สภาวะจิต-วิญญาณ ในปุถุชน และ กัลยาณชน
ผมไปเห็นกระทู้หนึ่งในห้องศาสนาเรื่อง ดูจิตกันยังไง? เห็นไปได้ว่าจิตเกิดดับ มีการอ้างอิงตำรา ครูบาอาจารย์กันในกระทู้นั้น ก็ว่ากันไป ผมจะไม่เข้าใปพูดถึงว่า จิตมีการเกิดดับหรือไม่ แต่ผมจะนำสิ่งที่ผมพบเห็นและเข้าใจเองจากการปฏิบัติธรรมมาเ่ล่าให้ท่านฟัง ผิดถูกอย่างไร ก็ขอให้ท่านพิจารณาเอง
ขอให้ดูภาพและอ่านประกอบการบรรยายดังนี้
1. ส่วนบนสุดของภาพทีี่มีเลข 1
อันนี้เป็นทางเดินการทำงานของวิญญาณ ซึ่งวิญญาณ 5 ตัวคือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อรับรู้การสัมผัสโดยผ่านทางระบบประสาท(ภาษาพระเรียกว่า อายตนะ)แล้ว การรับรู้นั้น ๆ ก็จะส่งต่อไปยัง วิญญาณทางจิตใจ(ภาษาพระเรียกว่า มโนวิญญาณ)
มโนวิญญาณ นอกจากรับรู้การสัมผัสที่ผ่านมาจากวิญญาณ 5 ตัวดังกล่าวแล้ว มโนวิญญาณ ยังรับรู้การสัมผัสที่เกิดขึ้นภายในจิตใจอีกด้วย ดังนั้น การรับรู้สัมผัสทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะผ่าน มโนวิญญาณ ทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา ที่น้ำจากแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ไหลมาแล้วรวมกัน ที่แม่น้ำใหญ่นี้
จากคุณสมบัติที่รับเข้าทุกอย่างของมโนวิญญาณ ท่านโปฐิละเถระใช้การดูจิตที่มโนวิญญาณนี้ ในการปฏิบัติธรรม จนสำเร็จพระอรหันต์ ซึ่งผมมีเขียนเรื่องไว้ที่ วิธีดูจิตแบบพระโปฐิละเถระที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
เมื่อท่านเข้าใจหน้าที่ของวิญญาณแล้ว ก็มาดูกันต่อไป
********************************************
2.ส่วนกลางของภาพส่วนทีมีเลข 2
ส่วนนี้เป็นภาพของจิตวิญญาณของปุถุชนคนทั่ว ๆ ไป ท่านจะเห็นว่า ในภาพจะมีอยู่ 3 ส่วนก็คือ 2.1 ส่วนที่เป็นสีเหลือง (จิต) 2.2 ส่วนที่เป็นสีดำ (ตัณหา) 2.3 ส่วนที่เป็นมโนวิญญาณ (สีฟ้า)
ท่านจะเห็นว่า ทั้ง 3 ส่วนนี้ติดสนิทแนบชิดกัน ที่ติดสนิทกันได้เพราะมีส่วนที่ 2 คือตัณหา ที่เป็นตัวประสานเหมือนกาวตราช้าง ที่ทำให้ จิตและมโนวิญญาณ นั้นติดกันสนิท
ผลแห่งการติดกันสนิทของ จิตและมโนวิญญาณ นี้ เมื่อมโนวิญญาณ รับรู้อะไรเข้ามา มันจะสะเทือนถึง ตัวจิต นี้ทันทีทุกครั้งไป เมื่อมโนวิญญาณ รับรู้เรื่องทุกข์เข้ามา ก็สะเทือนถึง ตัวจิต เมื่อรับรู้เรื่องสุขเข้ามา ก็สะเทือนถึงตัวจิต
