การรู้ชัดความจำ
การรู้ชัดความจำ
เป็น "เรื่องราว" ทั้งนั้น.......?
ถ้า ที่มีคนถาม ว่า สีอะไร....เราก็คิดเรื่องสี
ถ้าเขาไม่ถาม เราก็ไม่คิดถึงเรื่องสีเลย
แต่เราคิดถึง "เรื่องราว"........?
-------------------------------
ความ จำเรื่องของสี ต้องมี....ไม่ใช่ไม่มี.!
แต่ หมายความว่า
ปกติ แล้ว......เรา "คิด" เป็น "เรื่อง ราว"
หลังจาก เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะ ขณะนั้น เราไม่ได้สนใจตรง "สี"
แต่ เราไปสนใจใน "เรื่องราว"
-------------------------------
คิด นึก ก็คือ คิดนึก
แต่ไม่ใช่ว่า พอท่านผู้ฟังตื่นนอนขึ้นมา
ก็ มีแต่การเห็นสีต่างๆ ทางตา ตลอดทั้งวัน.
-------------------------------
การ ที่เราจะเข้าใจ "ลักษณะ" ของ "รูปารมณ์"มากขึ้น
คือ ขณะนี้เอง.!
ขณะ ที่ ละคลาย ความเป็นบุคคล ต่างๆ.
------------------------------
เพราะ ฉะนั้น
ก็ต้องมีการเจริญสติปัฏฐาน
เพื่อที่ "สติปัฏฐาน" จะเกิด "คั่น" สภาพธรรม
ที่กำลังเกิดดับ สืบต่อกันอย่างรวดเร็วนี้
โดยที่มีสภาพธรรมปรากฏ ทีละอย่างๆ ทีละทางๆ
------------------------------
สำหรับทางตา
การ ที่เราจะเข้าใจขึ้น ก็คือ ไม่ใช่ขั้นคิดนึก
ไม่ใช่ขั้นรู้เรื่องราว ของสิ่งที่ปรากฏทางตา.
แต่ต้องเข้าใจขึ้น ว่า
แม้ ขณะที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้นะคะ
ความรู้ของเราเพิ่มขึ้นบ้างไหม..?
ว่า ที่กำลังเห็นนี้ ขณะนี้
คือ "เห็น" สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น.
(ไม่ใช่ "สิ่งที่ปรากฏทางอื่น")
------------------------------
ถ้า จะรู้อย่างนี้...ก็หมายความว่า
เราจะต้องรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา คือ การเห็นสี
ซึ่ง ต่างกับ สิ่งที่ปรากฏทางหู คือ การได้ยินเสียง
การ รู้สภาพธรรม ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวารนั้น เกิดสลับกัน
เพราะว่า
"จิต" จะรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไปเรื่อยๆ
สลับกันไป
และ "จิต" ไม่เคยหยุด.....ที่จะรู้อารมณ์.!
--------------------------------
อย่าง เช่น
ระหว่างที่เรากำลังพูด
เราก็ไม่ได้ยินเสียง
แต่ เมื่อเสียงปรากฏ เกิดแทรกขึ้นมา
เราก็ได้ยินเสียง.
(เป็น ต้น)
-----------------------------
และ ความรู้ ที่เพิ่มขึ้น
คือ เมื่อเรารู้ความต่างกัน ของสิ่งที่ปรากฏ
แต่ ละทาง แต่ละอย่าง
รู้ ว่า มี "ลักษณะ" ที่ต่างๆกันอย่างไร
เป็น นามธรรม เป็น รูปธรรม อย่างไร.
---------------------------
จะ ต้องค่อยๆ "อบรม" เจริญสติปัฏฐาน
จนค่อยๆ ชินขึ้น ค่อยๆ ชำนาญขึ้น
สติ ระลึกได้ บ่อยขึ้นๆ
จนกระทั่ง "ปัญญา"
สามารถที่จะ "รู้ชัด"ในสภาพธรรม.
และ ปัญญา" สามารถที่จะ "ละคลายการยึดถือ"
ในสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ
ที่เคยยึดถือว่าเป็น เรื่องราว เป็นคน เป็นสัตว์ ฯลฯ
(ซึ่ง แท้จริง คือ นามธรรม และ รูปธรรม)
----------------------------
ที่ สำคัญ
"การเจริญสติปัฏฐาน"
ต้องเป็นขณะที่ สภาพธรรม กำลังปรากฏ.
(คือ ขณะปัจจุบัน)
ขณะที่กำลังเห็น ก็ เห็น "สิ่งที่ปรากฏทางตา"
ซึ่ง ถ้าจะเป็น "การเห็นจริงๆ" ได้นั้น
ก็ต่อเมื่อ "ปัญญา" รู้ทั่ว ทางอื่นทั้ง ๖ ทาง
ที่ เกิดสลับกันด้วย.
เมื่อนั้นละค่ะ ที่ "ปัญญาจะรู้ชัด"
ว่า ขณะนั้น กำลังรู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"
ซึ่ง ไม่ใช่ขณะที่รู้เสียง.
( เป็นต้น)
( รู้ชัด เพราะ รู้ทั่ว............
คือ รู้ความต่างกันของสภาพธรรมแต่ละอย่าง
ได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์
ซึ่งสภาพธรรมเหล่า นี้......
ปรากฏเฉพาะแต่ละทางๆ...๖ ทวาร ทางใดทางหนึ่ง แต่ละประเภท
คือ สีปรากฏทางตา เสียงปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก
รส ชาดต่างๆปรากฏทางลิ้น การรบสัมผัสปรากฏทางกาย
และ ความคิดต่างปรากฏทางใจ)
------------------------------
เพราะ ฉะนั้น "การเจริญสติปัฏฐาน"
ต้องรู้ทั่ว ทั้ง ๖ ทวาร.
คือ รู้สีทางตา รู้เสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น
รู้โผฏฐัพพะทางกาย และ รู้ธัมมารมณ์ทางใจ.
จะต้อง รู้ ประกอบกันไปด้วย
( คือ รู้ทั่ว...ทั้ง ๖ ทวาร)
ไม่อย่างนั้น จะกล่าวว่า "รู้ชัด" ไม่ได้.!
เพราะว่า รู้แต่เฉพาะทางใดทางหนึ่งนั้น
ไม่ใช่ "การรู้ชัด"
Create Date : 10 เมษายน 2553 |
Last Update : 10 เมษายน 2553 16:48:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 131 Pageviews. |
|
|
|
| |