ละกิเลส คือ การไม่ยึดติดกับ กิเลส
ผมขอทำความเข้าใจกับท่านนักปฏิบัติเรื่องการละกิเลส ก่อนที่ท่านนักปฏิบัติจะอ่านต่อไป ผมขอให้ท่านเปิดใจให้กว้างก่อน อย่าได้อ่านด้วยการนำเอาทิฐิส่วนตัวของท่านที่มีอยู่แล้ว เพราะผมมั่นใจอย่างมากว่า สิ่งที่ผมจะเขียนนี้ มันไม่ตรงกับทิฐิของท่านอย่างแน่นอน เพราะว่า....
ในชาวพุทธในไทย เชื่ออย่างหัวชนฝาว่า การละกิเลส ได้หมายความว่า ต้องไม่มีกิเลสนั้้น ๆ เกิดขึ้นในจิตใจเลย ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า ใครหนอ เป็นคนต้นเรื่องที่นำความเห็นนี้มาสู่คนไทย ทำให้ชาวไทยที่เป็นนักภาวนาเกิดการกลุ้มอกกลุ้มใจว่า ภาวนาแล้วทำไมกิเลสจึงยังมีอยู่
สิ่งที่ท่านกำลังเข้าใจนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ ท่านกำลังเข้าใจธรรมชาติของของจิตใจท่าน ผิดไปแล้ว
มาดูสภาวะธรรมของกิเลสกันครับว่า เป็นเช่นไร
1...ในคนปุถุชนทั่ว ๆ ไป ในยามที่เขาปรกติอยู่ จิตใจของเขาจะไม่มีอะไร และแน่นอนว่า ในยามนั้น จิตใจของเขาก็ไม่มีกิเลสอยู่ แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เขาไปพบกับสิ่งที่พอใจหรือไม่พอใจ กิเลสในจิตใจของเขาจะเกิดขึ้นทันที เนื่องจากในปุุถุชน การยึดติดคือตัณหายังหนาแน่นและมีประสิทธิภาพสูง ในขณะที่กำลังสัมมาสติสัมมาสมาธิกลับอ่อนปวกเปียก เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้ว ตัณหานี้จึงยึดให้กิเลสกับจิตใจของเขาเข้าด้วยกันอย่างเหนี่ยวแน่น ทำให้ปุถุชนเกิดความเข้าใจไปว่า... ฉันกำลังโกรธ ฉันกำลังไม่พอใจ ฉันกำลังพอใจ และอื่นๆ อีกมาก แต่ทุกอย่างเป็นตัวฉัน เป็นของฉัน ทั้งสิ้น
2..สำหรับกัลยาณชน คือ คนทีฝึกฝนสัมมาสติสัมมาสมาธิ จนมีพลังจิตที่กล้าแข็งขึ้นกว่าปุถุชน หรือ นักภาวนาทั้งหลาย ที่ภาวนามาได้ผลบ้างแล้ว ที่เห็นจิตปรุงแต่งได้แล้ว
ในยามปรกติ เขาจะเหมือนปุถุชน คือ จิตใจไม่มีอะไร และไม่มีกิเลสอยู่ แต่ในยามที่เขาไปพบกับอะไรสักอย่าง แล้วจิตใจเกิดการปรุงแต่งขึ้นจนมีกิเลสเกิดขึ้น แต่ด้วยพลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตใจของเขาจะไม่ไหลไปรวมเข้าไปกับกิเลสที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้นักภาวนากัลยาณชนเห็นอาการของกิเลสที่เกิดขึ้นได้ แต่ด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิที่มีอยู่ กิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ั้ตั้งอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วจึงดับลงไป ซึ่งเป็นธรรมชาติ ของมันที่เป็นไตรลักษณ์
อาการที่กัลยาณชนเห็นกิเลสดังนี้ จะต่างจากปุถุชนที่ว่า กิเลสนั้น มันเป็นไตรลักษณ์ กิเลสนั้น มันไม่ใช่เรา กิเลสนั้นมันไม่ใช่ของเรา
แต่เนื่องด้ว กิเลส มีความหยาบละเอียดต่างกัน กัลยาณชนที่มีกำลังสัมมาสติสัมมาสมาธิ ที่ตั้งมั่นมากกว่า จะเห็นกิเลสได้มากกว่า กัลยาณชนที่มีกำลังสัมมาสติสัมมาสมาธิที่อ่อนกว่า กิเลสตัวใดที่กัลยาณชนเห็นได้ กิเลสตัวนั้นจะไม่เข้ารวมกับจิตใจ และ นี่คือ การละกิเลสตัวนั้น ได้แล้ว
แต่ถ้ากัลยาณชนเห็นกิเลสเกิดขึ้น แต่พลังแห่งสัมมาสติไม่ตั้งมั่นพอเป็นสัมมาสมาธิ จิตใจไหลเข้ารวมกับกิเลสที่เกิดได้เมื่อใด หมายความว่า กิเลสนั้นยังละไม่ได้
ขอให้นักภาวนาเข้าใจว่า การที่ท่านเห็นกิเลสเกิดในจิตใจ และเห็นมันดับเป็นไตรลักษณ์ และเห็นมันว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นคือการละกิเลสในทางปฏิบัติ มันจะเป็นอย่างนี้
กิเลส มันจะมีเกิดขึ้น แต่มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ท่าน มันไม่ใช่ของท่าน ท่านเห็นแค่นี้ก็คือ ท่านได้ผลการปฏิบัติแล้ว อย่าไปคิดหาว่า จะทำอย่างไร ไม่ให้กิเลส มันเกิดขึ้นมาได้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับ
การหาว่าจะทำไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นได้เลย นี่ก็ืคือกิเลสอย่างหนึ่งเช่นกัน
3..สำหรับพระอรหันต์ ละกิเลส ผมจะไม่ขอกล่าวถึง ถ้าท่านกัลยาณชนปฏิบัติถึง ก็จะทราบเองว่าเป็นเช่นไร
***** ขอให้ท่านทำความเข้าใจเรื่องการละกิเลสนี้ให้ดี และหมั่นปฏิบัติฝึกฝนสัมมาสติสัมมาสมาธิต่อไป เรื่อย ๆ ยิ่งกำลังตั้งมั่นแห่งสัมมาสติสัมมาสมาธิมากเท่าใด การละกิเลส ก็ยิ่งมีมากขึ้นไปเ่ท่านั้น
*****
Create Date : 28 กันยายน 2553 |
|
7 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:58:57 น. |
Counter : 1505 Pageviews. |
|
|
|
เมื่อมีสติในสมาธิ มีสัมปชัญญะ ที่มีกำลัง ย่อมตามเห็นดังพระสูตรหนึ่ง
ที่ว่า
ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ (อาการที่) เวทนา เกิดขึ้นก็แจ่มแจ้ง แก่ภิกษุ (อาการ) ที่เวทนาเข้าไปตั้งอยู่ก็แจ่มแจ้ง (อาการที่) เวทนาดับลงก็แจ่มแจ้ง
ขอบคุณมากครับ