่านไปอีกประมาณ 20 นาที ชาวคณะได้ถูกเรียกขึ้นมานั่งบนรถอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากขั้นตอนการเข้าเมืองได้เสร็จสิ้นแล้ว และล้อรถเริ่มหมุนออกจากด่าน เข้าสู่ดินแดนของ สปป.ลาวอย่างเต็มภาคภูมิ

จากด่านตรวจคนเข้าเมือง มาบรรจบกับสามแยกทางหลวงหมายเลข 13 ของ สปป.ลาว แทนที่รถจะเลี้ยวขวาเข้าสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ซึ่งเป็นนต้นทางหลวงสาย 12 สู่ประเทศเวียตนาม รถกลับเลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางเหนือ สู่บ้านน้ำทอน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งเป้นเส้นทางหลวงหมายเลข 8 สู่ดินแดนเวียตนามเช่นกัน ซึ่งทางไกด์บอกว่าต้องการให้คณะทัวร์ได้สัมผัสบรรยากาศการเดินทางที่ไม่ซ้ำกันทั้งขาไป ขากลับ

การเดินทางเริ่มต้นจริงๆ แล้วล่ะครับ



รถทัวร์ได้ขึ้นเหนือไปตามทางหลวงหมายเลข 13 ของ สสป.ลาว ทำให้ผมถือโอกาสสะสมแต้มดูสองข้างเส้นทางช่วงนี้ไปด้วย

พบว่ามีรถราใช้เส้นทางสายนี้มากทีเดียวครับ



ประมาณชั่วโมงเศษ เราก็เดินทางถึงบ้านน้ำทอน แขวงบอลิคำไซ ต้นทางหลวงหมายเลข 8 ไปยังชายแดนเวียตนาม ซึ่งทางบริษัทฯ ได้จอดพักรถให้คณะทัวร์ไปทำธุระส่วนตัวทั้งหนักเบา ที่ร้านกินดื่มข้างทางตามอัธยาศัย

สำหรับลูกทัวร์ที่เป็นสุภาพสตรีนั้น ค่อนข้างจะมีปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากห้องน้ำมีจำนวนน้อย ต้องรอคิวกัน และทราบว่า ทางข้างหน้า มีสุขาที่เข้ามาตรฐานสากลอยู่น้อยแห่ง จำเป็นต้องทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินทางกันต่อไป



เส้นทางหลวงหมายเลข 8 แต่เดิมเป็นเส้นทางลูกรัง แต่หลังจากรัฐบาล สปป.ลาว ตกลงใจเปิดจุดผ่านแดนถาวรกับสาธาณรัฐสังคมนิยมเวียตนามแล้ว ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น ปรับปรุงเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางลาดยางตลอดสาย และอีกสาเหตุหนึ่งที่มีการพัฒนาเส้นทางสายนี้ คือมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน - หินบุน ซึ่งอยู่บริเวณเส้นทางนี้ด้วยครับ

อีกอย่างหนึ่ง คือเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายหลักในการขนส่งหมาที่หลุดรอดการจับกุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ริมฝั่งแม่น้ำโขง ผ่านดินแดน สปป.ลาว ไปยังเวียตนาม

แต่วันที่ผมเดินทางไปนั้น ไม่มีรถขนส่งหมาแม้แต่คันเดียว



สะพานเบลี่ย์ ที่ยังคงเหลือบนเส้นทาง



ถึงจะเป็นเส้นทางบนเขา น้องๆ ทางหลวงสายแม่สะเรียง - แม่ฮ่องสอน ก็ตาม แต่ก็มีรถโดยสารวิ่งผ่านมาแทบไม่ขาดระยะ บางครั้งก็มีรถบรรทุกจากฝั่งไทย กลับมาจากส่งผลไม้ที่ชายแดนเวียตนามอีกด้วย

ทราบจากไกด์ว่า รถบรรทุกสินค้าจากเมืองไทย ไม่ได้รับอนุญาตเข้าเวียตนาม จึงต้องจอดขนถ่ายสินค้ากับรถบรรทุกของเวียตนามที่ชายแดนนั่นแหละ



ลดเลี้ยวไปบนเขาจนเวียนหัวดีแล้ว ทางไกด์บอกว่ารถจะจอดให้คณะทัวร์ชมทิวทัศน์ภูผาม่าน ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงศาลาชมวิว ซึ่งแขวงบอริคำไซ อุดมสมบูรณ์ด้วยภูเขาหินปูน ทิวทัศน์สวยงามมากครับ

มีป้ายบอกถึงการอุปถัมภ์จากบริษัทผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเทิน - หินบุน ให้นักท่องเที่ยวได้ทราบด้วย



ทิวทัศน์หนึ่งในสิบของภูผาม่านที่บันทึกภาพได้ครับ ของจริงกว้างขวางกว่านั้นมากมาย



บรรดาลูกทัวร์ กับนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ



จากนั้น คณะทัวร์ก็ผ่านบริเวณโครงการและโรงไฟฟ้าน้ำเทิน - หินบุน เคยได้เห็นแต่ภาพข่าว เพิ่งเห็นของจริงก็วันนี้แหละ

ตัวเขื่อนและอ่างเก็บน้ำตั้งอยู่บนเขาครับ แล้วผันน้ำผ่านอุโมงค์ลอดภูเขาลงมายังโรงไฟฟ้าที่อยู่ข้างล่าง เช่นเดียวกับเขื่อนจุฬาภรณ์ของไทย