ตัวจิต นี่แหละ คือ ความรู้สึกความเป็นตัวตนของปุถุชน เมื่อ มโนวิญญาณ รับเรื่องทุกข์เข้ามา .... ปุถุชน ก็จะเข้าใจไปว่้า ฉันเป็นทุกข์ เมื่อ มโนวิญญาณ รับเรื่องสุขเข้ามา .... ปุถุชน ก็จะเข้าใจไปว่้า ฉันเป็นสุข
*********************
3.ส่วนล่างของภาพส่วนทีมีเลข 3
ส่วนล่างสุดเป็นภาพสภาวะของกัลยาณชน ผู้ปฏิบัติการเจริญสติปัฏฐานทีถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ผลแห่งการปฏิบัตินั้นด้วยกำลังแห่งสัมมาสติที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ผู้ปฏิบัติจะ.เห็น.ได้ถึงสภาวะแห่ง ตัวจิต ที่แยกหลุดออกมาจาก มโนวิญญาณ เขาจะเห็นได้จริงๆ ว่า สภาวะธรรมที่เิกิดขึ้นต่างออกไปจากเดิมสมัยที่เขายังเป็นปุถุชน
เมื่อ ตัวจิต แยกหลุดออกจาก มโนวิญญาณ นักภาวนาจะเห็นได้เลยว่า ตัวจิต นี่จะนิ่งสนิท ไม่มีเกิด ไม่มีดับ คงสภาพรู้ที่เด่นชัดปรากฏตัวอยู่เสมอในยามที่เขามีสติอยู่ แต่ถ้าเกิดเผลอสติเมื่อใด ตัวจิต นี่ก็ไม่เห็นเหมือนกัน
นักภาวนาจะเห็นส่วนที่เป็นมโนวิญญาณ ทีมีการแปรเปลี่ยนตลอดเวลา มีสภาพเป็นไตรลักษณ์ ที่มันไม่เที่ยง
จากที่เห็นทั้งตัวจิต และ มโนวิญญาณ นักภาวนาจะเข้าใจได้เองว่า เมื่อ มโนวิญญาณ รับเรื่องทุกข์เข้ามา ... เขาก็จะเข้าใจไปว่้า ทุกข์ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ตัวเขา เมื่อ มโนวิญญาณ รับเรื่องสุขเข้ามา .... เขาก็จะเข้าใจไปว่้า สุขไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ตัวเขา
ตัวจิต นั้นจะปรากฏตัวที่นิ่งสงบเงียบ ไม่มีการไหวติงแต่อย่างใดทั้งสิ้่น เปรียบเหมือนคำไทยที่ว่า ทองไม่รู้ร้อน
การที่ ตัวจิต แยกออกมาอย่างนี้ นักภาวนาจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตนของเขา เพราะ ตัวจิต ไปเห็นขันธ์ 5 ได้นั่้นเอง และ ตัวจิต ก็ไม่ใช่ วิญญาณ
************************ เมื่อนักภาวนาที่ภาวนาจน ตัวจิต แยกตัวออกมาจาก มโนวิญญาณ ได้ใหม่ๆ นักภาวนาจะเห็น ตัวจิต ที่มีสภาพเป็นดวง นักภาวนาจะเข้าใจได้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตนของเขา ตัวจิต ไม่ใช่ วิญญาณ แต่ตัวจิต นี่แหละ คือความเป็นตัวตนของเขาอยู่
แต่เมื่อนักภาวนาได้ภาวนาต่อไป ตัณหาเบาบางลงมากๆ จิตที่เป็นดวนี้จะแปรสภาพเปลี่ยนไป กลายเป็นไม่เป็นดวง แต่จะมีสภาพรู้อยู่ที่แผ่กระจายกว้างขวางออกไป แต่นักภาวนาจะมองไม่เห็น ตัวจิต ที่เป็นดวงอีก ซึ่งถ้าเปรียบให้เห็นภาพ ก็จะเป็นว่า ....
เมื่อแยกตัวใหม่ๆ ตัวจิต จะเป็นดวงคล้ายลูกโป่ง แต่เมื่อตัณหาเบาบางลง ลูกโป่งก็จะแตกออก ก๊าสภายในลูกโป่งก็กระจายตัวออกเต็มที่ แต่จะไม่เห็นตัวลูกโป่งอีก แต่จะรู้ว่ามีแก๊สอยู่ ที่มองตัวแก๊สนั้นไม่เห็น เท่านั้นเอง
การที่ จิตที่เป็นดวงแตกตัวออกนี้ นักภาวนาจะเข้าใจธรรมได้ลึกขึ้นไปอีกว่า แท้ที่นั้น ตัวตน ก็ไม่มี มีแต่สภาวะธรรมที่เป็นธรรมชาติ .รู้. ที่แผ่กว้าง แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน
************ เมื่อท่านอ่านแล้ว ท่านคงสรุปเองได้ว่้า จิต เกิดดับหรือไม่
เรื่องจิตเกิดดับ นี้ ผมมีเขียนไว้หลายที่ใน blog นี้ แต่ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง
มีสิ่งหนึ่ง ที่ผมอยากจะเสนอต่อนักภาวนา อย่าได้สนใจ ตัวจิต นี้มากนัก สิ่งที่ท่านควรสนใจ ก็คือ ที่มโนวิญญาณ เพราะแดนเกิดนั้นมันอยู่ในมโนวิญญาณ ถ้าท่านเห็น แดนเกิด (รังอวิชชา) ได้เมื่อใด แดนเกิดก็พร้อมจะถูกทำลายลงทันที เมื่อแดนเกิดถูกทำลายลง จิตที่เป็นดวง ก็แตกตัวออกไปเอง เมื่อ จิตแตกตัวออก ความเป็นตัวตน ก็หมดสิ้่นลงไปทันทีอีกเช่นกัน คงเหลือแต่ธรรมชาติล้วนๆ มันจะเป็นแบบนี้ครับ
************** เรื่องท้ายบท
มีคำสอนที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่หยุดการยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตได้แล้ว การปฏิบัติก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คำกล่าวนี้จริง ๆ ก็ถูกต้อง แต่มันเป็นผลจากที่ว่า เมื่อจิตเป็นดวงได้แตกตัวสลายออก นักภาวนาก็มองไม่เห็นตัวจิตอีก เมื่อมองไม่เห็นตัวจิตอีก นักภาวนาจะมีความยึดมั่นถือมั่นไปกับตัวจิตได้อย่างไร เพราะมันสลายแตกตัวไปแล้ว
แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในแง่การปฏิบัติ การเลิกยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตนี้จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าตัวจิตไม่แตกสลายออกไป และการแตกสลายตัวของตัวจิต ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย เมื่อ รังอวิชชาไม่ถูกทำลายลง ซึ่งแก่นแท้อันเป็นรากฐานของการเลิกยึดมั่นถือมั่นในตัวจิต ก็คือ รังอวิชชาถูกทำลายลงไป ไม่ใช่ไปปฏิบัติอื่นใด เพราะที่พยายามเลิกยึดมั่นถือมั่นในตัวจิต
ในปฏิจจสมุปบาท มีคำกล่าวไว้ว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร ซึ่งเรื่องนี้ ผมงุนงงมาก ว่า สังขาร ในนี้หมายถึงอะไร ครั้นไปอ่านในตำรา ก็มีคำอธิบาย ที่ดูเหมือนว่าจะถูกต้องสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาอ่าน
แต่เมื่อผมปฏิบัติไป จนเห็น รังของอวิชชา ผมก็เลยเข้าใจครับว่า คำว่า สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท คือ รังของอวิชชา อันเป็นแดนเกิด นั้นเอง ไม่ใช่ สังขาร อย่างที่เขาว่า ๆ กันเลย
เมื่อเห็น ก็เข้าใจในสิ่งที่ตรงกันในปฏิจจสมุปบาท
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสัีงขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ....นี่คือเหตุผลทีีว่า ทำไมต้องสนใจที่ มโนวิญญาณ
เพียงทำลายรังอวิชชาได้เมื่อใด ทุกอย่างจบสิ้น.....
Create Date : 12 กันยายน 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:00:40 น. |
Counter : 2623 Pageviews. |
|
|
|
จิตเป็นดวงเพราะอวิชชาครอบงำจิตอยู่ใช่มั้ยครับ?
อยากรู้จักมโนวิญญาณ ต้องมาดูที่จิตจึงจะเห็นใช่มั้ยครับ?
เมื่อจิตถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นในตนเองได้แล้ว สิ่งที่ห่อหุ้มจิตอยู่นั้นก็แตกทำลายไป
จิตกลายเป็นธรรมธาตุไปแล้ว ไม่กลับมายึดมั่นถือมั่นในจิตอีกแล้วใช่มั้ยครับ?
ธรรมธาตุที่ "รู้" ไม่มีประมาณนั้น หรือ อมตะธรรม อมตะธาตุนั่นเอง
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง(สังขาร) บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"
ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกัน มีอะไรแนะนำผมได้นะครับ
เจริญในธรรม
ธรรมภูต