เลยจากเขื่อนน้ำเทินอีกเพียงเล็กน้อย จะถึงเขารูปร่างประหลาดอยู่ลูกหนึ่ง ตามนิยายพื้นบ้านปรัมปราของลาว ว่ากันว่าเป็นบักบ่ะลึ่กคึ่กของยักษ์ตนหนึ่ง

ความบ่ะลึ่กคึ่กของยักษ์ตนนี้ สามารถกวาดพื้นทำกำแพงเมืองกั้นไม่ให้กะปอมยักษ์ (ไดโนเสาร์) เข้ามารบกวนชาวเมือง ซึ่งทรากของกำแพงยักษ์ ตั้งอยู่เหนือเมืองท่าแขกจนทุกวันนี้



ภาพริมทางขณะเดินทางครับ



ราวห้าโมงเช้าของวันนั้น รถได้นำคณะทัวร์มาถึงบ้านหลักซาว (กม.20) โดยสวัสดิภาพ แต่ตามจริงนั้น ตัวหมู่บ้านห่างจากชายแดน 30 กม.และพักรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่นี่

ชื่อของหมู่บ้านวัดจากชายแดน สปป.ลาว - เวียตนาม ครับ

มื้อกลางวันแบบง่ายๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจของคณะทัวร์เป็นอย่างยิ่ง อาจว่าได้เวลามื้อกลางวันด้วยกระมัง ?

ทราบจากไกด์ว่า ร้านอาหารนี้ เป็นร้านแรกที่เปิดให้บริการแก่ผู้เดินทางและนักท่องเที่ยว จึงมีชื่อดังที่เห็น



จากบ้านหลักซาว เริ่มเห็นรถรามากขึ้นแล้วครับ เป็นรถโดยสารซึ่งนำพี่น้องชาวเวียตนามเดินทางกลับบ้าน ที่เมืองฮาติ่งห์ (Ha Tinh)



เส้นทางเริ่มไต่เขาอันหนัม ที่แบ่งพรมแดนของ สปป.ลาว และเวียตนาม ออกจากกัน โดยมีลำน้ำพาว ไหลลัดเลาะอยู่ริมทาง



แล้วผมก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองน้ำพาว ของ สปป.ลาว ต้องจอดรถเพื่อทำกรรมวิธีผ่านด่าน ใช้เวลาร่วม 20 นาที



มีรถโดยสารข้ามแดนระหว่าง สปป.ลาว กับเวียตนาม เข้ามาจอดรอกระบวนการผ่านแดนด้วยครับ



และด่านเกาแจว (Cau treu) ประตูเข้าสู่แผ่นดินเวียตนาม ก็อยู่ต่อหน้า

ระยะจากด่านทั้งสองแห่งนั้น จะเป็น No man's land ซึ่งก่อนนั้น จะมีรถขนหมาจากเมืองไทยมาจอดถ่ายรถบรรทุกสู่เวียตนามตรงนี้แหละครับ

แต่ตอนนี้ หายเงียบไปแล้ว ถ้าไม่หาย ผมจะถ่ายภาพให้ดูล่ะ



คราวนี้คงมีโอกาสได้พูดว่า "ซินจ่าว... เวียตนาม" อย่างเต็มปากเต็มคำล่ะครับ ตัวอักษรของเวียตนามล้วนไม่คุ้นตาผมทั้งสิ้น

ไกด์เล่าว่า ลูกทัวร์หลายคณะ ตั้งชื่อเส้นทางสายนี้ได้อย่างน่ารักว่า "เส้นทางสายกุหลาบ"

หลายคนช่วยกันคิดว่า อาจเป็นเพราะทิวทัศน์สองข้างทางสวยกระมัง ? 

แต่ไกด์ส่ายหัว ก่อนเฉลยว่า "เส้นทางสายกรู(เข็ด)หลาบ" ต่างหาก เพราะวิ่งไปตามภูเขา แถมคดโค้งเหลือกำลัง

เรียกเสียงเฮฮาทั้งคันรถเลยล่ะ 



Create Date : 02 มิถุนายน 2556
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 8:38:58 น.
Counter : 2991 Pageviews.

2 comments
ตลาดเช้า, สถานีรถไฟพินอูลวิน สายหมอกและก้อนเมฆ
(18 เม.ย. 2567 17:06:42 น.)
กงสุลใหญ่สมใจ ตะเภาพงษ์“ร่วมฉลองสงกรานต์ปีใหม่ไทยในไทม์สแควร์” newyorknurse
(17 เม.ย. 2567 02:18:24 น.)
วัดพระธาตุเสด็จ อำเภอเมือง ลำปาง tuk-tuk@korat
(14 เม.ย. 2567 13:54:44 น.)
Bangsaen 21 The Finest Running Event Ever 2023 บางแสน แมวเซาผู้น่าสงสาร
(12 เม.ย. 2567 10:20:55 น.)
  
ชอบค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 7 มิถุนายน 2556 เวลา:14:25:58 น.
  
ขอบคุณครับ เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครไป เลยนำมาลงกันหน่อย
โดย: owl2 วันที่: 7 มิถุนายน 2556 เวลา:15:27:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Owl.BlogGang.com

owl2
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด